กิจกรรม Rainbow Warrior Ship Tour 2024
เรือรณรงค์ของกรีนพีซเป็นสัญลักษณ์ของการเผชิญหน้าอย่างสันติวิธี เป็นสัญญาณแห่งความหวัง และเป็นเอกลักษณ์ในการทำงานเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2514
เราใช้เรือเป็นแนวหน้าในการขับเคลื่อนงานรณรงค์ในหลายรูปแบบ โดยเรือสามารถเดินทางไปยังน่านน้ำต่าง ๆ เพื่อเป็นประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ ทำวิจัย ทำการสื่อสารประเด็นสิทธิและสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ใช้เป็นเวทีในการเจรจา โดยมีเป้าหมายในการยุติการทำลายล้างสิ่งแวดล้อม

เรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์มาทำอะไรครั้งนี้ ?

เรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์มาไทยครั้งนี้เพื่อทำกิจกรรมภายใต้แคมเปญ Ocean Justice ซึ่งสนับสนุนการทำงานร่วมกับชุมชนชายฝั่ง เพื่อเรียกร้องให้เกิดการมีส่วนรวมในการจัดการทรัพยากรชายฝั่งและการปกป้องคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล ในกิจกรรมครั้งนี้ เราจะสื่อสารสารธารณะถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น ความสำคัญของการสร้างเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล เพื่อปกป้องระบบนิเวศและความมั่นคงทางอาหาร
นอกจากนี้ เรายังร่วมมือกับชุมชนชายฝั่งและนักวิชาการในการทำวิจัย และนำข้อมูลเหล่านี้กำหนดพื้นที่คุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลที่ชุมชนมีส่วนร่วม
กิจกรรมของเรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์ในไทย
กรุงเทพมหานคร เรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์จะเป็นพื้นที่ในการสื่อสารวิกฤตทางทะเล ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การทำประมงทำลายล้าง และมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม รวมถึงประเด็นสิทธิของชุมชนชายฝั่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากปัญหาสิ่งแวดล้อมข้างต้น
ทอดสมอที่ ชุมพรและ สงขลา เราจะมีการทำวิจัยร่วมกับชุมชนและนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อมองหาความเป็นไปได้ในการขีดเส้นและขยายพื้นที่คุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลซึ่งชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบและดูแลอย่างแท้จริง รวมไปถึงบันทึกความสวยงามและอุดมสมบูรณ์ของทะเลไทยมีการบันทึกความสวยงามและอุดมสมบูรณ์ใต้ท้องทะเล

ศักยภาพของเรือรณรงค์กรีนพีซ

แม้เรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์จะเป็นที่รู้จักในการทำกิจกรรมเผชิญหน้าด้วยสันติธิวิธี แต่แท้จริงแล้ว เรือสามารถทำกิจกรรมได้หลากหลาย เช่น การใช้เรือเข้าไปในสถานที่ที่เครื่องบินหรือการเดินทางทางอื่นไม่สามารถเข้าถึงได้เพื่อทำวิจัย ยกตัวอย่างเช่น การทำวิจัยในพื้นที่แอนตาร์กติกา หรือการใช้เรือเป็นพื้นที่ในการสื่อสารประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม
เรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์เป็นเรือใบและใช้ลมในการขับเคลื่อนเป็นหลักเพื่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของเรือทำให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าและยังสามารถพลังงานมาใช้ภายในเรือ ขณะที่ระบบน้ำมันถูกดัดแปลงให้มีไม่มีการรั่วไหลลงทะเล ในอนาคตเราตั้งเป้าหมายที่จะให้เรือทุกลำของเราเป็นเรือพลังงานสะอาด และลดการให้พลังงานน้ำมันให้มากที่สุด
เกี่ยวกับงานรณรงค์ Ocean Justice
แคมเปญ Ocean Justice เป็นหนึ่งในแคมเปญรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทรระดับโลกของกรีนพีซ ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง สิทธิชุมชนชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ อุตสาหกรรมประมงทำลายล้าง และอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อทะเล รวมถึงการสร้างพื้นที่คุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล โดยใช้ความรู้ชุมชนร่วมกับความรู้เชิงวิชาการในการออกแบบนโยบายพัฒนาพื้นที่ ทั้งหมดนี้เพื่อปกป้องระบบนิเวศทางทะเล ความมั่นคงทางอาหาร และชีวิตของผู้คนนับล้านที่พึ่งพิงทรัพยากรชายฝั่ง

พื้นที่คุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลคืออะไร ?
IUCN ได้ให้คำนิยามของพื้นที่คุ้มครองทางทะเล (Marine Protected Areas : MPAs) ไว้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีขอบเขตชัดเจนโดยมีเป้าหมายในระยะยาวเพื่ออนุรักษ์ปกป้องทรัพยากรทางทะเลโดยให้ความสำคัญกับการบริการทางระบบนิเวศ (ecosystem services) และคุณค่าทางทางวิถีชีวิตวัฒนธรรม (Cultural values) โดยพื้นที่หลายประเภทด้วยกัน ได้แก่ พื้นที่ที่คุ้มครองและอนุญาตให้ทำวิจัยเท่านั้น การคุ้มครองพื้นที่ธรรมชาติดั้งเดิม พื้นที่คุ้มครองเพื่อการฟื้นฟูและปกป้องธรรมชาติ เพื่ออนุรักษ์สัตว์หรือพืชบางชนิด เพื่อปกป้องถิ่นที่อยู่ของสัตว์ หรือการคุ้มครองเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยพื้นที่คุ้มครองทางทะเลนั้นไม่ได้หมายรวมเพียงพื้นที่ทะเลแต่หมายรวมถึงพื้นที่ชายฝั่งที่มีระบบนิเวศหรือความสำคัญต่อระบบิเวศทะเลด้วย ในบางครั้งจึงอาจเห็นคำว่า MCPAs หรือ Marine and Coastal Protected Areas ถูกนำมาใช้ด้วย
MPAs ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือการบริหารจัดการเดียวที่ใช้คุ้มครองพื้นที่ทางทะเลและชายฝั่ง แต่ยังมีเครื่องมืออื่นๆ เช่น เครื่องมือทางนโยบายอย่างการวางแผนเชิงพื้นที่ทางทะเล (Marine spatial planning) แนวคิดการอนุรักษ์เชิงพื้นที่ (Area Based Conservation) อื่นๆ ซึ่งพื้นที่คุ้มครองทางทะเลหล่านี้ มีชื่อเรียกเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป และมีวิธีการหรือกฏกติกาในการจัดการพื้นที่แตกต่างกันออกไป ในประเทศไทยนั้นมีการทำพื้นที่คุ้มครองทางทะเลโดยภาครัฐ เช่น อุทยานแห่งชาติแห่งต่างๆ เขตสงวนและคุ้มครอง เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ที่มีการริเริ่มการทำการคุ้มครองทรัพยากรเพื่อให้เกิดการใช้ประโชน์ได้อย่างยั่งยืนโดยชุมชน เช่น การจดทะเบียนทะเลหน้าบ้านพรบ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 การกำหนดเขตอนุรักษ์ปะการังหรือการสร้างปะการังเทียมโดยชุมชนเอง การกำหนดเขตห้ามจับสัตว์น้ำหรือจับสัตว์น้ำได้ตามฤดูกาลที่เหมาะสม การกำหนดเขตห้ามใช้เตครื่องมือประมงทำลายล้าง เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าชุมชนชายฝั่งสำคัญอย่างมากในการอนุรักษ์ คุ้มครอง จัดการทรัพยากรทางทะเล โดยไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ชุมชนก็ควรมีส่วนร่วมในการจัดการเพื่อให้การอนุกรักษ์ที่เกิดขึ้นได้จริง ไม่เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐและชุมชน สอดคล้องกับคุณค่าทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต และให้เกิดการใข้บริการทางระบบนิเวศได้อย่างยั่งยืน จึงมีคำใหม่ๆที่นิยมนำมาใช้มากจึ้น เช่น LMMA: Locally-Managed Marine Area หรือพื้นที่ทางทะเลที่มีการจัดการโดยชุมชนชายฝั่งท้องถิ่น ซึ่งจะชัดเจนกว่าในมิติของความมีส่วนร่วมของชุมชนนั่นเอง
ทำไมต้องมีพื้นที่คุ้มครองที่ทะเลชุมพรและทะเลจะนะ ?
ชุมพรและจะนะเป็นพื้นที่ที่สำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศและของภูมิภาค เป็นทั้งแหล่งกำเนิดและที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำที่เป็นอาหารมากมาย เช่น ปลาทู ปูม้า หมึกชนิดต่างๆ และปลาอีกหลากชนิดนับไม่ถ้วนเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ทะเลเชื่อมติดกับคลองที่ส่งผ่านสารอาหารมาจากภูเขา ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเป็นพื้นที่สาธารณะที่สำคัญกับทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวจากภายนอก ที่สำคัญยังสำคัญต่อเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ทั้งกับชาวประมงพื้นบ้าน ประมงพานิช และอาชีพต่อเนื่องจากประมงอื่นๆ
ทะเลปะทิวและทะเลจะนะเหมือนกับทะเลอีกหลายแห่งในประเทศ ที่กำลังถูกคุกคามด้วยภัยภายนอกมากมาย ทั้งประมงที่ใช้เครื่องมือทำลายล้าง ปรากฏการณ์ทะเลเดือด มลพิษทางอากาศ ทางน้ำ และการพังทลายของระบบบนิเวศที่ถูกตอกย้ำด้วยความพยายามในการสร้างท่าเรือน้ำลึก อุตสาหกรรมหลังท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนและความขัดแย้งระหว่างรัฐและชุมชน เป็นต้น
พี่น้องชาวประมงพื้นบ้านทั้งปะทิวและจะนะนั้นเคยผ่านวิกฤติการต่อสู้เพื่อปกป้องทะเลและชายฝั่งมาอย่างยาวนาน ทั้งการปรับตัวในการใช้เครื่องมือประมง การทำงานอนุรักษ์ฟื้นฟู การสร้างความร่วมมือในพื้นที่ รวมทั้งการการขับเคลือนในระดับนโยบาย ดังนั้น การใช้กลไกพื้นที่คุ้มครองทางทะเลเข้ามาหนุนเสริมจะช่วยให้พื้นที่ทั้งสองแห่งได้มีการทำงานร่วมกันของชุมชนชายฝั่ง เกิดการดูแลคุ้มครองพื้นที่เหล่านั้นเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเจตนารมของเครื่องมือ ทั้งในแง่การดูแลและบังคับใช้กฏหมาย กฏ กติกา การลดความขัดแย้งระหว่างชุมชนเองและชุมชนกับรัฐ และการพัฒนาคนพัฒนาบุคลากรเพื่อเสริมงานด้านอนุรักษ์ ปกป้อง และการออกแบบการอนรักษ์และการใช้ปรัพยากรไปควบคู่กันอย่างยั่งยืน มีความชัดเจนในเรืองการจัดการ วางแผนอนุรักษ์และใช้ประโชน์ การจัดสรรการสนับสนุน การมีส่วนร่วมของชุมชน และช่วยปกป้องพื้นที่จากภัยคุกคาม รวมทั้งปัญหาสภาวะโลกร้อน ซึ่งจะมีผลต่อระบบนิเวศโดยรวมอื่นๆที่เชื่อมโยงกับทะเลด้วย

ซั้งกอที่ใช้ทำกิจกรรมกับชุมชนมีประโยชน์อย่างไร มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไหม ?
ซั้งกอ มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในหลายพื้นที่ เช่น อูหยำ ปะการังเทียมธรรมชาติ บ้านปลาทางมะพร้าว เป็นต้น เป็นเครื่องมือที่ทำจากทางมะพร้าว เชือก และวัสดุถ่วงไว้ในทะเลเพื่อเป็นพื้นที่ให้สัตว์ทะเลน้อยใหญ่ได้มีที่หลบซ่อน อยู่อาศัย และเกิดระบบนิเวศขนาดย่อมในบริเวณนั้น
แต่เดิม ซั้งกอเป็นเครื่องมือประมงอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านใช้สร้างเพื่อใช้ล่อปลาเข้ามาเพื่อจับ แต่ด้วยกลไกการทำข้อตกลงในชุมชนว่าห้ามมีการทำประมงในบริเวณที่ทิ้งซั้งกอ หรือมีการทำประมงได้แต่ห้ามใช้เครื่องมือทำลายล้างในบริเวณใกล้ที่มีซั้งกอ ทำให้ซั้งกอกลายเป็นเครื่องมืออนุรักษ์ เป็นหนึ่งในเครื่องมือทำ Zoning ที่ชาวประมงพื้นบ้านใช้ในการทำจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเลนั่นเอง
ซั้งกอประกอบขึ้นด้วยเชือก ไม้ไผ่ ทางมะพร้าว และวัสดุถ่วง เช่น หิน ทราย ซีเมนต์ ซึ่งจะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 1 ปีและจะย่อยสลายไปเองตามธรรมชาติ แม้จะมีวัสดุบางชนิดที่ย่อยสลายไม่ได้ แต่ปัจจุบันกรีนพีซและชาวประมงได้เริ่มทดลองออกแบบซั้งกอที่สามารถย่อยสลายได้ 100% ด้วยการหาวัสดุทดแทนเชือกชนิดใหม่ๆ เช่น เชือกปอ แทนเชือกพลาสติก รวมทั้งมีการค้นคว้าหาวัสดุทดแทนปูนซีเมต์หรือหิน เช่น การใช้ปูนเปลือกหอย การใช้ทรายธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นความพยายามในการสร้างความยั่งยืนของชุมชนที่น่าสนใจอย่างมาก
เรื่องราวที่น่าสนใจบนเรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์

รู้จัก เรือเรนโบว์วอร์ริเออร์

สมาชิกชาวไทยบนเรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์

