อัมสเตอร์ดัม, 19 กันยายน 2568 – นับเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ในที่สุด ทั้ง 60 ประเทศทั่วโลกก็ลงนามให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาทะเลหลวง เปิดทางให้ข้อตกลงครั้งประวัติศาตร์นี้มีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม การให้คำมั่นครั้งนี้จะมีความหมายได้จริง ก็ต่อเมื่อทุกประเทศเร่งลงมือปฎิบัติต่อแผนการปกป้องมหาสมุทรอย่างจริงจัง โดยเฉพาะช่วงก่อน “การประชุมรัฐภาคีสนธิสัญญาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลเกี่ยวกับการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่นอกเขตอำนาจรัฐ (BBNJ)” หรือ Ocean Conference of Parties :Ocean COP) ครั้งแรกของโลก
ปัจจุบัน ทะเลหลวง (High Seas) ที่ได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวดมีเพียงแค่ร้อยละ 0.9 เท่านั้น สนธิสัญญาฉบับนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขยายพื้นที่คุ้มครอง และการจัดตั้งเขตคุ้มครองนิเวศทางทะเลจึงมีบทบาทสำคัญอย่างมาก เพื่อต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้คนนับพันล้านชีวิต ที่พึ่งพาทรัพยากรจากท้องทะเลและมหาสมุทร
การวิเคราะห์ล่าสุดโดยกรีนพีซ สากล เผย หากรัฐบาลทั่วโลกต้องการบรรลุเป้าหมายการคุ้มครองทะเลหลวงให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2573 รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ จะต้องคุ้มครองพื้นที่มากกว่า 12 ล้านตารางกิโลเมตรในแต่ละปี ตลอด 5 ปีข้างหน้า ซึ่งมีขนาดใหญ่มากกว่าประเทศแคนาดา [1]
แมดซ์ คริสเตนเซน ผู้อำนวยการบริหาร กรีนพีซ สากล กล่าวว่า “นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญในการปกป้องมหาสมุทรโลก และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าประเทศต่าง ๆ สามารถร่วมมือกันเพื่อปกป้องโลกของเราได้ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่อาจชะล่าใจ เพราะนักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า เราจะต้องปกป้องทะเลและมหาสมุทรให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของพื้นที่ทะเลและมหาสมุทรทั้งหมด ภายในปี 2573 และเวลาของเราก็น้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว รัฐบาลทั่วโลกจะต้องเร่งมืออย่างเต็มที่ เพื่อให้มั่นใจว่า การประชุม COP มหาสมุทรครั้งแรกในประวัติศาตร์นี้ จะกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะนำมาซึ่งการพัฒนาแผนสร้างเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลแห่งแรกภายใต้สนธิสัญญาทะเลหลวงนี้ เราไม่สามารถรีรอได้อีกต่อไป”
ทั้งนี้ นักรณรงค์ยังเตือนว่า แต่ละประเทศ ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อเริ่มวางแผนสร้างเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลและมหาสมุทรทันที เนื่องจากเวลาใกล้หมดแล้วในการปกป้องมหาสมุทรโลกอย่างน้อยร้อยละ 30 ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายที่ตกลงกันไว้
- ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าก่อนการประชุม COP มหาสมุทร รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ เพื่อเริ่มวางแผนพัฒนาพื้นที่เขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลใหม่ พื้นที่เหล่านี้ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่กว้างใหญ่ของมหาสมุทรจะถูกปกป้องจากกิจกรรมของมนุษย์ที่แสวงหาผลประโยชน์และสร้างความเสียหาย ซึ่งจะต่างออกไปจากพื้นที่คุ้มครองทางทะเลหลายพื้นที่ในปัจจุบัน ที่ยังเป็นเพียงการคุ้มครองในนามเท่านั้น
- รัฐบาลต้องทำให้มั่นใจว่าสนธิสัญญานี้มีอำนาจเพียงพอที่จะดำเนินมาตรการได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ถูกฉุดรั้งด้วยความล่าช้า หรือจำเป็นต้องพึ่งพาองค์กรต่าง ๆ เช่น องค์กรบริหารจัดการประมงระดับภูมิภาค (Regional Fisheries Management Organisations – RFMOs) ซึ่งได้มีบทบาทในการทำให้ทรัพยากรทะเลลดลงมาตลอดหลายทศวรรษ
- รัฐบาลจะต้องทำให้การพัฒนาเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลตั้งอยู่บนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือและเปิดโอกาสให้ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์และชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อให้กระบวนการนี้ขับเคลื่อนไปด้วยวิทยาศาสตร์และความเป็นธรรมทางสังคม
สนธิสัญญาทะเลหลวงจะมีผลบังคับใช้ภายใน 120 วัน เปิดทางสู่การประชุม COP มหาสมุทรครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2568 กรีนพีซยังคงเรียกร้องให้ประเทศที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบันเร่งดำเนินการโดยเร็วและต้องเสร็จก่อนการประชุม เพราะหากไม่ทำ ประเทศเหล่านั้นจะไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมโต๊ะเจรจา
กรีนพีซและผู้สนับสนุนนับล้านคนกำลังเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ แสดงเจตจำนงค์ที่มุ่งมั่นในระดับเดียวกันกับตอนที่ร่วมกันผลักดันสนธิสัญญาทะเลหลวง ด้วยการเข้าร่วมมาตรการ ระงับการทำเหมืองทะเลลึก (moratorium on deep sea mining) ซึ่งเป็นรูปแบบการทำเหมืองทำลายล้างแที่อาจสร้างความเสียหายต่อท้องทะเลและมหาสมุทรจนไม่อาจฟื้นฟูได้
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
Florri Burton, Global Media Lead, Oceans Are Life, Greenpeace Nordic
+447896523839, [email protected]
โต๊ะข่าวกรีนพีซ สากล โทร +31 (0)20 718 2470 (ตลอด 24 ชั่วโมง), อีเมล. [email protected]
[1] การคำนวณนี้อ้างอิงจากตัวเลขที่จัดทำโดย Marine Protection Atlas. ปัจจุบัน มีพื้นที่ทะเลหลวงทั้งหมดเพียง 0.9% เท่านั้นที่ได้รับการคุ้มครองอย่างสมบูรณ์หรืออย่างเข้มงวด หากต้องการบรรลุเป้าหมายการคุ้มครอง 30% ของทะเลหลวงภายในปี 2030 ยังคงต้องการพื้นที่เพิ่มเติมอีก 29.1% โดยได้นำพื้นที่ 29.1% นี้มาหารด้วยห้า เพื่อหาว่าในแต่ละปีระหว่างปี 2026 ถึง 2030 ต้องมีการคุ้มครองทะเลหลวงอย่างสมบูรณ์/อย่างเข้มงวดเป็นจำนวนกี่ตารางกิโลเมตร
[2] รายงานของกรีนพีซเปิดเผยความล้มเหลวที่น่าตกใจในการบริหารจัดการประมงทั่วโลก
[3] คำร้องของกรีนพีซต่อต้านการทำเหมืองใต้ทะเลลึก