ปุกัลดิ ซาสวานโต (Pukaldi Saswanto) ตัดสินใจไปทำงานบนเรือประมงในปี 2562-64 เป็นเวลากว่า 30 เดือนที่เท้าของเขาไม่ได้สัมผัสพื้นดินเลย เขาต้องเผชิญกับการบังคับใช้แรงงาน การหลอกลวงไม่จ่ายค่าแรง การใช้ความรุนแรงบนเรือ ก่อนที่เขาลุกขึ้นมาฟ้องประธานาธิบดีของประเทศ และสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับสิทธิของแรงงานประมงในอินโดนีเซีย
ปุกัลดิ เป็นชาวเมืองเบงกูลู (Bengkulu) ในเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เขาสมัครไปทำงานบนเรือประมงตามคำแนะนำของเพื่อน แม้ครอบครัวจะคัดค้าน แต่ปุกัลดิยังยืนยันที่จะไป เพื่อเก็บเงินแต่งงาน และเพื่ออนาคตครอบครัว
เมื่อมาถึงประเทศฟิจิ ปุกัลดิเพิ่งรู้ว่าเขาต้องไปทำงานบนเรือประมงเบ็ดราว ซึ่งต้องออกทำประมงไกลในมหาสมุทรแปซิฟิก เขาต้องทำงานต่อเนื่อง 14 ชั่วโมงต่อวัน บ่อยครั้งต้องทำงานด้วยความหิว เพราะอาหารบนเรือทำมาจากผักเก่าๆ ไร้สารอาหาร
ปุกัลดิต้องอดทนอาศัยอยู่กับสภาพความเป็นอยู่ที่คับแคบและอึดอัด แม้จะมีเพื่อนเป็นแรงงานชาวอินโดนีเซียอีก 15 คนบนเรือ แต่เขายังรู้สึกแปลกแยกออกจากลูกเรือคนอื่นๆ เพราะส่วนมากลูกเรือสื่อสารกันด้วยภาษาจีนหรือเวียดนาม
เขาไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายโดยตรง แต่ต้องเห็นเพื่อนถูกซ้อมเพราะไม่สามารถทำงานลุล่วงได้ และเพราะหนีไปไหนไม่ได้ เขาจึงเลือกที่จะอยู่ต่อจนครบสัญญาสองปี เพราะคิดว่าอย่างน้อยที่สุด เขาจะได้เงินแล้วกลับบ้าน
“ผมคิดถึงครอบครัว” ปุกัลดิเล่าย้อนถึงความรู้สึกขณะอยู่บนเรือ เพราะตลอดเวลาสองปีกว่า เขาไม่สามารถติดต่อกับครอบครัวได้เลย
แต่แม้จะหมดสัญญาไปแล้ว ปุกัลดิยังต้องทำงานต่ออีกหกเดือน ก่อนที่ลูกเรือประมงคนอื่นจะรวมตัวกันประท้วงไม่ทำงาน หลังจากนั้นก็กินเวลาอีกสามเดือนกว่า ปุกัลดิจะเดินทางกลับถึงอินโดนีเซีย
และเมื่อถึงบ้าน เขาพบว่าเงินไม่ได้ถูกโอนเข้าบัญชีเขาตามตกลง เขาไม่ได้รับเงินเลยจากการทำงานตลอดสองปีครึ่ง เงินที่เขาหวังว่าจะใช้สำหรับแต่งงานและเริ่มธุรกิจเล็กๆ
“ถ้าเป็นคุณจะรู้สึกยังไงล่ะ ? สำหรับผมตอนนั้นผมแค่เหนื่อยมากๆ” เขากล่าว

อาชญากรรมในทะเลหลวง
เรื่องราวของปุกัลดิไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมประมงที่ไร้การควบคุม รายงานหลายต่อหลายชิ้นระบุว่ายังคงมีแรงงานจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต้องทำงานบนเรือประมงต่อเนื่องถึง 20 ชั่วโมง และยังคงเผชิญกับการคุกคามทั้งทางร่างกายและจิตใจ
การที่ปุกัลดิต้องทำงานสองปีครึ่งบนเรือประมง เกิดจาก “การขนถ่ายกลางทะเล” ซึ่งหมายถึงการที่เรือประมงออกทำประมงไกลจากชายฝั่งเข้าไปในเขตทะเลหลวง และจะมีเรืออีกลำมารับปลาที่จับได้จากบนเรือเข้าฝั่ง ทำให้เรือประมงหลักสามารถหาปลาได้ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนไปจนถึงหลายปี และหลายครั้งที่ลูกเรือไม่รู้เรื่องนี้
“ขณะที่เราพยายามต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย การประมงที่ขาดการรายงาน และการประมงที่ขาดการควบคุม ซึ่งเป็นการตักตวงผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ เราพบว่าอุตสาหกรรมประมงยังมีการกดขี่แรงงาน โดยเฉพาะแรงงานบนเรือประมง และคนโชคร้ายหลายคนคือแรงงานชาวอินโดนีเซีย” อัฟดิลลา ผู้ประสานงานโครงการทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ อินโดนีเซียกล่าว
“แคมเปญ Beyond Seafood ที่เราทำอยู่คือการต่อต้านการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการค้ามนุษย์ในทะเล เราเชื่อว่าถ้าเราทำได้ มันจะช่วยพัฒนาการปกป้องทรัพยากรทางทะเล”

ตั้งแต่ปี 2556 ถึงปลายปี 2564 สหภาพแรงงานประมงอินโดนีเซีย (SBMI) ได้รับคำร้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานประมงอินโดนีเซียทั้งหมด 634 ฉบับ นอกจากนี้ ในรายงานที่ทำร่วมกันระหว่าง สหภาพแรงงานประมงอินโดนีเซียและกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเผยแพร่ในปี 2564 พบว่าเคสการบังคับใช้แรงงานยังเพิ่มขึ้น ซึ่งมีตั้งแต่การไม่จ่ายค่าแรง การทำร้ายร่างกาย การหลอกลวง หรือการใช้อำนาจข่มเหง
สู้เพื่อปกป้องสิทธิ
เนื่องจากนายหน้าที่พาปุกัลดิไปทำงานบนเรือประมงได้ปิดตัวลงและไม่หลงเหลือหลักฐานไว้ ปุกัลดิจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจาก สหภาพแรงงาน ปุกัลดิ และ แรงงานประมงอีกสองคนที่ถูกบังคับใช้แรงงานกลางทะเลของเขาอีกสองคน คือ จาติ ปูจิ ซานโตโซ่ และ ริซกิ วาห์ยึดิ ตัดสินใจยื่นฟ้องประธานาธิบดี ข้อหาล้มเหลวในการทำหน้าที่รับรองกฎหมายปกป้องสิทธิและความปลอดภัยของแรงงาน ซึ่งเมื่อปี 2560 รัฐสภาอินโดนีเซียได้ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่กลับไม่มีการประกาศมาตราการกำกับดูแลหรือควบคุมเพื่อปกป้องสิทธิแรงงานตามกรอบระยะเวลาไม่เกิน 2 ปีตามที่กำหนด
“มันคือสิทธิ์ของพวกเราที่จะได้รับเงิน” ปุกัลดิกล่าว

เวลาล่วงเลยมาเกือบ 5 ปีหลังประกาศร่างกฎหมายฉบับแรก กระทั่งเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลอินโดนีเซียได้ลงนามบังคับใน ระเบียบรัฐบาล (Government Regulation) ข้อที่ 22/2565 ว่าด้วยเรื่อง ความมั่นคงและความปลอดภัยของการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติบนเรือประมงและลูกเรือประมง (the Placement and Protection of Migrant Trading Vessels Crew and Fishing Vessels Crew)
การลงนามครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะก้าวสำคัญในการต่อสู้กับการค้ามนุษย์และการคุกคามสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมประมง โดยเฉพาะในอินโดนีเซียซึ่งถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางขนาดใหญ่ของแรงงานประมง
และหลังจากมีการเซ็นต์ลงนามบังคับใช้กฎหมาย ปุกัลดิจึงถอนฟ้อง
“ผมดีใจมากที่อินโดนีเซียประกาศบังคับใช้กฎหมาย นี่เป็นชัยชนะครั้งสำคัญของแคมเปญเรา เรากำลังผลักดันให้มีการดูแลแรงงานประมงข้ามชาติอย่างเป็นธรรม” เขากล่าว
“แต่การต่อสู้ไม่จบลงแค่นี้ เราจะมีส่วนร่วมในการบังคับใช้กฎหมาย และจะเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นให้ความสำคัญกับมัน หรือแม้กระทั่งออกนโยบายในท้องถิ่นเพื่อทำให้กฎหมายเข้มแข็งขึ้น”

“ยังมีอีกหลายบริษัทที่ไม่ทำตามข้อตกลง สำหรับคนที่กำลังจะตัดสินใจไปทำงานบนเรือ ผมอยากให้ลองคิดดูอีกสักครั้ง อย่าตกหลุมพรางเหมือนพวกเรา แต่หลังจากมีการประกาศใช้กฎหมาย ผมก็หวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น และแรงงานประมงอินโดนีเซียจะได้รับการปกป้องมากขึ้น”
“เราจะยังคงสู้ต่อไป และหวังว่ารัฐบาลจะดำเนินการลงโทษคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกลวงครั้งนี้โดยทันที ”