เทศกาล Bangkok Climate Action Week (BKKCAW) ระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568 เป็นช่วงเวลาที่กรุงเทพมหานครมุ่งขับเคลื่อนประเด็นวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผ่านกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในสังคม แม้จะเป็นการรวมตัวของภาคส่วนต่าง ๆ แต่สิ่งที่ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และประชาชนชาวกรุงฯ อาจจะยังคาดไม่ถึง คือความจริงที่ว่า  โลกร้อนไม่เท่าเทียม กระทบคนไม่เท่ากัน

ในขณะที่ 99% ของผู้คนต้องเผชิญกับความสูญเสียและค่าความเสียหายจากภัยพิบัติ กลับมีเเพียง 1% คือกลุ่มอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นตัวการใหญ่ในการผลักโลกเข้าสู่วิกฤติโลกเดือดแต่กลับกอบโกยผลกำไรทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และวิถีชีวิตดั่งเดิมของชุมชนท้องถิ่นและชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ นี่คือความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม  ที่ฝั่งรากลึก 

กรีนพีซ ประเทศไทยเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมต้องตั้งคำถามใหม่ต่อโครงสร้างการพัฒนา เราจำเป็นต้องพูดถึงสิทธิชุมชน สิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ และการทำธุรกิจอย่างเคารพ มีความรับผิดชอบของอุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษ สิ่งเหล่านี้มักถูกกลบด้วยวาทะกรรมที่ว่า “เพื่อการพัฒนาของประเทศและประโยชน์ส่วนรวม”ทั้งที่ความเป็นจริงคือ ตัวเลขของ GDP ที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับความสูญเสียชีวิต ผู้คน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำลังสร้างความไม่เป็นธรรมและละเลยสิทธิและชีวิตของคนตัวเล็ก ๆ บางกลุ่มอยู่

กิจกรรม Where’s Justice in ‘Just Transition’? ของกรีนพีซ ประเทศไทย พยามเปิดพื้นที่ให้เรื่องเล่าเหล่านี้ไม่ถูกลบ ผ่านการฉายภาพยนต์สารคดี 2 เรื่อง  ที่พาเราไปสำรวจผลกระทบของอุตสาหกรรมฟอสซิลและสนทนากับผู้ที่ต้องต่อสู้กับการขยายตัวของอุตสาหกรรมฟอสซิลในไทย 

ภาพยนตร์เรื่องแรก When the Wind Rises (2025) โดย Chen Hung บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของลุงฮวง ชายชราในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในใต้หวันที่ลุกขึ้นต่อต้านการขยายโรงงานปิโตรเคมีกลั่นน้ำมัน ลุงฮวงผู้รับรู้ถึงผลกระทบของสารพิษผ่านมะเร็งที่แพร่กระจายในร่างกาย และผืนดินกับผืนน้ำที่ทำเกษตรและประมงไม่ได้อีกต่อไป ในมุมหนึ่งคือเขาต้องประท้วงอย่างโดดเดี่ยว และอีกมุมหนึ่งเขาก็ถูกหว่านล้อมด้วยเงินเยียวยาจากตัวแทนของโรงงาน ซึ่งสำหรับลุงฮวงแล้วทุกอย่างดูเหมือนจะสายไป และเขาต้องการให้ยกเลิก ไม่ใช่เยียวยา แต่การต่อสู้ของลุงฮวงทำให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในชุมชนเกิดข้อกังขา ชาวบ้านส่วนหนึ่งเริ่มลังเลว่าจะเลือกหนทางใดดี ระหว่างเรื่องปากท้องและสวัสดิการชีวิตในระยะสั้น หรือจะเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ยั่งยืนกว่า

อีกภาพยนตร์คือ Who Loves the Sun (2024) โดย Arshia Shakiba สารคดีนี้พาเราไปยังโลกของโรงกลั่นน้ำมันเฉพาะกิจประเทศซีเรีย ดินแดนที่มีแต่ความรกร้าง ควันสีดำลอยคลุ้ง เครื่องจักรขุดเจาะขนาดใหญ่ ขณะที่ชุมชนที่นี้เป็นแรงงานในการผลิตพลังงานที่ส่องให้เมืองสุขสว่างและสุขสบาย พวกเขาเองต้องอยู่ในความมืด ขับขี่แค่รถจักรยานยนต์ที่ใช้เพียงน้ำมันไม่กี่ลิตร ยามกลางคืนแทบจะไม่มีแสงไฟใด มีเพียงไฟส่องจากหน้ารถจักรยานยนต์เพียงหนึ่งเมตรช่วงส่องทาง ไม่มีบทสนทนา ไม่มีชีวิต มีแค่เครื่องจักร ความมืดปกคลุม และชุมชนที่นี่เป็นเพียงแรงงานที่ทำให้เครื่องจักรทำงาน

“คุ้มไหม…?”

ถูกแล้วหรือที่คนมุมหนึ่งของประเทศต้องจ่ายให้กับความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของเราด้วยชีวิต เพื่อให้อุตสาหกรรมยังเดินหน้าได้ “คุ้มไหม กับการสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพขนาดนี้” นี่คือคำถามที่ดาวัลย์ จันทรหัสดี เจ้าหน้าที่อาวุโส มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) เริ่มเปิดเป็นข้อถกเถียงในสนทนาหลังฉายภาพยนตร์ว่าด้วยหัวข้อ ‘ราคาที่ต้องจ่าย: ชีวิตผู้คนใต้ผลกำไรกลุ่มทุนฟอสซิล

ดาวัลย์ เล่าต่อว่า เมื่อดูภาพยนตร์แล้วนึกถึงพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ที่ครั้งหนึ่งในอดีตชุมชนพึ่งพาการทำเกษตรและประมง แต่ขณะนี้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมโดยสิ้นเชิง  ชุมชนต่อสู้มากมายแต่ก็ไม่สามารถต้านโครงการอุตสาหกรรมและรัฐบาลได้ เช่นเดียวกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC ที่กำลังคุกคามภาคตะวันออกของไทยอีกครั้ง รวมถึงการเข้ามาของทุนต่างชาติ เช่น โรงงานรีไซเคิลที่สร้างมลพิษอย่างมากให้กับชุมชน  ดาวัลย์อธิบายว่า เป็นการรีไซเคิลกากอุตสาหกรรมที่เหลือจากกระบวนการต่าง ๆ ของอุตสาหกรรม และโดยมากแล้วมักมีการจัดการที่ไม่ดี ส่งผลเสียต่อชุมชน “ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านเรา เราจะยอมไหม และเราควรจะยินยอมให้เกิดความเสียหายลุกลามไหม” แน่นอนว่าคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้จากดาวัลย์ คือ ไม่ว่าจะมองมุมไหน หากถามผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงแล้วล่ะก็ คงไม่มีใครตอบว่าคุ้ม ทว่าผู้ที่จะตัดสินคำตอบนี้ไม่ใช่ชุมชน แต่คือรัฐที่จับมือกับอุตสาหกรรม

“ตอนแรกเราไม่คิดว่าต้องใช้ระยะเวลานานขนาดนี้” พรชิตา ฟ้าประทานไพร ตัวแทนเยาวชนชุมชนบ้านกะเบอะดิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เล่าถึงการต่อสู้ของหมู่บ้านของตนเองต่อโครงการเหมืองถ่านหิน “ตอนแรกเราคิดว่าแค่เราไม่เอา บอกผู้นำและยื่นหนังสือแล้วจบ แต่การต่อสู้ที่ผ่านมาทำให้เรารู้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะยุติโครงการใดในพื้นที่ และมีความซับซ้อนหลายอย่าง ทั้งอำนาจรัฐ อุตสาหกรรม กฎหมายที่ไม่เอื้อ ชุมชนเองก็ยังไม่ได้รับรู้ผลกระทบในพื้นที่ และความไม่เข้าใจกันเองในชุมชน” พรชิตา สะท้อนถึง 6 ปีที่ผ่านมาที่ต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านและทรัพยากรต่อโครงการเหมืองถ่านหินของบริษัทยักษ์ใหญ่ ภายใต้การประกาศพื้นที่เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำอุตสาหกรรมในประเทศไทยตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 แม้ว่ากะเบอะดินจะเป็นพื้นที่ป่าจิตวิญญาณประกอบพิธีกรรม เป็นพื้นที่แหล่งต้นน้ำและป่าน้ำซับซึม ซึ่งตรงตามข้อกำหนดต้องห้ามทำเหมืองแร่ตามพระราชบัญญัติแร่ก็ตาม ชุมชนกะเบอะดินมองว่าโครงการเหมือนถ่านหินนี้มีความฉ้อฉลตั้งแต่ขบวนการทำ EIA  หรือ รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment Report: EIA) ที่มุ่งเพียงสร้างความชอบธรรมให้กับโครงการขนาดใหญ่เท่านั้น มีทั้งประเด็นเรื่องภาษาที่ยากที่ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปว์จะเข้าใจภาษาไทย และระบุว่ามีการลงชื่อยินยอมจากคนในหมู่บ้านทั้งที่บางรายชื่อนั้นเป็นของผู้ทีขณะนั้นมีอายุเพียง 4-5 ขวบ กระบวนการอยุติธรรมและเต็มไปด้วยการบังคับใช้ทางอำนาจของโครงการเหมืองเช่นนี้ ทำให้มีหลายคนที่ไม่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้และท้าทายกับภาครัฐและนายทุน 

ใครที่ยังไม่เคยไปกะเบอะดิน อมก๋อย พรชิตาเล่าบรรยากาศอันสงบสวยงามให้เราฟังว่า “เราอยู่ในพื้นที่ที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอหมอกสีขาวจากธรรมชาติลอยอยู่เหนือป่า เราอยากให้ความสวยงามนี้อยู่คู่กับชุมชนไปตลอด ถ้าวันนี้มีโครงการเหมืองถ่านหินเกิดขึ้นในพื้นที่บ้านของเรา คงทำให้ภาพที่เราเห็นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อคิดแบบนี้ยิ่งทำให้เรามีพลังมากขึ้นที่จะต่อสู้เพื่อให้ไม่มีโครงการเหมืองถ่านหินที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชนซึ่งเป็นบ้านของตนเอง” ภาพของเหมืองถ่านหินนั้นจะเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าและวิถีชีวิตชุมชนกะเหรี่ยงโปว์ผู้พึ่งพิงป่าไปตลอดกาล คงไม่ต่างอะไรกับความมืดที่เข้ามาแทนที่ดังที่ถูกสะท้อนผ่านภาพยนต์ Who Loves the Sun พรชิตาและชุมชนของเธอได้ต่อสู้กับโครงการอุตสาหกรรมบนสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงมี เธอจึงเชื่อมั่นที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้มากขึ้น

“เราใช้ระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราสามารถปกป้องชุมชนจากโครงการได้ เราคิดอยู่เสมอว่าถ้าวันนึงมีเหมืองแร่เกิดขึ้น เราจะสูญเสียอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงชุมชน วิถีชีวิต วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และพื้นที่ทำกินของเราที่ทำมาตั้งแต่อดีต เราจึงต้องต่อสู้เพื่อสิทธิของเรา” พรชิตา กล่าว

โลกที่หมุนด้วยพลังงานฟอสซิล กับเบื้องหลังของอุตสาหกรรมพลังงานที่แลกมาด้วยมูลค่าชีวิตชุมชน

ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องเป็นเสมือนคำเตือนและภาพสะท้อนของสิทธิชุมชนที่ถูกลดทอนคุณค่าไป พร้อม ๆ กับความสูญเสียที่อุตสาหกรรมไม่มีวันจ่ายได้หมด ดร.บุษกร สุริยสาร ผอ. มูลนิธิต้นกล้ารักษ์โลกและหัวหน้าทีม CCCL Film Festival แสดงทัศนคติถึงภาพยนตร์ว่า “เราเห็นภาพว่าในโลกเราต้องใช้พลังงาน แต่ผลที่เกิดขึ้นต่อชีวิตของคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้สบายไปด้วย ในภาพยนตร์ Who Loves the Sun เราได้เห็นความมืด ควัน เครื่องจักรที่ใหญ่โต อันเป็นภาพตรงข้ามกับคนตัวเล็ก ๆ เหมือนโลกใกล้จะแตก มีแต่ความมืด ที่นั่นเป็นแหล่งพื้นที่ผลิตพลังงานสำคัญ แต่คนที่ผลิตพลังงานตรงนั้นกลับมีชีวิตอยู่ในความมืด มองไม่เห็นอะไรเลย” 

ดร.บุษกร เสริมว่า “ประเทศซีเรียเป็นเมืองผลิตน้ำมัน บางทีสิ่งที่ตรงข้ามกับความมืดที่เราเห็นคือ ความสว่างของในตัวเมือง ผู้คนอยู่อย่างสงบ มีแสงไฟ แต่คนท้องถิ่นกลับอยู่ในความมืดและควันพิษ ทำให้เรารู้สึกว่า ราคาที่คนท้องถิ่นต้องจ่ายเนี่ย เป็นราคาแสนแพงที่ควรเปลี่ยนผ่านไปได้แล้ว” ซึ่งไม่ใช่แค่ผลกระทบที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมพลังงานเท่านั้น แต่ดร.บุษกร ยังมองไปถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในภาคอุตสาหกรรมเกษตรเชิงเดี่ยวก็ที่ต้องดมมลพิษทางอากาศและสารเคมีเกษตร 

“Externalities มีความหมายถึงผลกระทบภายนอกที่เกิดขึ้นต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุตสาหกรรม  แต่ต้นเหตุที่แท้จริงแล้วน่าจะเป็นเพราะอุตสาหกรรมไม่ได้คำนวนถึงผลกระทบเหล่านี้ในการผลิตพลังงานมากกว่า ว่าชุมชนต้องมีผลกระทบเท่าใด และต้องมีค่าใช้จ่ายของชุมชนเท่าไร” ดร.บุษกร กล่าว และตั้งคำถามว่า “จะต้องให้คนในพื้นที่ต้องจ่ายตลอดหรือ มันแฟร์หรือยัง”

หากยังจินตนาการผลกระทบที่มาถึงหน้าบ้านไม่ออก ลองฟังเรื่องเล่าของดาวัลย์ “คนในชุมชนอยู่ดี ๆ วันนึงมีโครงการไม่ดีของรัฐหรือเอกชนเข้ามาในพื้นที่ เราจึงต้องตั้งคำถามว่าสิ่งนั้นถูกต้องแล้วหรือ ตอนแรกพี่เป็นชาวบ้านที่คลองด่าน ที่บ้านถือเป็นแหล่งผลิตหอยแมลงภู่ที่ใหญ่ที่สุดในไทย วันหนึ่งมีบ่อบำบัดน้ำเสียมาตั้ง ซึ่งบ่อบำบัดจะทำลายความอุดมสมบูรณ์นี้ไป ผลกระทบที่ตามมาไม่ได้มีเพียงแค่สูญเสียหอยแมลงภู่และการประมง แต่หมายถึงมลพิษที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ แหล่งเกษตร ส่งผลต่อการใช้น้ำเพื่ออุปโภค ชาวบ้านต้องซื้อน้ำใช้เพราะไม่สามารถใช้น้ำที่ปนเปื้อนได้” 

ดาวัลย์เล่าว่าผลกระทบแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับชุมชนในโรงงานรีไซเคิล โรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งหากใครไม่รู้ก็จะนึกเพียงว่ารีไซเคิลนั้นดี ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหินก็จำเป็น ดาวัลย์จึงย้ำถึงความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพว่า “ต้นทุนเหล่านี้คำนวนไม่ได้ เมื่อเสียหายแล้วไม่สามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันผู้ก่ออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ยังไม่เคยต้องรับผิดชอบหรือจ่ายได้เหมาะสมเลย ที่ผ่านมายังไม่เคยมีกฎหมายที่สามารถเอาผิดได้” ดาวัลย์อธิบายเสริมว่า แม้จะมีกองทุนสิ่งแวดล้อม แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็ไม่สามารถใช้กองทุนสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีช่องทางการใช้กองทุนเพื่อฟื้นฟูชุมชนในพื้นที่ “มีแค่รัฐที่สามารถใช้กองทุนได้ เนื่องจากมีกลไกทางกฎหมายของรัฐที่ไม่เอื้อกับชุมชนในการใช้กองทุน” 

จากการต่อสู้เรียกร้องของหมู่บ้านกะเบอะดิน พรชิตา ให้ความเห็นว่า “สิทธิในการตัดสินใจในโครงการอุตสาหกรรม อยู่ที่บริษัท หรือหน่วยงานรัฐ ไม่ใช่ชุมชน กฎหมายมีช่องโหว่ที่ระบุว่าสามารถทำเหมืองได้ แค่ต้องทำ EIA แต่เราไม่รู้ว่าการรับฟังความคิดเห็นของบริษัทได้ฟังความคิดเห็นอย่างเป็นธรรมหรือไม่ หรือจัดแค่เป็นพิธีกรรมเฉย ๆ และทางรัฐก็อนุญาตให้ทำอย่างง่ายดายโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบ รัฐเองก็ไม่ได้รู้ถึงภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่จริง เช่น การที่ป่ามีแหล่งน้ำซับซึมดังที่กฎหมายได้ระบุไว้ว่าไม่สามารถทำเหมืองถ่านหินได้ แต่ผลของ EIA กลับออกมาว่าผ่าน และสามารถทำเหมืองได้”

กฎหมายและนโยบายที่เอื้อให้ผู้ได้ผลประโยชน์

เรื่องราวการต่อสู้กับโครงการอุตสาหกรรมของทั้งหมู่บ้านกะเบอะดิน และภาคตะวันออก สะท้อนถึงประเด็นสำคัญที่รัฐมองข้าม นั่นคือ ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและความเสียหายต่อชุมชนที่ไม่เคยถูกนำมาประเมินก่อนพิจารณาโครงการระดับใหญ่ เช่นนี้แล้ว เสียงต่อต้านและความเห็นต่างของชุมชนจึงไม่เคยถูกรับฟัง ซ้ำยังถูกปิดปาก ปิดกั้นและต่อต้าน นำไปสู่ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ดาวัลย์ กล่าวว่า ในเวทีรับฟังความเห็น EIA ชุมชนที่ต้องการจะไปแสดงความคิดเห็นมักจะเจอการขัดขวางด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่โครงการ หรือแม้แต่ชายชุดดำ (บุคคลที่ออกมา ข่มขู่ คุกคามนอกกระบวนการยุติธรรมซึ่งอาจมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับรัฐ หรือผู้มีอิทธิพล) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกีดกันไม่ให้ชุมชนสามารถเข้าร่วมเวทีได้ เนื่องจากโครงการตั้งสมมติฐานไว้แล้วว่าชาวบ้านกลุ่มนี้จะมาคัดค้าน หนึ่งในข้อเสนอเพื่อความเป็นธรรมของการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม คือ การมอบหมายให้หน้าที่ของการปฏิบัติการเป็นบุคคลที่สาม หรือหน่วยงานภายนอกที่ได้รับอนุญาตและเชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อโครงการมาเป็นผู้ทำ 

ดร.บุษกร ระบุว่า “ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายต่าง ๆ ที่มีต่อคนเล็ก ๆ นั้นยังไม่ได้ถูกคำนวนเข้ามา ขณะที่ในหลายประเทศตอนนี้ เช่น เนเธอร์แลนด์ มีการฟ้องของประชาชนต่อศาลแล้ว และชนะ แต่ต้องสู้หนักมากกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ดังนั้นเราไม่ควรปล่อยให้ถึงขั้นตอนที่ชุมชนต้องออกมาต่อสู้ แต่ควรจะให้ผู้ที่ก่อปัญหาเป็นผู้รับผิดชอบ และต้องมีการคำนวนค่าใช้จ่ายในแผนและนโยบาย” โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ดร.บุษกร กล่าวถึงนั้นคือ ประเทศไทยยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอยู่ค่อนข้างเยอะ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการอุตสาหกรรมฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายผู้คน รักษาเยียวยา ต่างต้องมีราคาที่ต้องจ่าย และไม่ควรให้สังคมจ่ายทั้งหมด ควรเป็นเอกชนที่ต้องรับผิดชอบดูแล “ประเทศเสรีประชาธิปไตยคนมีโอกาสต่อสู้และชนะได้บ่อย แต่ประเทศแถวนี้ ระบบโครงสร้างการเมืองและเศรษฐกิจไม่บาลานซ์ รัฐและเอกชนใหญ่ไม่ต้องฟังประชาชน แม้มีกฎหมาย แต่การดำเนินบังคับใช้กฎหมายในที่จริงไม่สามารถทำได้ถ้าไม่แก้โครงสร้างทางการเมือง กลุ่มอำนาจของรัฐและเอกชนมีเรื่องอิทธิพลพัวพันทางด้านนโยบายของเอกชนและธุรกิจ และเขาไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นทางสังคม สิ่งแวดล้อม ส่วนในระดับชุมชนจะทำอย่างไรไม่ได้เลยนอกจากเป็น active citizen (พลเมืองตื่นรู้) ต้องรวมตัวกัน สิ่งที่คนตัวเล็ก ๆ สามารถทำได้คือสู้ด้วยข้อมูลและเสียงด่า เรียกร้องให้นโยบายรัฐเห็นหัวเราบ้าง” 

ดาวัลย์ เสริมว่า “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่หลายกรณีการชดเชยเยียวยาวต่อผู้ได้รับผลกระทบและฟ้องร้อง ผู้ก่อมลพิษไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบเลย เช่น กรณีไฟไหม้โรงงานเก็บสารเคมีของบริษัท วิน โพรเสส จำกัด บ้านหนองพะวา จังหวัดระยอง ผู้ก่อมลพิษไม่ได้รับผิดชอบต่อความเสียหายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลย แต่เป็นรัฐและเป็นเงินภาษีของเรา ยากมากที่จะให้ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย” ดาวัลย์จึงย้ำว่า “เราต้องถือว่าการก่อมลพิษเป็นอาชญากรรม คนเหล่านี้ต้องเป็นอาชญากร เราต้องช่วยผลักดันในเรื่องนี้ให้มากขึ้น” 

ดาวัลย์ อธิบายว่า อาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมสามารถทำลายทั้งหมู่บ้าน เช่น หายนะที่หมู่บ้านคลิตี้ การเอาผิดที่สามารถตามเงินกลับมาได้จะมีเพียงกรณีความผิดฐานฟอกเงิน แต่การลงทุนข้ามชาติในปัจจุบันนั้นเอื้อให้ทุนต่างชาติ เช่น ทุนจีนสามารถมาลงทุนในไทยและกลับประเทศไปโดยที่ไม่สามารถเอาผิดได้อีก ทิ้งไว้เพียงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน “ปัญหาสิ่งแวดล้อมของภาคตะวันออกของไทยขณะนี้คือการสร้างนิคมอุตสาหกรรมของทุนจีนและทุนไทยกว่า 50-60 แห่ง ถ้าปล่อยแบบนี้ไป ไทยจะเสียหายทางสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ต้องถูกนำมาคิดในนโยบาย”

พรชิตา และดาวัลย์ ย้ำทิ้งท้ายว่า การเคลื่อนไหวของชุมชนเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราพอทำได้เพื่อเรียกร้องในกระบวนยุติธรรมให้ชุมชน หากเราไม่พูดและยอมจำนน เราจะยิ่งถูกริดรอนสิทธิ เรื่องราวการต่อสู้ของชุมชนแม้จะสร้างแรงบันดาลใจและความหวังได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายไปกับการต่อสู้นั้นไม่ควรจะเป็นชะตากรรมใต้ผลกระทบโลกเดือดที่ใครควรต้องเผชิญ การปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิประชาชนควรจะเป็นเจตนารมณ์ของผู้มีอำนาจกำหนดนโยบาย และจริยธรรมพื้นฐานหรือธรรมาพิบาลของกลุ่มทุนอุตสาหกรรม ที่จะต้องคิดถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนภายใต้การกำหนดนโยบายและโครงการอุตสาหกรรมใด ๆ เพราะคงไม่มีการเยียวยาหรือชดเชยใดที่จะเพียงพอหากประชาชนต้องสูญเสียสุขภาพ วิถีชีวิต และบ้านของตนไป