กรุงเจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์, 4 สิงหาคม 2568 – เพียงหนึ่งวันก่อนการประชุมการเจรจารอบสุดท้ายของสนธิสัญญาพลาสติกโลกจะเริ่มขึ้น องค์กรภาคประชาสังคมและประชาชนนับร้อยคนจากทั่วโลกได้รวมตัวกันที่จัตุรัสแห่งสหประชาชาติเพลซ เดส์ นาชง ( Place des Nations)กรุงเจนีวา เพื่อเรียกร้องให้เกิดสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่ทะเยอทะยานและมีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยต้องคำนึงถึงผู้คนและโลกมากกว่าผลประโยชน์ของผู้ก่อมลพิษ

การชุมนุมครั้งนี้เกิดขึ้นโดยกรีนพีซ สวิตเซอร์แลนด์ เครือข่ายBreak Free from Plastic มูลนิธิ Gallifrey และกลุ่มเครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมและความเป็นธรรมทางสังคมที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการประชุมเจรจาครั้งสุดท้ายของสหประชาชาติที่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5-14 สิงหาคม ณ จัตุรัสแห่งสหประชาชาติ ( Palais des Nations) โดยกลุ่มผู้เข้าร่วมชุมนุมต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเหลือง สีส้ม และสีแดง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเร่งด่วนของวิกฤตที่เกิดและอันตรายที่เกิดจากการผลิตพลาสติกที่ไร้การควบคุม ซึ่งส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
“ในฐานะของประเทศเจ้าภาพการเจรจาว่าด้วยมลพิษพลาสติก พวกเราหวังว่าสวิตเซอร์แลนด์จะยังคงยึดมั่นในเป้าหมายที่ทะเยอทะยานของสนธิสัญญาพลาสติกโลก ภายใต้การคาดการณ์ว่าการผลิตพลาสติกจะเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าภายในปี 2593 สนธิสัญญาฉบับนี้จะล้มเหลว หากปราศจากเป้าหมายระดับโลกในการลดการผลิตพลาสติก เราจำเป็นต้องยุติยุคของพลาสติกเพื่อปกป้องสุขภาพ ชุมชน และโลกของเรา” โจเอล เฮริน ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริโภคและเศรษฐกิจหมุนเวียนจากกรีนพีซ สวิตเซอร์แลนด์ กล่าว
ในขณะที่การเจรจากำลังจะเริ่มขึ้น ภาคประชาสังคมได้ออกมาเรียกร้องให้เปิดโปงบทบาทของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มุ่งบ่อนทำลายความก้าวหน้า และต้องการให้ผู้เข้าร่วมเจรจามุ่งเน้นไปที่มาตรการการจัดการที่ต้นน้ำที่จัดการกับการผลิตพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง
“ในการเจราจารอบที่ผ่านมา เรานับได้ว่ามีผู้แทนจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลและปิโตรเคมีเข้าร่วมถึง 221 คน หากพวกเขารวมเป็นคณะผู้แทนเดียว จะกลายเป็นคณะผู้แทนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของการเจรจา ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้แทนจากสหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกที่รวมกัน 191 คน การมีส่วนร่วมอย่างล้นหลามนี้สะท้อนให้เห็นชัดว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้รู้สึกถูกคุกคามเพียงใดจากสนธิสัญญาพลาสติกโลก และด้วยการที่กรุงเจนีวาเป็นศูนย์กลางการค้าปิโตเลี่ยมและปิโตรเคมีขนาดใหญ่ จำนวนผู้แทนอุตสาหกรรมอาจสูงขึ้นอีกในการเจรจาครั้งนี้
ภาคประชาสังคมจะไม่ทนต่อการครอบงำและกลยุทธ์ถ่วงเวลาของพวกเขาอีกต่อไป ทั่วโลกในตอนนี้ตระหนักแล้วว่า วิกฤตพลาสติกและภาวะโลกร้อนล้วนเกิดมาจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล เพียงแค่ไม่กี่บริษัทแต่กลับส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนนับพันล้านชีวิต พวกเราต้องการสนธิสัญญาที่เข้มแข็งและมีผลผูกพันทางกฎหมายในตอนนี้ เราทุกคนกำลังคอยจับตาดู ”ลอเรียนน์ ทริมูลลา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและโครงการของมูลนิธิ Gallifrey กล่าวเสริม
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชนและองค์กรภาคประชาสังคม ที่มุ่นมั่นเพื่อปกป้องสุขภาพ สิทธิมนุษยชน และระบบนิเวศ จากวิกฤตมลพิษพลาสติกที่ทวีความรุนแรงขึ้น
“สนธิสัญญาพลาสติกโลกที่เข้มแข็งต้องไม่เพียงเพื่อลดมลพิษเท่านั้น แต่นี่คือโอากาสที่จะยุติความไม่เป็นธรรมจากการค้าขยะ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีชุมชนใดต้องกลายเป็นพื้นที่รองรับขยะส่วนเกินจากที่อื่น สนธิสัญญาที่มีประสิทธิภาพและมีความหมายต้องปิดช่องโหว่ที่ใช้การรีไซเคิลบังหน้าเพื่อค้าขยะ ปริมาณการส่งออกขยะของสวิตเซอร์แลนด์ไปยังมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง ร้อยละ 271 จาก 69,820 กิโลกรัมในปี 2565 เป็น 258,897 กิโลกรัมในปี 2567 การจำกัดการค้าขยะภายใต้สนธิสัญญาจะผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ หันมาลงทุนในมาตรการต้นน้ำและรับผิดชอบต่อเสียงของตนเอง”มาเจสวารี สันการาลิงกัม จาก Sahabat Alam ประเทศมาเลเซีย กล่าว
หมายเหตุสามารถดาวน์โหลดภาพถ่ายกิจกรรมรณรงค์ได้ที่ https://media.greenpeace.org/Detail/27MZIFJR1JQ08
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
สมฤดี ปานะศุทธะ นักสื่อสารงานรณรงค์ กรีนพีซ ประเทศไทย
โทร. 081 929 5747 อีเมล.[email protected]