ถึงเวลาที่ผู้นำโลกต้องเผชิญหน้ากับอุตสาหกรรมน้ำมัน ที่เป็นอุปสรรคขวางทางในการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก หลังจากการประชุมยาวนานกว่าสองสัปดาห์ รัฐบาลทั่วโลกก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงว่าจะจัดการกับวิกฤตมลพิษพลาสติกได้อย่างไร การเจรจาครั้งนี้ถูก “เลื่อนออกไป” และยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะมีการเจรจาอีกเมื่อไร แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนจากการเจรจา INC-5.2 ในครั้งนี้ คือ เราจะไม่หยุดเรียกร้องสนธิสัญญาที่เข้มแข็งและให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้คนและโลก มากกว่าผลประโยชน์ของผู้ก่อมลพิษ ผู้คนทั่วโลกนับล้านจะไม่มีวันหยุดส่งเสียงจนกว่าจะได้ข้อตกลงที่เป็นธรรมและสามารถยุติวิกฤตมลพิษพลาสติกได้จริง
เราจะไม่สามารถหยุดวิกฤตมลพิษพลาสติกได้ หากไม่มีการลดการผลิตพลาสติก

ต้นเหตุของวิกฤตขยะวิกฤตพลาสติกชัดเจนกว่าที่คิด โลกกำลังกำลังผลิตพลาสติกมากเกินไป จนเกินขีดจำกัดที่เราจะรับมือได้ ขณะที่นานาประเทศกำลังหารือเพื่อสร้างข้อตกลงระดับโลก เพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิพื้นผิวโลกไม่ให้เกินเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีส สนับสนุนสิทธิชนพื้นเมือง และปกป้องสุขภาพผู้คนและชุมชนของเรา หนทางเดียวที่เป็นไปได้คือเราต้องลดการผลิตพลาสติกระดับโลกอย่างเร่งด่วน งานวิจัยหลายฉบับได้คาดการณ์ไว้ว่าการผลิตพลาสติกอาจเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าภายในปี 2593 และหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นต่อไป โลกของเราและสภาพภูมิอากาศของเราอาจไม่สามารถรับมือกับมลพิษพลาสติกมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
พลาสติกอยู่รอบตัวเรา เราสามารถพบเจอได้ทุกที่ทั้งในอากาศที่เราหายใจ ในน้ำ ในดิน หรือแม้กระทั่งในเลือดของเรา นี่ควรเป็นสัญญาณเตือนที่เพียงพอแล้วให้รัฐบาลทั่วโลกต้องลงมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เพราะพลาสติกไม่เพียงสร้างขยะล้นโลก แต่ยังปลดปล่อยสารพิษและสารเคมีอันตราย และแตกตัวกลายเป็นแมคโครพลาสติก ไมโครพลาสติก และนาโนพลาสติกตลอดทั้งวงจรชีวิตของมัน เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงมลพิษพลาสติกได้เลย แม้แต่ในบ้านของเราเอง หากเราต้องรับมือกับวิกฤตมลพิษพลาสติก การจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกโลกนี้อย่างน้อยต้องกำหนดเส้นทางไปสู่กฎเกณฑ์สากลในการลดการผลิตพลาสติก สนธิสัญญาที่ไม่พูดถึงปัญหาที่ต้นทางของมลพิษย่อมเป็นสนธิสัญญาที่อ่อนแอและล้มเหลว และคงไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่นำไปสู่การยุติวิกฤตมลพิษพลาสติกได้
หลายประเทศพร้อมผลักดันมาตรการที่เข้มแข็ง แต่ถูกสกัดกั้นโดยเสียงส่วนน้อย
ก่อนการประชุม INC-5.2 มีการจัดทำ ‘ปฏิญญา’ ที่มีชื่อว่า “The Nice wake up call for an ambitious plastics treaty” หรือ ‘ปฏิญญา นีซ’ ที่มีประเทศมากกว่า 90 ประเทศร่วมแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนในการสนับสนุนสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่มีความเข้มแข็ง ปฏิญญานี้เป็นสัญลักษณ์สำคัญของความมุ่งมั่นต่อการยกระดับความทะเยอทะยานของการจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกโลก ซึ่งรวมถึงการเรียกร้องให้มีการกำหนดเป้าหมายระดับโลกในการลดการผลิตและการบริโภคพลาสติก พร้อมกับมาตรการอื่น ๆ ของสนธิสัญญาที่มีความสำคัญเช่นเดียวกัน อาทิ มาตรการจัดการผลิตภัณฑ์และสารเคมีที่เป็นอันตราย การผลักดันระบบใช้ซ้ำ การจัดตั้งกลไกการเงินที่เป็นธรรม และการบังคับใช้การโหวต (Voting) ในการประชุมภาคีในอนาคตเพื่อป้องกันการเจรจาที่ยืดเยื้อเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ ซึ่งผ่านมากว่า 6 รอบแล้ว

ประเทศที่มีความทะเยอทะยานเดินทางมาร่วมประชุม INC-5.2 ด้วยความพร้อมที่จะทำงานอย่างจริงจัง หลายประเทศลงนามสนับสนุนมาตรการที่จำเป็นเพื่อผลักดันให้สนธิสัญญาพลาสติกโลกสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ความพยายามในการหาข้อตกลงร่วมกันกลับถูกทำลายลงอีกครั้งด้วยกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ประเทศส่วนน้อยที่ไม่มีความซื่อสัตย์ในการเจรจาได้รับผลประโยชน์ไป โดยร่างสนธิสัญญาทั้งสองฉบับที่นำเสนอโดยประธาน(Chair’s text) ในช่วงระหว่างการประชุม กลับไม่มีฉบับใดเลยที่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์และใช้การได้จริง เราวนมาที่จุดเดิม ที่ไม่มีความชัดเจนว่ารัฐบาลจะรับมืออย่างไรเพื่อแก้ไขวิกฤตมลพิษนี้
ในขณะที่วิกฤตมลพิษพลาสติกกำลังผลักโลกให้ก้าวเข้าสู่ ‘ภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ’ ประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้อย่างชัดเจนถึงความเฉื่อยชาและการไร้ความกล้าหาญของรัฐบาลที่ปล่อยให้การประชุม INC ผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยที่ทั้งโลกก็ยังคงรอการตัดสินใจที่กล้าหาญ สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่า คือ บทบาทของประเทศจำนวนน้อยที่พยายามบิดเบือนกระบวนการพหุภาคี เพื่อลดทอนความทะเยอทะยานลงจนแทบหมดสิ้น และยิ่งทำให้เราติดหล่มอยู่ในระบบการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งเต็มไปด้วยมลพิษ และการทำลายล้างมากขึ้น
ภาคธุรกิจเองก็ไม่อาจทนต่อไป
ในขณะที่กลุ่มล็อบบี้จากฝั่งเชื้อเพลิงฟอสซิลพยายามสุดกำลังที่จะยื้อสถานการณ์เดิมเอาไว้และถ่วงเวลาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน แต่ในอีกฟากหนึ่ง ภาคธุรกิจและชุมชนทั่วโลกต่างแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลต่างๆ ยังสามารถเลือกเส้นทางที่แตกต่างได้ โมเดลธุรกิจที่สนับสนุนสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่การเอาตัวรอดเพียงชั่วคราว แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคอย่าง Unilever และสมาชิก Business Coalition ที่เคยพึ่งพาพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ก็ประกาศว่า “พอแล้ว ถึงเวลาสำหรับระบบใหม่”
และนี่ไม่ใช่เสียงจากไม่กี่บริษัท แต่เป็นพลังของผู้นำธุรกิจมากกว่า 450 รายจากทั่วโลก ที่ร่วมมือกันผ่าน กรีนพีซ สากล, กลุ่มเครือข่าย Break Free From Plastic และองค์กร Plastic Pollution Coalition ภายใต้โครงการ Champions of Change ได้รวมพลังเรียกร้องสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่เข้มแข็ง เพื่อลดการผลิตพลาสติกที่ต้นทาง แรงกดดันและเสียงเรียกร้องเหล่านี้ได้เพิ่มขึ้นและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องในข้อเรียกร้องหลักที่มีต่อรัฐบาล เพราะความจริงคือมลพิษพลาสติกไม่เพียงทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ทำลายระบบเศรษฐกิจและธุรกิจ และในไม่ช้านี้จะมีอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอีกที่ออกมาเรียกร้องให้มีการดำเนินการ โดยมีทั้งผู้บริโภคและภาคประชาสังคมสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ที่ยืนเคียงข้างกัน เพื่อผลักดัน อนาคตที่ปราศจากมลพิษพลาสติก

ถึงเวลาปลด Big Plastic ออกจากโต๊ะเจรจา
เช่นเดียวกับมลพิษพลาสติก อุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีแทรกซึมอยู่ทุกที่ พวกเขาพรางตัวในงานทางสังคม แสร้งทำเป็นสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในงานเสวนาด้านความยั่งยืน เป็นผู้สนับสนุนกิจกรรมสาธารณะและการกีฬาต่างๆ และซื้อพื้นที่สื่อเพื่อผลักดันวาระการฟอกเขียว(Greenwashing) ของตนเอง อิทธิพลที่พวกเขามีต่อกระบวนการของสหประชาชาติซึ่งมุ่งแก้ไขความเสียหายที่เกิดจากสิ่งที่พวกเขาสร้างไว้นั้นเป็นสิ่งที่เปิดตาอย่างแท้จริงในการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติก เราเห็นการกุมอำนาจอย่างเปิดเผยในทุกการประชุม INC กลุ่มผู้แทนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีเดินทางมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในการประชุม INC-5.2 เพียงครั้งเดียวมีผู้แทนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมถึง 234 คน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามข้อมูลของ Center for International Environmental Law
ก่อนการเจรจาเริ่มต้นเพียงไม่กี่วัน กรีนพีซ สหราชอาณาจักร ได้เผยแพร่รายงานที่เปิดโปงว่า บริษัทปิโตรเคมีรายใหญ่ของโลกบางแห่งกำลังล็อบบี้อย่างเป็นระบบเพื่อต่อต้านการลดการผลิตพลาสติก ขณะเดียวกันก็สร้างผลกำไรอย่างมหาศาลจากการขยายธุรกิจพลาสติกของตนเอง รายงานเปิดเผยว่า นับตั้งแต่การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2565 บริษัทเพียง 7 แห่งได้ผลิตพลาสติกแล้ว 1.4 ล้านตัน มากพอที่จะบรรทุกใส่รถขยะได้ 5 คันครึ่งต่อทุก ๆ นาที ขณะเดียวกันบริษัทเหล่านี้ยังส่งนักล็อบบี้กว่า 70 คนเข้าร่วมการเจรจา โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอุตสาหกรรมแนวหน้าที่มีอิทธิพล

กรีนพีซ สากล และ Center for International Environmental Law ได้ร่วมกันส่งจดหมายถึงหัวหน้าโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และสำนักเลขาธิการ INC เพื่อเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้ห้ามกลุ่มล็อบบี้จากอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีเข้าร่วมใการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งหมด
เมื่อระบบพหุภาคีถูกถ่วงให้จม… ถึงเวลาหรือยังที่เราจะสร้าง “เรือชูชีพ” ของเราเอง?

สภาพที่สั่นคลอนของ พหุภาคีนิยม (multilateralism) หรือการเจรจาระหว่างหลายประเทศ ปรากฏชัดเจนในทุก ๆ รอบของการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก การเจรจาแต่ละรอบเต็มไปด้วยอุปสรรคเพราะต้องเจอกับความซับซ้อนทางการเมืองระหว่างประเทศ และปัจจัยแอบแฝงหลายด้านที่ส่งผลต่อทิศทางการตัดสินใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้การหาข้อตกลงร่วมกันเป็นไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่โลกกำลังเผชิญ วิกฤตสิ่งแวดล้อมและปัญหาความเป็นธรรมทางสังคมที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เราเห็นได้ชัดว่า ‘ความเร็วของการเจรจา ช้ากว่าปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริง’ และหากยังดำเนินต่อไปแบบนี้ โลกอาจไม่ทันรับมือกับผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เราต่างรู้ดีว่า ปัญหาระดับโลกต้องหาทางออกระดับโลก และต้องการข้อตกลงร่วมกันเพื่อสร้าง ‘กติกาสากล’ ที่ทุกประเทศต้องปฎิบัติตาม แต่ตอนนี้เห็นชัดเจนแล้วว่า บางสิ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง หากเราต้องการให้โลกเดินหน้าต่อไปได้
ในระหว่างการประชุม INC-5.2 คณะผู้แทนกรีนพีซได้ส่ง ‘มีม’ อยู่บ่อยครั้ง ข้อความว่า ‘การเมืองมันโหดร้าย’ (The politics are brutal) แสดงถึงอารมณ์ขันอันขมขื่น ในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องเตือนใจว่าในช่วงเวลาแบบนี้ว่า การยืนหยัดร่วมกับพลังขับเคลื่อนจากทั่วโลกที่กำลังเติบโตและร่วมกันผลักดันอนาคตที่ปลอดมลพิษพลาสติก เป็นสิ่งจำเป็นกว่าที่เคย เพื่อจับตาและกดดันผู้นำโลกให้ทำหน้าที่ของพวกเขา
หลังจากเจนีวา เราจะเดินต่อไปทางไหน?
“เราหยุดไม่ได้ และเราจะไม่หยุด” โลกต้องการสนธิสัญญาพลาสติกที่ ‘ลดการผลิตพลาสติก’ คุ้มครองสิทธิชนพื้นเมือง ให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิทธิของชุมชนด่านหน้าและผู้ได้รับผลกระทบ ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และไม่ซ้ำเติมวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ผู้นำโลกจะต้องตัดสินใจ ว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร ความล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงที่เจนีวา ต้องกลายเป็นสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ให้โลกตื่น เพราะการยุติมลพิษพลาสติกจะเป็นไปไม่ได้เลย หากเราไม่เผชิญหน้ากับอิทธิพลผลประโยชน์จากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างตรงไปตรงมา
รัฐบาลทั่วโลกไม่อาจเดินตามรอยเดิม แล้วคาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไปได้อีกต่อไปแล้ว เวลาของความลังเลได้สิ้นสุดแล้ว มีเพียงความกล้าหาญและความมุ่งมั่นเท่านั้น ที่จะพาเราไปสู่สนธิสัญญาพลาสติกโลกที่เข้มแข็งและหยุดวิกฤตมลพิษพลาสติกได้จริง
สุขภาพของประชาชนในวันนี้และลูกหลานในอนาคต สังคมของพวกเรา และระบบนิเวศของทั้งโลก ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจครั้งนี้