#คืนปอดให้ประชาชน
ตลอดทั้งเดือนมีนาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน สถานการณ์ฝุ่นพิษมีความเข้มข้นสูงปกคลุมเหนืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเป็นวิกฤตระดับสูงสุด และส่งผลให้ประชาชนกว่า 2 ล้านคนนับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือตอนบนของไทย เช่น จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ต้องประสบกับผลกระทบทางสุขภาพจากการรับสัมผัสฝุ่นพิษในระดับที่เป็นอันตราย โดยมีฝุ่น PM2.5 สูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไปต่อเนื่องกันนับสัปดาห์ นี่คือวิกฤตด้านสาธารณสุขที่ส่งผลอย่างร้ายแรงและถูกเพิกเฉยจากรัฐบาลมายาวนาน ถึงเวลาแล้วที่ต้องคืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับประชาชน
ลงชื่อรณรงค์
- ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาฝุ่นควันภาคเหนือ มลพิษข้ามพรมแดน และการสูญเสียป่าไม้เพื่อเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
- ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารสัตว์เพราะมีราคาถูกกว่า
- อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์เติบโตจากความต้องการบริโภคเนื้อที่มากขึ้น ทำให้ต้องอาศัยการปลูกข้าวโพดเพื่อเลี้ยงสัตว์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
- ภายใต้หมอกควันที่ปรากฎ เกษตรกรมักต้องเป็นจำเลยของสังคม แต่แท้จริงแล้วยังมี ‘ระบบ’ ที่ผลักให้เกษตรกรต้องตกอยู่ในวังวนเกษตรพันธสัญญา
- ภาครัฐเองก็สนับสนุนให้เกิดการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชเศรษฐกิจผ่านระบบเกษตรพันธสัญญา ฯ นี่จึงเป็นปัญหาที่ต้องแก้ที่ ‘โครงสร้าง’ ถึงเวลาที่ภาครัฐจะต้องกำหนดมาตรการทางกฎหมายให้อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์มีภาระรับผิด (Accountability) ต่อมลพิษทางอากาศและการทำลายป่า
รายละเอียดข้อเรียกร้อง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 ภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนและเกษตรกรรมยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ ความเป็นธรรมระหว่างเกษตรกรรายย่อยกับผู้ประกอบการ มีการจัดการ/จัดสรรงบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกรรายย่อย รวมถึงระบบสินเชื่อเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์และตลาดสีเขียว
- เพิ่มข้อกำหนดใน “มาตรฐานสัญญา” และ “การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ” ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา (หรือที่รู้จักกันว่ากฏหมายเกษตรพันธสัญญา) โดยเน้นขยายความรับผิดชอบของบริษัทและผู้ประกอบการเมื่อเกิดความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่เกิดขึ้นจากเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว เช่น ในกรณีเกิดหมอกควันจากการเผาในพื้นที่ที่เป็นเกษตรแบบพันธสัญญา และรับประกันว่าความเสี่ยงของเกษตรกรจะถูกกระจายอย่างเป็นธรรม
- การเปิดเผยพื้นที่การทำเกษตรพันธสัญญาทั้งหมดในรายงานประจำปีของบริษัทที่เกี่ยวข้อง และเปิดข้อมูลต่อสาธารณะให้ประชาชนเข้าถึงได้
กรมปศุสัตว์
- รับประกันว่ามีการติดตามตรวจสอบและรายงานการใช้ยาปฏิชีวนะ
- เพิ่มข้อกำหนดภายใต้วิสัยทัศน์การลดใช้ยาปฏิชีวนะ ตั้งแต่การนำเข้าสารเคมี การใช้ในฟาร์ม และติดตามการตกค้างในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ และรายงานการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเปิดเผยให้กับผู้บริโภคได้ทราบอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงระบุแผนดำเนินการเพื่อลดและยกเลิกการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มปศุสัตว์ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อแก้ไขปัญหาโรคที่เกิดจากเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ หันมาสนับสุนทางเลือกอื่นที่ปราศจากการใช้ยาปฎิชีวนะในการป้องกันโรค อาทิ ปรับปรุงสุขอนามัยของการเลี้ยงสัตว์ และเลี้ยงในระบบเปิดเพื่อสุขภาวะ
กระทรวงสาธารณสุข
- ออกกฎหมายติดฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทุกประเภทซึ่งระบุถึงลักษณะการเลี้ยง ที่มาของอาหารที่เลี้ยงสัตว์ว่ามีส่วนในการทำลายผืนป่า และก่อมลพิษทางอากาศหรือไม่ และมีการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์หรือไม่ ประเภทของยาคืออะไร และมีบทลงโทษที่เข้มงวดและชัดเจนสำหรับกรณีละเมิด
- ตรวจสอบและรายงานผลสารเคมีปนเปื้อน ยาปฏิชีวนะ และเชื้อดื้อยาในพืชผักผลไม้ และเนื้อสัตว์ อย่างกว้างขวางและสม่ำเสมอ และมีบทลงโทษที่เข้มงวดและชัดเจน
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- รวมอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ในแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจก พ.ศ.2564-2573 (Thailand’s Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021 -2030) จากสาขาเกษตรกรรม ในฐานะเป็นหนึ่งในผู้ก่อก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของไทย เพื่อรับรองว่ามิติความเป็นธรรมและภาวะเร่งด่วนอย่างผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดขึ้นจากหมอกควันพิษที่เรื้อรังมายาวนานจะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์
- ระบุข้อมูลลักษณะการเลี้ยง ที่มาของอาหารสัตว์ว่าเชื่อมโยงกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าและหมอกควันพิษหรือไม่ ระบุประเภทและปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยงสัตว์ บนฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์
วิกฤตสภาพภูมิอากาศ
อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ยังเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึงหนึ่งในสี่ส่วนของของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก เทียบเท่ากับรถยนต์ รถไฟ เรือ และเครื่องบินทั่วโลกรวมกัน เป็นสาเหตุสำคัญของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ หากเราไม่ลงมือทำอะไรเลย ในปี พ.ศ. 2593 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากระบบอาหารจะเพิ่มเป็นครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกที่มาจากกิจกรรมของมนุษย์
ข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย พบว่าในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ.2000) ภาคการเกษตรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับ 51.88 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และคิดเป็นร้อยละ 22.60 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศ และเป็นอันดับสองรองจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน โดยก๊าซเรือนกระจกตัวหลักคือก๊าซมีเทนซึ่งมาจากการหมักในระบบย่อยอาหารของสัตว์ การจัดการมูลสัตว์ นาข้าว ดินที่ใช้ในการเกษตรและการเผาเศษวัสดุการเกษตรในที่โล่ง ภาคเกษตรกรรมจึงมีบทบาทสำคัญในยุทธศาสตร์การลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยที่ต้องดำเนินไปพร้อมๆ กับการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อปรับตัวและรับมือกับผลกระทบที่เป็นหายนะจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ป่าและผืนน้ำไร้ชีวิต
ความต้องการในการบริโภคเนื้อสัตว์ในราคาที่ถูกและปริมาณมากนั้น คือเบื้องหลังของปัญหาสิ่งแวดล้อมนานับประการ พื้นที่ป่ามหาศาลในทั่วโลกถูกทำลายจนเหี้ยนเตียนเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวสำหรับอุตสาหกรรม อย่าง ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด และถั่วเหลือง ซึ่งเราอาจจะคุ้นตากันบ้างกับภาพภูเขาสีเขียวชอุ่มที่กลายเป็นเขาหัวโล้นจากการถูกแทนที่ด้วยพืชเชิงเดี่ยว ทิ้งความแห้งแล้งไว้ และก่อมลพิษทางอากาศ ดังเช่นที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของหมอกควันพิษที่ปกคลุมภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยช่วงต้นปีเป็นประจำทุกปี
พืชเหล่านี้มักกลายเป็นอาหารสัตว์ราคาถูกในปศุสัตว์เชิงอุตสาหกรรมมากถึงร้อยละ 65 ในขณะที่ผู้คนทั่วโลกมหาศาลกำลังอดอยาก นอกจากนี้ยังมีการใช้สารเคมีต่าง ๆ สำหรับการเพาะปลูก อาทิเช่น ปุ๋ย และสารกำจัดศัตรูพืชนั้น ยังส่งผลให้เกิดเขตมรณะ (Dead Zone) หรือแหล่งน้ำที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ผืนน้ำไร้ชีวิตนี้เกิดขึ้นจากสารประกอบอย่างไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่เป็นธาตุอาหารในการบำรุงพืชได้กระตุ้นกระบวนการยูโทรฟิเคชั่น (Eutrophication)โดยดึงเอาออกซิเจนออกจากน้ำจนเหลือศูนย์ สาเหตุของเขตมรณะนั้น ยังรวมถึงจากของเสียมูลสัตว์จากการทำปศุสัตว์ และการเร่งใช้ธาตุอาหารอย่างไม่จำกัด