กรุงเทพฯ, 5 มิถุนายน 2568 – เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกซึ่งตรงกับวันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี กรีนพีซ ประเทศไทย จัดงาน “END THE AGE OF PLASTIC: ยุติมลพิษพลาสติก”ณ ชั้น 1 หอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จากการรวบรวมผลการศึกษาจากหลากหลายแหล่งข้อมูล [1] ที่สะท้อนถึงผลกระทบที่แท้จริงของมลพิษพลาสติก ซึ่งกำลังคุกคามระบบนิเวศ สุขภาพของประชาชน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต หากประเทศไทยยังคงเพิกเฉยต่อการควบคุมการผลิตพลาสติกใหม่
งานเสวนาครั้งนี้ยังเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของประเทศไทยในฐานะผู้นำระดับภูมิภาคอาเซียน ในการเจรจาจัดทำสนธิสัญญาว่าด้วยพลาสติกฉบับโลก (Global Plastics Treaty) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมรอบที่ 5.2 หรือ INC-5.2 ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นับเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยสามารถแสดงจุดยืนที่กล้าหาญในการผลักดันให้เกิดการจำกัดการผลิตพลาสติกใหม่ตั้งแต่ต้นทางในระดับโลก ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติกอย่างยั่งยืน
พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า
“ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศผู้นำของภูมิภาคอาเซียน นี่คือโอกาสที่สำคัญในการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนบนเวทีโลก ผ่านการผลักดันเป้าหมายและกรอบเวลาของการลดการผลิตพลาสติกใหม่ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติกอย่างแท้จริง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เสียงของไทยสามารถเป็นพลังบวกที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโลกได้ หากเราเริ่มลงมือปฎิบัติ ด้วยความกล้า ไม่ย่อท้อและโอนอ่อนต่อแรงกดดัน เราจะไม่เพียงรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ได้ แต่ยังสร้างต้นแบบแห่งความยั่งยืนให้ภูมิภาคและโลกได้เห็นว่าไทยพร้อมเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง”
แม้ประเทศไทยจะใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP เป็นตัวชี้วัดหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่การมุ่งเน้นเพียงตัวเลขโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพของประชาชน กำลังกลายเป็นกับดักที่ย้อนกลับมาทำร้ายประเทศในระยะยาว การเพิ่มการผลิตพลาสติกอาจสร้างรายได้ระยะสั้นให้กับบางภาคส่วน แต่ในทางกลับกันกลับสร้างต้นทุนด้านสุขภาพ ภัยพิบัติ และความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติที่ภาครัฐและประชาชนต้องแบกรับ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจในโลกยุคใหม่จึงไม่อาจแยกขาดจากการคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้านได้อีกต่อไป
จากรายงานวารสาร Cambridge Prisms: Plastics [2] ระบุว่า แม้การลดการผลิตพลาสติกและลงทุนในทางเลือกที่ยั่งยืนจะมีต้นทุน แต่ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาวนั้นคุ้มค่าและชัดเจนกว่าการเพิกเฉย โดยมีการคาดการณ์ความเสียหายจากมลพิษพลาสติกอาจสูงถึง 14,000–282,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากไม่มีการจัดการที่เป็นรูปธรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย จะต้องกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกภายใต้กรอบเวลาที่ชัดเจน เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วม สร้างความโปร่งใส และเสริมความเชื่อมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย กล่าวว่า
“การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการผลักภาระต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การผลิตพลาสติกที่ไม่จำเป็นและไม่มีการควบคุมจะทำให้สังคมและสิ่งแวดล้อมเสียหายไร้ที่สิ้นสุด เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ เศรษฐกิจที่ดีต้องคำนึงถึงอนาคต และระบบการเงินที่เป็นธรรมต้องไม่สนับสนุนธุรกิจที่ทำร้ายอนาคตคนรุ่นหลัง”
ชณัฐ วุฒิวิกัยการ ผู้ก่อตั้ง KongGreenGreen กล่าวว่า
“พลาสติกชิ้นเดียวที่เราใช้แล้วทิ้ง อาจดูเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อสะสมจากคนทั้งประเทศ มันสามารถกลายเป็นวิกฤตระดับชาติได้ การเปลี่ยนแปลงสามารถเริ่มต้นได้จากการลงมือทำด้วยตัวเราเองแม้จะเป็นเพียงการปฏิเสธถุงพลาสติกหรือการพกแก้วส่วนตัว แต่เมื่อคนจำนวนมากร่วมมือกัน โลกของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น”
ผศ.เพ็ญจันทร์ ละอองมณี รองคณบดีคณะเทคโนโลยีทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี กล่าวว่า
“พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งในปัจจุบันไม่ได้ย่อยสลายหายไป แต่กลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ นโยบายลดการผลิตพลาสติกไม่ใช่เพียงการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่คือการปกป้องสุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร และความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเลที่เราต้องพึ่งพา”
กรีนพีซ ประเทศไทย เรียกร้องให้ประเทศไทยกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกใหม่อย่างชัดเจนในระดับนโยบาย โดยเฉพาะในการประชุมเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก (INC-5.2) ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ประเทศไทยควรใช้โอกาสนี้ในการแสดงบทบาทนำของภูมิภาค และยืนหยัดเพื่อระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยมีประชาชนและธรรมชาติเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
สนธิสัญญาฉบับนี้จะต้องกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกใหม่ลงอย่างน้อยร้อยละ 75 ภายในปี 2583 (ค.ศ. 2040) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และช่วยจำกัดอุณหภูมิพื้นผิวโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม เป็นเกณฑ์สำคัญตามเป้าหมายของความตกลงปารีส ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามในความตกลงดังกล่าวไปเมื่อปี 2559
การยุติมลพิษพลาสติกไม่ใช่ภาระของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่คือ ความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งสังคม และคือโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง สู่อนาคตที่สะอาด ยุติธรรม และยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป
หมายเหตุ
[1] เอกสารการรวบรวมผลการศึกษา “ต้นทุนของความเพิกเฉย: ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศไทย หากไม่ลดการผลิตพลาสติก”
[2] Cordier, M., Uehara, T., Jorgensen, B., & Baztan, J. (2024). Reducing plastic production: Economic loss or environmental gain? Cambridge Prisms: Plastics, 2. https://doi.org/10.1017/plc.2024.3
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
สมฤดี ปานะศุทธะ กรีนพีซ ประเทศไทย โทร. 081 9295747 อีเมล [email protected]