จาการ์ตา, 19 กันยายน 2561 – จากผลการรวบรวมข้อมูลเชิงสืบสวนของกรีนพีซสากลระบุว่า ผู้ค้าน้ำมันปาล์มหลายรายและแบรนด์ระดับโลกได้แก่ ยูนิลีเวอร์(Unilever), เนสท์เล่(Nestlé), คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ(Colgate-Palmolive) และมอนเดลีซ(Mondelez) ได้ทำลายผืนป่าฝนเขตร้อนไปเป็นจำนวนมาก โดยมีขนาดเกือบสองเท่าของประเทศสิงคโปร์ในช่วงเวลาน้อยกว่าสามปี
กรีนพีซสากลประเมินผลการทำลายผืนป่าของผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ 25 ราย พบว่า
- กลุ่มผู้ค้าน้ำมันปาล์มจำนวน 25 กลุ่มทำลายผืนป่าฝนเขตร้อนไปแล้วกว่า 130,000 เฮกตาร์(812,500 ไร่)ตั้งแต่ปลายปีพ.ศ.2558
- 40% ของการตัดไม้ทำลายป่า (51,600 เฮกตาร์หรือ 322,500 ไร่) อยู่ในจังหวัดปาปัว ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และตอนนี้ยังรอดพ้นจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
- แบรนด์ 12 แบรนด์ที่รับซื้อน้ำมันปาล์มจาก 20 บริษัทในกลุ่มน้ำมันปาล์ม คือ คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ, เจนเนอรัล มิลส์(General Mills), เฮอร์ชีส์, เคลล็อก(Kellogg’s), คราฟท์ ไฮนซ์ (Kraft Heinz), ลอรีอัล (L’Oreal), มาร์ส (Mars), มอนเดลีซ(Mondelez), เนสท์เล่, เป๊ปซี่โค (PepsiCo), เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (Reckitt Benckiser) และยูนิลีเวอร์
- วิลมาร์ (Wilmar) บริษัทผู้ค้าน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดในโลกรับซื้อน้ำมันปาล์มจากบริษัท 18 บริษัทในกลุ่มน้ำมันปาล์ม
ผลการสืบสวนสวบสวนเผยความล้มเหลวของบริษัทวิลมาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ค้าน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดในโลก ที่เชื่อมโยงกับการตัดไม้ทำลายป่าฝนเขตร้อน ในปีพ.ศ.2556 กรีนพีซสากลได้เปิดโปงบริษัทวิลมาร์และกลุ่มผู้ค้าอื่นๆ ว่ามีส่วนรู้เห็นกับการตัดไม้ทำลายป่า การเคลื่อนย้ายไม้ออกอย่างผิดกฎหมาย ไฟป่าที่โหมไหม้ป่าพรุ และการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของเสือ และในปีนั้นเอง วิลมาร์ได้ประกาศนโยบายว่าจะไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าและไม่มีการหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอีก แต่จากรายงานการวิเคราะห์ของกรีนพีซในเดือนกันยายน 2561 กลับพบว่าวิลมาร์ยังคงใช้น้ำมันปาล์มจากกลุ่มที่ทำลายป่าฝนเขตร้อนและเข้ายึดครองที่ดินของชาวบ้านอยู่
“น้ำมันปาล์มสามารถผลิตได้โดยไม่จำเป็นต้องทำลายป่าฝนเขตร้อน แต่ผลการรวบรวมข้อมูลเชิงสืบสวนยังแสดงให้เห็นว่าน้ำมันปาล์มของวิลมาร์ยังคงปนเปื้อนไปด้วยป่าฝนเขตร้อนที่ถูกทำลายอยู่ แบรนด์ของใช้ในบ้านอย่าง ยูนิลีเวอร์ เนสท์เล่ คอลเกต-ปาล์มโอลีฟและมอนเดลีซได้ให้คำมั่นต่อลูกค้าของพวกเขาว่าจะใช้เฉพาะน้ำมันปาล์มที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้ แต่พวกเขากลับไม่รักษาสัญญา แบรนด์เหล่านี้จึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนและยกเลิกใช้น้ำมันปาล์มจากวิลมาร์จนกว่าบริษัทจะผลิตน้ำมันปาล์มที่สะอาด ซึ่งก็คือการไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายผืนป่าฝนเขตร้อนอีก” กิกิ เทาฟิก (Kiki Taufik) หัวหน้างานรณรงค์ด้านป่าไม้ทั่วโลกของกรีนพีซกล่าว
นอกเหนือไปจากการตัดไม้ทำลายป่าแล้ว ยังมีปัญหาอื่นอีก 25 ปัญหา ซึ่งรวมถึงการลักลอบใช้แรงงาน ปัญหาความขัดแย้งในชุมชน การเรียกหาผลประโยชน์ การตัดไม้ทำลายป่าที่ผิดกฎหมาย การพัฒนาโดยไม่ได้รับอนุญาต การพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ป่าคุ้มครอง และการเกิดไฟป่าที่เชื่อมโยงกับการยึดครองที่ดิน สิ่งเหล่านี้สามารถประเมินสภาพการตัดไม้ทำลายป่าได้อย่างครอบคลุมที่สุดในปาปัว อินโดนีเซีย
“ปาปัวเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก และผืนป่าตามธรรมชาติได้ถูกทำลายทั่วอินโดนีเซีย ในปัจจุบัน การรุกคืบเข้าไปทำลายผืนป่าของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันกำลังเป็นที่น่ากังวล ถ้าเราไม่หยุดการกระทำเหล่านี้ ป่าไม้ที่สวยงามของปาปัวก็จะถูกทำลายเพื่ออุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันเช่นเดียวกับป่าไม้บนเกาะสุมาตราและกาลิมันตัน“ เทาฟิกกล่าว
น้ำมันปาล์มส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประชาชนและสภาพภูมิอากาศ
- อุรังอุตังสายพันธุ์บอร์เนียวลดลงไปครึ่งหนึ่งในระยะเวลาเพียง 16 ปี เพราะถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันถูกทำลายโดยอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน พื้นที่กว่าสามในสี่ของอุทยานแห่งชาติเทสโซ ไนโล (Tesso Nilo) ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเสือ อุรังอุตังและช้าง ถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนปาล์มน้ำมันผิดกฎหมาย มีอุรังอุตังถึง 193 สายพันธุ์ถูกจัดให้อยู่ในภาวะเสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ (Critically Endangered) ใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) และเกือบอยู่ในข่ายใกล้สูญพันธุ์ (Vulnerable) ซึ่งเป็นผลจากการคุกคามของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
- อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันเป็นหนึ่งในภาคการผลิตที่มีส่วนสำคัญต่อ การทำลายผืนป่าเขตร้อนมากที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ผืนป่าฝนเขตร้อนกว่า 24 ล้านเฮกตาร์ถูกทำลายในอินโดนีเซียระหว่างปีพ.ศ.2533 ถึงพ.ศ.2558 ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการของรัฐบาลอินโดนีเซีย
- การตัดไม้ทำลายป่าและการทำลายพื้นที่ป่าพรุ เป็นที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทำให้อินโดนีเซียอยู่ในระดับต้นๆ ของประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกาและจีน
- การพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกเป็นสาเหตุของการเกิดไฟป่าในพื้นที่ป่าและป่าพรุของอินโดนีเซีย ในเดือนกรกฎาคมปีพ.ศ.2558 ความเสียหายได้แผ่ขยายไปทั่วเกาะสุมาตรา กาลิมันตันและปาปัว ไฟป่าก่อให้เกิดเมฆหมอกที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่านับล้านคนทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและโคลัมเบียประเมินว่าหมอกควันจากอินโดนีเซียในปีพ.ศ.2558 อาจก่อให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 100,000 คน ธนาคารโลก (World Bank) ประเมินค่าความเสียหายจากภัยพิบัติครั้งนี้อยู่ที่ 16 พันล้านเหรียญสหรัฐ
- วิลมาร์ อินเตอร์เนชั่นแนลและบริษัทน้ำมันปาล์มรายอื่นๆ ถูกกล่าวหาว่าลักลอบใช้แรงงานเด็กและคนในชุมชนด้วย
รูปภาพและวิดีโอเพิ่มเติม
หมายเหตุ
[1] แหล่งที่มาของตัวเลขแสดงการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้
1990–2012: MoEF (2016b) Table Annex 5.1, pp90–1 – gross deforestation 21,339,301ha
2012–2013: MoEF (2014) Lampiran 1, Tabel 1.1 – gross deforestation 953,977ha
2013–2014: MoEF (2015) Lampiran 1, Tabel 1.1 – gross deforestation 567,997ha
2014–2015: MoEF (2016a) Lampiran 1, Tabel 1.1 – gross deforestation 1,223,553ha