ทำไมต้อง #VoteForClimate เลือกนโยบายสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรม

ไทยเป็นหนึ่งในประเทศ 10 อันดับต้นของโลกที่มีความเสี่ยงมากที่สุดจากผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศในระยะยาวทั้งจากอุณหภูมิเฉลี่ยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นในฤดูน้ำหลากและน้อยลงในฤดูแล้ง ภัยพิบัติทั้งอุทกภัย ภัยแล้งยาวนาน และพายุที่รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น สร้างความเสียหายต่อภาคเศรษฐกิจหลัก ทั้งการเกษตร การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม รวมถึงการบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาเมือง การย้ายถิ่นฐานของประชากร การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการแพร่กระจายของโรค
พรรคการเมืองในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนในการดำเนินการทางการเมืองผ่านแนวนโยบายของพรรค จึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางที่ยั่งยืนและเป็นธรรมให้กับสังคมไทยในการต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
การเมืองที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดี ต้องอยู่บนรากฐานของความเป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย เปิดกว้างให้กับความหลากหลายทางความคิดและเปิดพื้นที่ให้กับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายอย่างแข็งขันและมีความหมาย
นโยบายสภาพภูมิอากาศเปิดช่องให้มีการฟอกเขียวโดยกลุ่มที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง
นโยบายสภาพภูมิอากาศไม่ว่าจะเป็นแผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจกฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 (2nd Updated Nationally Determined Contribution) และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (Thailand’s Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy : LT-LEDS) หรือแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิ (Net Zero) ตลอดจนแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (National Adaptation Plan) ยังไร้ซึ่งมิติความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ
แผนการและนโยบายเหล่านี้ยังคงเอื้อให้อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลเดินหน้าสำรวจ ขุดเจาะ สกัดและเผาไหม้ถ่านหิน ก๊าซฟอสซิลและน้ำมันต่อไป และใช้เงินจ้างใครสักคนทำการดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศโดยการปลูกป่าชดเชย กลไกซื้อขายคาร์บอน (Emission Trading) หรือใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage) ที่ต้นทุนสูงลิบลิ่วและไม่ได้รับการพิสูจน์

ระบบพลังงานไทยขาดธรรมาภิบาล

ระบบและโครงสร้างพลังงานไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันอยู่ในลักษณะที่ถดถอยอย่างน้อยที่สุดใน 6 ด้าน คือ (1) ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล (2) ธรรมาภิบาลในการซื้อไฟฟ้า/ให้สัมปทานการผลิตไฟฟ้า (3) ความบิดเบี้ยวในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan) (4) การแทรกแซงของทหารในกิจการพลังงาน (5) ไฟฟ้าที่ล้นเกินกลายเป็นภาระความเสี่ยงของประชาชน และตัวถ่วงเศรษฐกิจของประเทศ และ (6) ความไม่เท่าเทียมในภาคกิจการไฟฟ้า
ความถดถอยทั้ง 6 ด้านนี้เป็นผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้วยระบบที่ทำให้คนไทยจ่ายภาษีพลังงานเพิ่มโดยไม่จำเป็นและเอื้อกลุ่มทุนไม่กี่บริษัทให้สร้างความร่ำรวยอย่างรวดเร็วด้วยกลไกไม่ปกติ
ที่สำคัญ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ที่แท้จริง(Real Zero)ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (systemic change) ทั้งด้านนโยบาย เทคโนโลยีและพฤติกรรม และเพื่อบรรลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสภายใต้ความตกลงปารีส ต้องปฏิวัติระบบพลังงานหมุนเวียนเต็มร้อยภายในปี พ.ศ.2593 เริ่มจากการปลดระวางถ่านหินและเชื้อเพลิงฟอสซิล
สิทธิของประชาชนที่หายใจในอากาศสะอาดถูกละเมิด
มลพิษทางอากาศรวมถึงฝุ่นพิษ PM2.5 เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรในประเทศไทย ในปี 2556 องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดอย่างเป็นทางการให้ฝุ่นพิษ PM2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง
รากเหง้าของวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 มาจากการพัฒนาที่ผิดทิศทาง และไม่มีมาตรการป้องกันทางสิ่งแวดล้อมรองรับก่อนการตัดสินใจอย่างเพียงพอ การรับมือเฉพาะหน้าในยามเกิดวิกฤตและมาตรการระยะสั้นมักประสบความล้มเหลว

กลยุทธ์ในระยะยาวรวมถึงการออกแบบระบบกฏหมายสิ่งแวดล้อมมาและพัฒนาเครื่องมือใหม่ ๆ ต่อยอดจากฐานทางกฏหมายที่เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายว่าด้วยการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ(Pollutant Release and Transfer Register หรือ PRTR) ที่รับรองสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของชุมชน (Community Right-to-Know) การกำหนดมาตรฐานการปลดปล่อย PM2.5 จากแหล่งกำเนิดมลพิษหลัก (Emission standard) ทั้งโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรมและยานยนต์ และกฏหมายว่าด้วยการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment – EIA) ที่คำนึงถึงความสามารถในการรองรับของมลพิษในพื้นที่และผลกระทบข้ามพรมแดน
หากเริ่มต้นถอดรื้ออุปสรรคเชิงโครงสร้างการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในทิศทางที่ถูกต้อง เราจะสามารถฝ่าวิกฤตมลพิษทางอากาศนี้ได้ เพื่อสุขภาวะที่ดีและการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรมในสังคมไทย
ภาระรับผิดชอบ (Liability) ต่อฝุ่นพิษข้ามพรมแดน
มลพิษทางอากาศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเป็นวิกฤตคุกคามทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการขยายตัวของพืชเศรษฐกิจที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อการส่งออก (commodity-driven deforestation) รวมถึงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

การวิเคราะห์ข้อมูลจาก Global Forest Watch ในระหว่างปี 2544-2564 พบว่าการทำลายป่าไม้ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 5 ประเทศคือไทย รัฐฉาน(เมียนมา) สปป.ลาว กัมพูชาและเวียดนามก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันเป็น 6.1 กิกะตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยที่ร้อยละ 60-90 เป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยวเพื่อส่งออกเป็นสินค้าโภคภัณฑ์
มลพิษทางอากาศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงยังเป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนภาคเกษตรกรรม ที่ไม่สนใจใยดีต่อกฏเกณฑ์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้การเจรจาหว่านล้อมของเครือข่ายบริษัทที่มีอิทธิพลเหนือคณะกรรมการชุดต่างๆ ของรัฐบาลในภูมิภาคอาเซียน
สังคมจะคาดหวังให้เกษตรกรหยุดเผาพื้นที่เพาะปลูกและเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร หากไร้ซึ่งความเป็นธรรมและภาระความรับผิด (liability) ตลอดห่วงโซ่อุปทานจากกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรที่ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมือง
ภัยคุกคามแฝงเร้นจากมลพิษพลาสติก
มลพิษพลาสติกพบได้ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลของไทยไปจนถึงทวีปแอนตาร์กติกที่อยู่ห่างไกล ผลกระทบของมลพิษพลาสติก ปรากฎชัดเจนมากขึ้น ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ เช่น เต่าและนกทะเล เป็นต้น รวมถึงสุขภาพของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์พบไมโครพลาสติกในอาหารและเครื่องดื่ม ในดิน ในอากาศที่เราหายใจ และในเลือดของมนุษย์
พลาสติกส่วนใหญ่ทำมาจากก๊าซฟอสซิลและน้ำมัน ดังนั้น จึงส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

นอกจากมีบทบาทในการออกกฎหมาย เช่น การนำหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต(Extended Producer Responsibility หรือ EPR) เพื่อเน้นไปที่รากเหง้าของวิกฤตมลพิษพลาสติก รัฐบาลต้องรับรองว่า กลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มแรงงาน กลุ่มคนเก็บขยะและชุมชนท้องถิ่นผู้ได้รับผลกระทบจากขั้นตอนใดๆ ก็ตามในกระบวนการผลิตพลาสติก (รวมถึงการสกัดและการกลั่นเชื้อเพลิงฟอสซิล) หรือจากการรีไซเคิล การเผา และการกำจัดมลพิษพลาสติก จะมีส่วนร่วมในการออกแบบและได้รับประโยชน์จากระบบเศรษฐกิจที่สามารถฟื้นฟูได้และมีผลิตภาพ ซึ่งมิใช่เพียงการรีไซเคิลให้ได้มากขึ้นและเร็วขึ้น แต่เป็นระบบเศรษฐกิจที่ทำให้การไหลเวียน (ของทรัพยากรและวัสดุ) ช้าลง และปิดวงจรของการไหลเวียนโดยการลดการผลิตหรือลดการบริโภค โดยจัดวางยุทธศาสตร์ “การไม่ทำให้เกิดของเสีย” และการลดของเสียให้อยู่ในลำดับต้น
ระบบนิเวศชายฝั่งและทะเลไทยต้องได้รับการฟื้นฟู
กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลส่งผลกระทบที่เป็นหายนะต่อชุมชนท้องถิ่น และความหลากหลายทางชีวภาพของทะเลและระบบนิเวศชายฝั่ง

ส่วนนโยบายการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในประเทศไทย ยังคงกีดกัน แทนที่จะคุ้มครองและสนับสนุนสิทธิชุมชนและประชาชนในการอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศทะเล พื้นที่ชุ่มน้ำและชายฝั่งที่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจแบบเกื้อกูล (supportive economy) และแหล่งความมั่นคงทางอาหารของชุมชนและประเทศ และแม้ว่าจะมีการระบุถึงการมีส่วนรวมของชุมชนในการจัดการทรัพยากร ก็จำกัดอยู่เพียงการแจ้งให้ทราบ รับฟังความคิดเห็น ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติและติดตามผล แต่ไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจอย่างเท่าเทียม
นโยบายสิ่งแวดล้อมต้องเป็นธรรม
ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ ไม่ว่านโยบายสิ่งแวดล้อมจะเป็นจุดขายของพรรคการเมืองต่างๆ หรือไม่อย่างไร แต่หากปราศจากการรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี(right to a healthy environment) ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนแล้ว นโยบายสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นก็ถูกใช้เป็นกลไกในการฟอกเขียว สร้างความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะเสียงโหวตของคุณจะเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้าง สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีของทุกคน
