แฟชั่นการแต่งตัวเคยถูกมองว่าเป็นไลฟ์สไตล์ เป็นสเตทเมนท์แสดงตัวตนของเรา หากแต่ปัจจุบันนี้แฟชั่นที่หมุนไปอย่างรวดเร็วนั้นกลับสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมบนความสวยงาม โลกเคยเรียกคอลเลกชั่นแฟชั่นที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วว่า ฟาสต์แฟชั่น (fast fashion) จนกระทั่งขณะนี้กำลังเข้าสู่ยุคอัลตร้าฟาสต์แฟชั่น (ultra-fast fashion) หรือ “แฟชั่นที่เร็วเกินไป” ซึ่งมีการเร่งการผลิตสูง ภายใต้ความสวยงามตามเทรนด์เราต้องเผชิญกับสารเคมีอันตรายที่ปนเปื้อนในเสื้อผ้าและสิ่งแวดล้อม

รายงานล่าสุดของกรีนพีซเองได้เผยถึงการปนเปื้อนของสารเคมีอันตรายในผลิตภัณฑ์ของแบรนด์แฟชั่น SHEIN แบรนด์แรกๆ ที่ผลิตสินค้าแบบอัลตร้าฟาสต์แฟชั่น (ultra-fast fashion) โดยสารพิษบางชนิดพบการปนเปื้อนสูงเกินกว่ามาตรฐานระดับหลายร้อยหลายพันเท่า โดยเฉพาะสารกลุ่ม PFAS ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่อันตรายต่อสุขภาพ (อ่านรายงานได้ที่นี่) ทว่า จำเป็นไหมที่แฟชั่นจะต้องสวยและอันตราย และคนรักแฟชั่นจะมีส่วนช่วยร่วมปฏิวัติวงการแฟชั่นได้หรือไม่? กรีนพีซชวนสายแฟชั่นมาร่วมกันหาคำตอบนี้ในวงเสวนาพูดคุย “Wear and Aware: จริงไหม ไม่มีอะไรจะใส่แล้ว!! ซื้อก่อนค่อยคิด หรือ คิดก่อนซื้อ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานนิทรรศการ “KILLER LOOKS TOXIC FIT CHECK สวยจะตาย” เพื่อสะท้อนด้านมืดของอุตสาหกรรมแฟชั่นที่แฝงไปด้วยการใช้สารเคมีอันตรายจำนวนมากตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงมือผู้ใส่ ก่อนที่เราจะบ่นกันว่า “ไม่มีอะไรจะใส่แล้ว” ลองมาคิดร่วมกันอีกครั้งก่อนจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ว่า เราไม่มีอะไรจะใส่จริงหรือไม่

ฟาสต์แฟชั่น กระแสนี้มีความหมายอย่างไรต่อเรา

“ฟาสต์แฟชั่นทำให้เกิดการสูญเสียทั้งด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งไม่ได้สร้างคุณค่าให้กับผู้สวมใส่มากนัก และยังสร้างมลภาวะทางน้ำและทางอากาศ” นี่คือมุมมองด้านผลกระทบจากฟาสต์แฟชั่นของ ชญณัฐ ศุภทรงกลด Co-Founder & Community Lead, Repair Community Thailand องค์การรณรงค์ด้านสิทธิเพื่อการซ่อมและวัฒนธรรมการใช้ซ้ำ โดยขณะที่ พชรศิริ จริยานุสรณ์ Content Creator จาก Way We Wear ซึ่งเป็นเพจเกี่ยวกับแฟชั่นที่ยั่งยืน มองว่าผลกระทบจากฟาสต์แฟชั่นนั้นยังสะท้อนถึงความเป็นตัวตนของเรา “ตอนนี้เทรนด์มาไวไปไวมาก ทำให้เราเสียเวลาไปกับการตามเทรนด์มากกว่าใช้เวลาในการหาตัวตนของตนเอง” การเลือกเสื้อผ้าเคยเป็นการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง แต่ภายใต้กระแสฟาสต์แฟชั่น เสียงและตัวตนของผู้ใส่กำลังสูญหายไปหรือเปล่า?

“นิยามแฟชั่น นอกจากจะตอบโจทย์แล้ว คือเรื่องเงิน” นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา นักแสดงและนักธุรกิจเพื่อสังคม CEO บริษัท คิดคิด จำกัด กล่าว โดยเล่าถึงชุดผ้าทำมือจากกลุ่มลาหู่ที่เธอใส่มาในเวทีเสวนานี้ “เราเคยตกเป็นทาสของฟาสต์แฟชั่นที่อะไรมาก็อยากซื้อ ยิ่งของถูกยิ่งอยากซื้อ แต่ใส่ได้ครั้งเดียวก็ย้วยหรือหด นุ่นซื้อบางอย่างที่เมื่อนำมาหารแล้วไม่แพงและฟาสต์แฟชั่นสู้ไม่ได้ นี่คือความยั่งยืนในอีกมิติ และสบายสตางค์ในกระเป๋า”

“สิ่งที่เรารณรงค์คือสิ่งที่ toxic (เป็นพิษ) ต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เราจึงอยากกำจัดความ toxic นี้ออกไปทั้งจากฟาสต์แฟชั่นและสิ่งแวดล้อม” พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าว และพูดถึงรองเท้าที่เธอใส่อยู่ว่า “คู่นี้ได้มาสิบบาท จากหลุมฝังกลบที่โรงเกลือ ที่เป็นเสมือนที่ทิ้งขยะเสื้อผ้า เมื่อเราไปถึงพบว่ามันไม่ใช่ขยะ ยังใช้งานได้ แต่กลับถูกตีความว่าเป็นขยะ” และเสนอมุมมองที่จะช่วยต่อกรกับฟาสต์แฟชั่น โดยพิชามญชุ์ให้ความเห็นว่า “เราต้องถามตัวเองว่าเราซื้อมาเพื่ออะไร และเราต้องการจริงไหม”

มีอะไรอยู่ในแฝงอยู่ในเสื้อผ้าที่เราสวมใส่?

“บางทีเราไม่ได้แค่ใส่เสื้อผ้า แต่เราสวมใส่สารเคมีอยู่ เนื่องจากการผลิตเสื้อผ้าต้องใช้สารเคมีหลายชนิด ผู้บริโภคไม่มีทางรู้ว่าสารเคมีอันตรายนั้นเกิดค่ามาตรฐานหรือไม่ หากกฎหมายในประเทศการผลิตเสื้อผ้านั้นควบคุมและกำกับการใช้สารเคมีอันตราย ก็อาจวางใจได้ว่าไม่เกินมาตรฐาน แต่หากเป็นการผลิตในประเทศที่กฎหมายไม่เข้มแข็ง เราก็อาจซื้อสารเคมีอันตรายมาใส่โดยไม่รู้ตัว”  พิชามญชุ์กล่าว “กรีนพีซได้ซื้อเสื้อผ้าออนไลน์จาก SHEIN และนำไปส่งตรวจหาสารพิษ พบว่า มีสารเคมีอันตรายเกินค่ามาตรฐาน แต่ผู้บริโภคทั่วไปที่ซื้อสินค้าอาจไม่มีโอกาสตรวจสอบสารพิษ ดังนั้นกฎหมายจึงสำคัญ ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะรู้ว่าสารเคมีในเสื้อผ้าเป็นอย่างไร และภาครัฐต้องมีบทบาทในการควบคุมการใช้สารเคมีอันตรายในสิ่งทอ”

กฎหมายกำกับควบคุมสารเคมีในเสื้อผ้าดังกล่าวนี้บังคับใช้ที่สหภาพยุโรปในชื่อว่า REACH Regulation หรือระบบการจดทะเบียน ประเมิน อนุญาต และจำกัดการใช้สารเคมี (Registration, Evaluation, Authorisation and Restriction of Chemicals) ซึ่งกำหนดให้ผู้ผลิตเสื้อผ้าต้องเปิดเผยข้อมูลการใช้สารเคมีอันตราย โดยจะส่งผลต่อทั้งการผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถผลิตและนำเข้าเสื้อผ้าที่มีสารพิษได้ รวมถึงมีบทลงโทษที่ชัดเจน กล่าวคือ ข้อดีของกฎหมายนี้คือการควบคุมสารเคมีอันตรายและการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) ได้ตลอดห่วงโซ่อุปทานทั้งในและนอกประเทศ “ประเทศไทยมีกฎหมายเพียงควบคุมการใช้สารเคมีเฉพาะบางชนิด แต่ไม่ใช่กับการใช้ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า เราอยากให้ภาครัฐและผู้ผลิตคำนึงถึงความเสี่ยงทางสุขภาพของผู้บริโภค ทั้งต่อโรคมะเร็ง ระบบสืบพันธุ์ และฮอร์โมน ซึ่งแม้จะไม่ส่งผลต่อผู้บริโภคผู้สวมใส่ในวันนี้พรุ่งนี้ แต่นี่คือความเสี่ยงต่อสารพิษ ความปลอดภัยไม่ควรจะเป็นสิทธิพิเศษ แต่ต้องเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคทุกคน” พิชามญชุ์กล่าว

“เสื้อผ้าคือธุรกิจที่ต้องมีผลประกอบการและกำไรสำหรับระบบทุนนิยม ซึ่งอาจไม่แปลกอะไร แต่ยุคนี้คือยุคที่ผู้บริโภคตระหนักมากขึ้น และธุรกิจให้คุณค่ากับความยั่งยืนมากขึ้น สิ่งนี้คือ Quiet luxuary แม้ไม่ได้ตะโกนออกมา แบรนด์ที่ดูสวยงาม แต่แฝงไปด้วยการใช้แรงงานที่ไม่เป็นธรรม บางครั้งเสื้อผ้าราคาถูก เช่น เสื้อผ้า 500 บาท ได้สามชุด เรานึกถึงว่าค่าแรงพื้นฐานและค่าตัดเย็บไม่น่าพอ ดังนั้นฟาสต์แฟชั่นไม่ได้มาพร้อมกับคุณภาพและความเป็นธรรม มีคนที่ยินยอมที่จะจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อความยั่งยืน ใส่ใจ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีคนที่พยายามรักษาโลกใบนี้และพยายามสร้างสิ่งดีๆขึ้นมา นี่คือดีมานด์และซัพพลายที่จะเติบโตขึ้น” นุ่น-ศิรพันธ์ กล่าว “การรู้จักตัวเอง และเป็นตัวของตัวเอง คือ ใส่ตัวนี้ซ้ำๆ ไปทุกงาน ไปทุกแบบ ตั้งแต่ตอนอยู่ภาคเหนือก็ใส่แบบนี้ อยู่กรุงเทพฯก็ใส่แบบนี้ แม้แต่งานสำหรับผู้บริหารก็แต่งตัวแบบนี้ ถ้าเรามั่นใจในความเป็นตัวของตัวเองจะต้องอาศัยความแข็งแกร่งในจิตใจ ยิ่งเราไม่เหมือนใครเราต้องยิ่งแข็งแกร่ง”

แนวโน้มผู้บริโภคแฟชั่นมือสองและการซ่อม

“คนมองเสื้อผ้ามือสองว่าปกติมากขึ้น แต่มือสองถ้าใส่แค่ครั้งเดียวก็ไม่ยั่งยืน ดังนั้นการใส่ซ้ำคือการตอบโจทย์ความยั่งยืนมากกว่าไม่ว่าจะเป็นมือหนึ่งหรือมือสอง” พชรศิริ กล่าว โดยมีฐานความคิดทางการซื้อเสื้อผ้าใหม่ไม่ต่างจาก พิชามญชุ์ คือ “หากเป็นเสื้อผ้าใหม่ เราจะเก็บไปคิดก่อนหลายวัน หรืออาจจะหลายเดือนว่ายังคงอยากได้อยู่ไหม ถ้ายังอยากได้อยู่ค่อยกลับไปซื้อ” เพื่อเป็นการซื้อเสื้อผ้าที่เราต้องการจริงๆ มีคุณภาพ อยู่ด้วยกันได้นาน

ขณะที่กระแสฟาสต์แฟชั่นกำลังมา แต่คนบางกลุ่มกลับเน้นการซ่อม เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ชญณัฐ กล่าวถึง วัฒนธรรม Repair Culture ว่า “ถ้าเราลองถามคุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่บ้าน ต้องมีใครสักคนที่รู้ว่าร้านซ่อมเสื้อผ้าอยู่ที่ไหน แต่ในยุคหลังๆ ร้านซ่อมเหล่านี้มักซ่อนอยู่ในเมือง แต่คนอาจตัดสินใจซ่อมน้อยลง และมองว่าการซื้อใหม่ถูกกว่า อินเทรนด์กว่า แต่เราอาจต้องมองอีกครั้งว่า การซื้อตอบโจทย์แค่ไหนต่อตัวตนและชีวิตเรา สำหรับคนบางกลุ่มการซ่อมคือการตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับบางกลุ่ม การซ่อมคืองานคราฟท์ การเพิ่มคุณค่า เพิ่มเอกลักษณ์ให้กับเสื้อผ้าของเรา”

“แบรนด์หลายแบรนด์เริ่มมีการบริการการซ่อมมากขึ้น มีการรับประกันที่ยาวนานมากขึ้น repairthailand.org ได้คำนวนและเปรียบเทียบแต่ละแบรนด์ว่ามีการบริการการซ่อมและเปิดเผยข้อมูลมากน้อยแค่ไหน” ชญณัฐ เสริม

จะเป็นไปได้ไหม จากฟาสต์แฟชั่นสู่สโลว์แฟชั่น

สิ่งที่เป็นความหวังของแฟชั่นที่จะก้าวพ้นอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่นที่ไม่ยั่งยืน น่าจะเป็นสโลว์แฟชั่น ว่าแต่สโลว์แฟชั่นในที่นี้หมายถึงอะไร และจะเป็นทางออกของปัญหามลพิษได้จริงหรือไม่

“สโลว์แฟชั่น คือการผลิตที่ตอบโจทย์คนซื้อมากกว่าการขาย แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้เราต้องปรับที่ตัวเราเองก่อน เริ่มที่ตัวเอง คิดก่อนซื้อ และหาตัวตนของตัวเองให้เจอ ซื้อโดยไม่สูญเสียตัวตน” พชรศิริ กล่าว

หากวางให้สโลว์แฟชั่นเป็นการตอบโจทย์ผู้ซื้อ ไม่ใช่การตอบสนองผู้ผลิต สโลว์แฟชั่นจึงเป็นทางเลือกที่น่าจะตอบโจทย์ด้านเศรษฐกิจและการเลือกใช้เงินของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน โดยนุ่น-ศิรพันธ์ เสริมมุมมองในด้านการใช้เงินว่า “การใช้เงินให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งให้เราหันมาสู่สโลว์แฟชั่น ถ้าเรามีเงินก้อนหนึ่งที่จำกัด เราจะต้องแบ่งว่าต้องการใช้เงินทำอะไร แทนที่จะใช้เงินไปกับฟาสต์แฟชั่น เราน่าจะเอาเงินไปใช้กับสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า นี่คือการเคารพตัวเอง ถ้าฟาสต์แฟชั่นเป็นจิ๊กซอว์เล็กๆ น่าจะใช้เงินกับสิ่งอื่นมากกว่า ซึ่งจะตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเหลือพอส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไป”

ชญณัฐ ให้มุมมองทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเป็นการคืนอำนาจสู่มือผู้บริโภคได้ “มีงานวิจัยจำนวนมากที่บอกว่าการผลิตแบบ linear economy ที่ดึงทรัพยากรมาผลิตและโยนทิ้งไปนั้น ระบบเศรษฐกิจแบบนี้ไม่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่การตั้งคำถามว่า เราจะจัดการอย่างไรกับทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด ให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยที่ไม่ต้องอิงกับกราฟการเติบโตของจีดีพี เราไม่จำเป็นต้องผลิตเรื่อยๆ แต่เราให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า การบริโภคบางทีไม่ได้สร้างความสุขและประโยชน์สูงสุด เราอาจต้องกลับมาตั้งคำถามว่าเราใช้เงินของเราคุ้มค่าที่สุดแล้วจริงหรือเปล่า และในด้านนโยบาย ประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ แต่เราอยากหันมามองว่าทำอย่างไรให้เราไม่ต้องอิงกับการผลิตอย่างเดียว เช่น ในประเทศกลุ่มอียูมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านการซ่อม ส่งผลให้รายได้ของอุตสาหกรรมลดลง แต่เงินที่หายไปในความมั่งคั่งของบริษัทไม่กี่บริษัทนั้นกลับมาสู่มือของผู้บริโภค”

“ซื้อให้น้อยลง เลือกให้ดีขึ้น และใส่อย่างคุ้มค่ายาวนาน หรือ ‘Buy Less, Choose Well, Make it Last’ นี่คือคำพูดของ วิเวียน เวสต์วูด ดีไซน์เนอร์ระดับโลก กล่าวไว้ และแฟชั่นไอคอนระดับโลกนี้เป็นผู้แนะนำว่าเราไม่ต้องซื้อเยอะ เพียงแค่ใช้ให้นาน สิ่งนี้มีพลัง ทำให้นักช้อปหันมาฉุกคิดได้ และช่วงเวลาที่แบรนด์ต่างๆหันมาเซลล์กันในช่วง Black Friday จะยิ่งเป็นความท้าทายที่ชวนให้เราทุกคนหันมาเปลี่ยนพฤติกรรมการช้อปได้” พิชามญชุ์กล่าว

สโลว์แฟชั่น ทางออกที่ยั่งยืน

การเปิดมุมมองใหม่สู่สโลว์แฟชั่นเพื่อยุติฟาสต์แฟชั่นขณะที่ยังตามเทรนด์ได้นั้นทำได้อย่างไร? พิชามญชุ์ ได้ชวนทุกคนเริ่มหันมามองของใหม่ไม่ใช่จากห้างแบรนด์ใหญ่ แต่จากในบ้านของเราเอง “เราเป็นคนที่ชอบความรู้สึกการได้ของใหม่ ดังนั้นการทำได้ทันทีคือการ swap เสื้อผ้า แลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากับที่บ้านก็ได้ กับแม่ กับพี่สาว จะได้สิ่งใหม่โดยที่ไม่ต้องซื้อใหม่”

ส่วน นุ่น-ศิรพันธ์ เสนอว่า “การ mix-match เสื้อผ้า จากของที่เรามี เพื่อที่เราจะได้เอาเงินที่เก็บไว้ไปใช้กับสิ่งอื่นที่เราต้องการมากกว่า”

พชรศิริ เสนอแนวทางน่ารักๆว่า “ถ้าในตู้ยังไม่สปาร์คจอย เราอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบ เอาไปซ่อม”

ส่วนชญณัฐ เสริมด้านการซ่อมแซมเสื้อผ้าว่า “ลองสำรวจว่าแถวบ้านมีร้านซ่อมอะไรบ้าง เพื่อปรับเปลี่ยนเสื้อผ้า และสนับสนุนธุรกิจของท้องถิ่น” 

บางทีเสื้อผ้าอาจไม่ได้มีคำว่าเก่าหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการให้คุณค่าและความสำคัญของผู้สวมใส่ ฟาสต์แฟชั่นคือความท้าทายของโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ต่อผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม แต่รวมถึงความเป็นตัวตนของเรา อยู่ที่คุณต้องเลือกแล้วว่าคุณต้องการให้ตัวตนของคุณเป็นอย่างไร เพราะโลกแฟชั่นใบนี้จะยั่งยืนหรือไม่ด้วยการเลือกของเรา

อ่านรายงาน “จากโรงงานสู่ตู้เสื้อผ้า: ความเสี่ยงของสารเคมีในอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่น” ที่นี่