กรุงโตเกียว, 27 ตุลาคม 2568 – บริษัทโตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังทำให้โลกถอยห่างจากเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ 1.5°C อย่างน่ากังวล รายงานฉบับใหม่จากกรีนพีซ เอเชียตะวันออก (สำนักงานโตเกียว) เปิดเผยว่า การที่โตโยต้าลดเป้าหมายการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) อาจส่งผลให้เกิดการปล่อยคาร์บอนส่วนเกินหลายล้านตัน ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมวิกฤตสภาพภูมิอากาศและชะลอการลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก นอกจากนี้ การที่โตโยต้าพึ่งพาการขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) อย่างต่อเนื่อง ยังเสี่ยงทำให้ภูมิภาคที่กำลังพัฒนา เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย ติดอยู่ในวงจรการปล่อยคาร์บอนสูง ในขณะที่ภูมิภาคเหล่านี้กำลังเผชิญกับความเปราะบางและผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น
รายงานฉบับล่าสุด เรื่อง “Toyota at a Crossroads: World’s Largest Automaker’s BEV Strategy Against the 1.5°C Pathway” วิเคราะห์การปล่อยคาร์บอนของรถยนต์โตโยต้าตามประเภทระบบส่งกำลังรถยนต์ (Powertrain) เพื่อประเมินความคืบหน้าในการลดการปล่อยคาร์บอนภายในปี 2569 และ 2573 ภายใต้ 3 สถานการณ์การขายรถยนต์ที่แตกต่างกัน [1] และตรวจสอบว่าเป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับเส้นทางการจำกัดอุณหภูมิไม่เกิน 1.5°C ตามรายงานของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) หรือไม่
ผลการศึกษาพบว่า แม้แต่เป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ที่ทะเยอทะยานที่สุดของโตโยต้า [2] ก็ยังให้ผลที่ต่ำกว่าระดับที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ 1.5°C อย่างมีนัยสำคัญ โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โตโยต้าได้ปรับลดเป้าหมายยอดขายขายรถ BEV ประจำปี 2569 ลงครึ่งหนึ่ง จาก 1.5 ล้านคัน เหลือ 8 แสนคัน ซึ่งการปรับลดดังกล่าวอาจส่งผลให้มีการปล่อยคาร์บอนส่วนเกินเพิ่มขึ้นอีก 11.7-22.6 ล้านตัน เมื่อเทียบกับเป้าหมายเดิม สำหรับเป้าหมายระยะยาวในปี 2573 แม้โตโยต้าจะสามารถบรรลุยอดขายรถยนต์ BEV ได้ 3.5 ล้านคันต่อปี การปล่อยคาร์บอนที่คาดการณ์ไว้ก็ยังคงสูงเกินกว่าระดับที่สอดคล้องกับเส้นทางการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C
มาริโกะ ชิโอะฮะตะ นักรณรงค์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ ญี่ปุ่น กล่าวว่า
“ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก การตัดสินใจของโตโยต้ามีผลกระทบในระดับโลก การวิเคราะห์ของเราพบว่า โตโยต้าได้ประกาศแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) โดยยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างไร หากโตโยต้ามุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 จริง บริษัทจำเป็นต้องพัฒนาและกำหนดฉากทัศน์ที่ชัดเจน และใช้วิธีการวิเคราะห์ย้อนกลับ (backcasting) เพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างยั่งยืน”
“นักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า โลกได้เข้าสู่จุดเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศที่ไม่อาจย้อนกลับได้ โดยเริ่มจากการสูญเสียแนวปะการัง และอาจเร่งเข้าสู่การล่มสลายของป่าแอมะซอนและแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก โตโยต้าจำเป็นต้องแสดงให้เห็นในทันทีว่าคำมั่นด้านสภาพภูมิอากาศของบริษัทสอดคล้องกับเส้นทางจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C การวิเคราะห์ของเราเพียงแค่ชี้ให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างเป้าหมายการขายรถยนต์ BEV ในปัจจุบันของบริษัทกับการดำเนินการเร่งด่วนที่จำเป็นในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ”
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
- การปล่อยคาร์บอนระดับสูงจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป: ในปี 2566 การปล่อยคาร์บอนระหว่างการใช้งานรถยนต์ของโตโยต้ามากถึงร้อยละ 98.9 หรือเทียบเท่ากับ 436.28 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) มาจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และรถไฮบริด
รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในมีการปล่อยคาร์บอนเฉลี่ย 45.99 ตันต่อคัน ซึ่งมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ที่ปล่อยเพียง 13.06 ตันต่อคัน ถึงกว่า 3 เท่า ขณะที่รถไฮบริดและรถปลั๊กอินไฮบริดสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้เพียงบางส่วน โดยปล่อย 30.79 และ 23.66 ตันต่อคัน ตามลำดับ เนื่องจากยังพึ่งพาการเผาไหม้เชื้อเพลิงอยู่
- ความแตกต่างของการปล่อยคาร์บอนตามภูมิภาคจากการขายรถยนต์เครื่องสันดาปภายใน: ในตลาดที่เน้นการใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นหลัก เช่น เอเชีย ซึ่งเป็นทั้งภูมิภาคที่มีการเติบโตสำคัญและเป็นศูนย์การผลิตของโตโยต้า พบว่าการปล่อยคาร์บอนต่อคันและรวมทั้งหมดสูงกว่ามาก ตัวอย่างเช่น รถโตโยต้าที่จำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทเครื่องยนต์สันดาปภายใน มีการปล่อยคาร์บอนมากกว่ารถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศนอร์เวย์ ถึงกว่าสี่เท่า เนื่องจากตลาดนอร์เวย์มีสัดส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรรี่สูงกว่าอย่างมาก
ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดเอเชีย อย่าง ประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่เปราะบางต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะตกเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับผลกระทบหนักที่สุด หากโตโยต้าชะลอแผนการเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์
- การลดเป้าหมายการผลิตรถไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ อาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศโลก: การตัดสินใจของโตโยต้าที่ปรับลดเป้าหมายการขายรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ในปี 2569 จาก 1.5 ล้านคัน เหลือ 8 แสนคัน อาจก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นอีก 11.7–22.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยคาร์บอนประจำปีของครัวเรือนญี่ปุ่นประมาณ 4.5–8.7 ล้านครัวเรือนในปี 2565
การลดเป้าหมายในครั้งนี้ไม่เพียงบั่นทอนคำมั่นด้านสภาพภูมิอากาศของโตโยต้าเอง แต่ยังเสี่ยงทำลายความพยายามลดการปล่อยคาร์บอนระดับโลกโดยรวม แม้โตโยต้าจะบรรลุเป้าหมายเดิมที่ตั้งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ไว้ที่ 3.5 ล้านคัน ภายในปี 2573 แต่ปริมาณการปล่อยคาร์บอนที่ตั้งไว้ยังสูงถึง 273.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ซึ่งมากเป็นเกือบสองเท่าของระดับที่สอดคล้องกับงบประมาณคาร์บอนภายใต้เป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงกว่า 1.5°C
ผลการวิเคราะห์ดังกล่าวยืนยันว่า แม้กลยุทธ์ที่ก้าวหน้าที่สุดของโตโยต้าก็ยังไม่สอดคล้องกับอัตราการลดการปล่อยคาร์บอนที่จำเป็นตามข้อตกลงปารีส
- ความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่อย่างเต็มรูปแบบ: เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่จำกัดอุณหภูมิไว้ไม่ให้เกิน 1.5°C โตโยต้าจำเป็นต้องเร่งการเปลี่ยนไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่อย่างเต็มรูปแบบ และยุติการจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทั้งหมดภายในปี 2573
โตโยต้าควรกำหนดกรอบเวลาจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างชัดเจนในแต่ละภูมิภาค และเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่อย่างรวดเร็วในทุกตลาดสำคัญของบริษัท หากไม่มีการดำเนินการเชิงรุกและเด็ดขาดในขณะนี้ โตโยต้ามีความเสี่ยงที่จะหลุดจากการบรรลุเป้าหมายการจำกัดสภาพภูมิอากาศไม่ให้เกิน 1.5°C
รูปที่ 1: การปล่อยคาร์บอนระหว่างการใช้งานของรถโตโยต้าที่คาดการณ์ในปี 2573 เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน Science Based Targets initiative (SBTi) และ Greenpeace Carbon Budget Consistent (CBC)

รูปที่ 2: การปล่อยคาร์บอนตลอดอายุการใช้งานของรถโตโยต้า จำแนกตามระบบส่งกำลังรถยนต์ (ปี 2566) [3]

กรีนพีซเรียกร้องให้โตโยต้าเร่งดำเนินการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างน้อยร้อยละ 43 ภายในปี 2573 (เมื่อเทียบกับระดับการปล่อยในปี 2562) ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C ตามที่คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) กำหนดไว้ รวมทั้งการกำหนดเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ที่มีกรอบเวลาและความโปร่งใสที่ชัดเจน วางแผนยุติการจำหน่ายรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน ในระดับโลก และปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลด้าน การปล่อยคาร์บอนทางอ้อม (Scope 3 Emissions) ให้มีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
ชิโอะฮะตะกล่าวเพิ่มเติมว่า
“นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่โตโยต้าจะต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาเยือนเอเชีย ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการหารือเรื่องการค้าและภาษีอีกครั้ง ขณะที่แรงกดดันต่อผู้ผลิตรถยนต์ในการนำแนวทางยั่งยืนมาใช้เพิ่มขึ้น โตโยต้าจำเป็นต้องเร่งดำเนินมาตรการด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและการปรับตัวในขณะที่โลกกำลังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว เราเรียกร้องให้โตโยต้าดำเนินการอย่างเด็ดขาดและจริงจัง เพราะวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่อาจรอได้อีกต่อไป และในฐานะประเทศผู้ผลิตรถยนต์รายสำคัญ ญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญที่จะต้องแสดงความเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก”
หมายเหตุ:
รายงานฉบับเต็ม “Toyota at a Crossroads: World’s Largest Automaker’s BEV Strategy Against the 1.5°C Pathway” สามารถดาวน์โหลดได้ ที่นี่
[1] รายงานนี้วิเคราะห์แผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ของโตโยต้า และประเมินการปล่อยคาร์บอนระหว่างการใช้งาน (Use-phase Emissions) เทียบกับแนวทางจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5°C ตามรายงานของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) โดยใช้ข้อมูลการปล่อยคาร์บอนที่โตโยต้าระบุไว้เป็นทางการ ซึ่งการวิเคราะห์แบ่งเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่
- ยอดขายรถยนต์โตโยต้าในปี 2569 และการปล่อยคาร์บอนระหว่างการใช้งานในแต่ละตลาด
- การแจกแจงการปล่อยคาร์บอนระหว่างการใช้งานในปี 2566 จำแนกตามประเภทของระบบส่งกำลังรถยนต์ (Powertrain)
- แผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ของโตโยต้าในปี 2569 และการประเมินการปล่อยคาร์บอนที่เกี่ยวข้อง
- การคาดการณ์การปล่อยคาร์บอนในปี 2573 ภายใต้สถานการณ์การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ที่แตกต่างกัน ได้แก่
- สถานการณ์การใช้งานรถยนต์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
- สถานการณ์ตามแนวโน้มอุตสาหกรรม
- และสถานการณ์ตามแนวโน้มต่ำกว่าอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานสภาพภูมิอากาศ 1.5°C
ในการประเมินความสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ 1.5°C รายงานฉบับนี้ใช้เกณฑ์มาตรฐานสองชุด ได้แก่ มาตรฐานที่สอดคล้องกับ SBTi และมาตรฐาน Carbon-Budget Consistent ของกรีนพีซ
[2] โตโยต้าเคยประกาศตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนให้เกิดขึ้นภายในปี 2593 โดยมีแผนการผลิตรถยต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ จำนวน 1.5 ล้านคันภายในปี 2569 และ 3.5 ล้านคันภายในปี 2573 ทว่าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายการผลิตปี 2569 ลงเหลือ 8 แสนคัน คิดเป็นการลดประมาณร้อยละ 50 จากเป้าหมายเดิม
[3] Internal Combustion Engine-ICE หมายถึง เครื่องยนต์สันดาปภายใน Hybrid Electric Vehicle-HV: หมายถึง รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด Plug-In Hybrid Electric Vehicle-PHEV หมายถึง รถยนต์ไฮบริดชนิดชาร์จไฟได้ Fuel Cell Vehicle- FCEV หมายถึง รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน และBattery Electric Vehicle-BEV หมายถึง รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
สมฤดี ปานะศุทธะ นักสื่อสารงานรณรงค์ กรีนพีซ ประเทศไทย
โทร. 081 929 5747 อีเมล [email protected]


