ปี 2566 เลขาธิการสหประชาชาติ (United Nations) ประกาศว่าโลกของเรากำลังเข้าสู่ยุค ‘วิกฤตโลกเดือด’ เป็นที่เรียบร้อยหลังจากอุณภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เรื่อยมา และย้ำว่าการร่วมกันลงมือแก้วิกฤตอย่างจริงจังของทุกประเทศบนโลกเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ

Protest against Climate Injustice by Community from Bohol's Sinking Island. © Ivan Joeseff Guiwanon / Greenpeace

โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและซับซ้อนขึ้นทุกวัน แต่ผลกระทบไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียมกัน กลุ่มคนเพียง 1% จากบรรษัทยักษ์ใหญ่ฟอสซิลเป็นผู้ก่อมลพิษ แต่คนอีก 99% ต้องรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งคลื่นความร้อน ภัยแล้ง น้ำท่วมฉับพลัน พายุ มลพิษทางอากาศ

นำมาสู่การสูญเสียทรัพย์สิน ชีวิต และอาจต้องอพยพออกจากบ้านเกิด วิกฤตนี้เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิในการมีชีวิตอย่างปลอดภัย ทั้งการเข้าถึงอาหาร น้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ และความมั่นคงของการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี

กลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือ เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อยในเมืองและชนบท ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ เด็ก เยาวชน ผู้หญิง และผู้มีความหลากหลายทางเพศ เพราะแทบไม่มีส่วนหรือมีส่วนน้อยในการก่อโลกเดือด แต่กลับต้องเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤตอย่างไม่เป็นธรรมจากนโยบาย

Climate March at the Environment Ministry in Bangkok. © Chittawan Limcharoen / Greenpeace

ผลกระทบรุนแรงจากโลกร้อนและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลลัพธ์คือถูกซ้ำเติมด้วยความเหลื่อมล้ำ ผู้คนจำนวนมากต้องสูญเสียโอกาสในการดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยในสิ่งแวดล้อมที่ดี

แม้สถานการณ์จะดูน่าหวาดกลัว แต่เรายังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นทางของโลกได้ การหยุดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและเร่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรม เช่น แสงอาทิตย์ ลม  เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน เราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วและจริงจัง พร้อมทั้งสร้างความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ โดยใช้หลักการผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ (Polluter Pays Principle : PPP) และช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับผลกระทบ การสร้างสังคมที่ยั่งยืนและเป็นธรรมจะเป็นรากฐานสำคัญในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้

1% ก่อ 99% เจ็บ 

หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงขึ้นเร่งให้โลกยิ่งร้อนเร็วกว่าเดิม นำมาสู่วิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นที่พวกเราคนทั่วไปต้องเผชิญ เราจะเห็นได้ชัดว่าปัจจุบันนี้ภัยพิบัติทางธรรมชาติจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather Event) กำลังทวีความรุนแรงและเกิดบ่อยครั้งขึ้นเรื่อย ๆ  แต่หากเราวิเคราห์เจาะลึกลงไปจะพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลคือกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังวิกฤตโลกเดือด และเพียง 1 % ของพวกเขากำลังทำให้ผู้คนทั้งโลกอีก 99% ได้รับผลกระทบซึ่งร้ายแรงถึงชีวิต

Aerial of Coal Fired Power Plants in Germany.
Aerial photo of coal fired power stations Neurath near Grevenbroich and Niederaussem near Bergheim in the Rhenish lignite mining area. Steam coming out of cooling towers. Windturbines near the plant.

กลุ่มอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ หรือเพียง 1% ของบริษัท Carbon Majors เป็นต้นเหตุหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ขณะที่ 99% ของผู้คนต้องรับผลกระทบรุนแรงถึงชีวิต ในรายงาน Carbon major ที่เผยแพร่ในปี 2566 ชี้ว่าเพียง 122 บริษัทใหญ่ หรือ Carbon Majors ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกว่า 1,421 กิกะตัน CO₂ เทียบเท่า ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งคิดเป็นกว่าร้อยละ 70 ของการปล่อยก๊าซจากอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ทั่วโลก งานวิจัยล่าสุดยังชี้ว่า Carbon Majors เหล่านี้มีส่วนเชื่อมโยงโดยตรงกับเหตุการณ์คลื่นความร้อน (heat waves) และภัยพิบัติสภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก

คนทั้งโลกกำลังเดือดร้อนเพราะใคร ?

เพียงไม่กี่ประเทศก่อมลพิษมากกว่าครึ่งโลก ในขณะที่ทุกคนต้องเผชิญผลกระทบร่วมกัน ข้อมูลจาก ฐานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อการวิจัยด้านบรรยากาศโลก (Emissions Database for Global Atmospheric Research: EDGAR) แสดงให้เห็นว่า จีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย และสหภาพยุโรป เป็น 4 อันดับแรกของโลกที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด รวมกันคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของการปล่อยทั่วโลก

กลุ่ม G20 นับเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึงราวร้อยละ 75 ของทั่วโลก (รวมถึงการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและป่าไม้) ราว 60% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก มาจากเพียง 10 ประเทศเท่านั้น  ในขณะที่ 100 ประเทศที่ปล่อยก๊าซน้อยที่สุด มีส่วนร่วมเพียงไม่ถึง 3% ของทั้งหมด

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลยักษ์ใหญ่ยังคงเป็นสัดส่วนจำนวนมากของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ในปี 2019 ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากสูงสุด ได้แก่ จีน สหรัฐฯ อินเดีย สหภาพยุโรป (รวมสหราชอาณาจักร) รัสเซีย และญี่ปุ่น รวมกันปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลถึงร้อยละ 67 และวิกฤตโลกเดือดยังส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา

A crew member on the Esperanza monitors Total’s Culzean Platforms located in the Culzean Field. Culzean is a gas condensate field located in the British North Sea, 230 kilometres off the coast of Aberdeen. © Marten van Dijl / Greenpeace

การปล่อยมลพิษไม่เท่าเทียมส่งผลกระทบไม่เท่ากัน ความล้มเหลวของกลุ่มอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ฟอสซิลกำลังละเลยในการสร้างความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ ยิ่งซ้ำเติมให้วิกฤติสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน และทำให้ความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น

Aftermath of Typhoon Vamco in the Philippines. © Basilio Sepe / Greenpeace

ในขณะที่การพัฒนาของรัฐและภาคอุตสาหกรรมยังดำเนินไปในทิศทางที่ไม่เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ และไม่มีแนวโน้มว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามที่องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ไว้ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ได้พุ่งขึ้นสูงสุดในปี 2023

ขณะเดียวกัน หลายประเทศซึ่งเป็นผู้ปล่อยก๊าซรายใหญ่ยังคงล้มเหลวในการปฏิบัติตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซ (NDCs) ที่ได้ให้คำมั่นไว้

ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจึงทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา งานวิจัยของ IPCC ชี้ชัดว่า คนรวยในทุกประเทศปล่อยก๊าซมากกว่าคนจน ทำให้ความไม่เท่าเทียมภายในประเทศลึกซึ้งยิ่งขึ้น จากการสำรวจความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลก กว่าร้อยละ 70 ของนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าวิกฤตโลกร้อนจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ

Typhoon Yagi Impacts in Bulacan. © Noel Celis / Greenpeace
A father kisses her baby daughter as they wade through a flooded street caused by continuous rain brought by Typhoon Yagi in San Miguel, Calumet, Bulacan, north of Manila © Noel Celis / Greenpeace

ในขณะที่กลุ่มผู้มั่งคั่งจากอุตสาหกรรมฟอสซิลยังคงปล่อยก๊าซจำนวนมหาศาล งานวิจัยในสหภาพยุโรปพบว่า ครัวเรือนที่มีคาร์บอนฟุตพรินต์สูงสุดมักเป็นครัวเรือนของกลุ่มผู้มีรายได้สูง ส่งผลให้ช่องว่างทางรายได้และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนายิ่งกว้างขึ้น

ประเทศไทยเคยเสี่ยงอันดับ 9 ของโลก

จากผลกระทบสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงตั้งแต่ปี 2564 ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 9 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่ไปเพิ่มความเปราะบางให้กับปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการกีดกันทางสังคม ทำลายทรัพยากรทางกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคมอย่างต่อเนื่อง คนกลุ่มเปราะบางซึ่งตกอยู่ในความเหลื่อมล้ำที่ถูกกดทับอย่างซ้ำซ้อน

ความไม่เท่าเทียมของโลกทำให้ประเทศที่อยู่ระหว่างการพัฒนาต้องเผชิญวิกฤตซ้ำซากอย่างปากีสถานและฟิลิปปินส์ และไทย ขณะที่ประเทศร่ำรวยในยุโรปแม้เผชิญภัยรุนแรง เช่น คลื่นความร้อนมีรายงานว่าในปี 2003 ที่คร่าชีวิตมากกว่า 70,000 คน แต่ด้วยความพร้อมทางเศรษฐกิจและระบบรับมือที่แข็งแกร่ง ทำให้พวกเขาฟื้นตัวจากความสูญเสียและความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ประเทศที่ยังไม่พัฒนาและกำลังพัฒนากำลังถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลัง

Flooding in Pattani, Thailand. © Abdulromae Taleh / Greenpeace

ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้มีรากฐานในบริบททางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมที่ซับซ้อน และยังถูกขับเคลื่อนโดยโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียม ทำให้คนกลุ่มเปราะบางเข้าถึงทรัพยากร บริการ และความคุ้มครองได้น้อยกว่าคนทั่วไป

ในขณะเดียวกันแผนปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ถูกใช้เป็นเครื่องมือฟอกเขียว ผ่านกลไกการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) และเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage) ซึ่งเปิดทางให้ผู้ก่อมลพิษยังคงสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปได้

กำไรของเขา เท่ากับ ภัยพิบัติของเรา

วิกฤตโลกเดือด กระทบทุกคนไม่เท่ากัน กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง เด็ก ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ ผู้ลี้ภัย ผู้มีรายได้น้อยหรือคนจนเมือง และ LGBTQI+ ต้องเผชิญผลกระทบหนักที่สุด เพราะพวกเขามักถูกละเลยจากการเข้าถึงทรัพยากรและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แม้จะเป็นผู้ที่อยู่แนวหน้าต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแต่พวกเขากับต้องเผชิญวิกฤตนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศมากที่สุด

ผู้หญิง“ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะทำงานอยู่ในภาคส่วนอาชีพที่มักได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด เช่น ภาคเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และภาคการประมง” หญิงที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศต้องเผชิญกับสภาพการทำงานที่หนักขึ้น ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่สูงขึ้น และจะต้องเผชิญกับการลี้ภัยทางสภาพภูมิอากาศที่มากขึ้น

โดยหลายกรณีเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ซึ่งล้วนเกิดจากการทำโครงการถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล ผู้หญิงมักเป็นคนกลุ่มแรกที่เผชิญกับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายหรือเป็นมลพิษ พวกเธอจะเป็นคนทำนาในช่วงหน้าแล้ง พวกเธอจะคอยหาน้ำให้กับคนในบ้านของเธอและพวกเธอจะเป็นคนแรกที่เห็นว่าลูกของเธอป่วยจากน้ำที่สกปรกและปนเปื้อนมลพิษ

จากบทความของสำนักข่าว The Guardian ระบุว่า “ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะทำงานอยู่ในภาคส่วนอาชีพที่มักได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด เช่น ภาคเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และภาคการประมง” และยังมีข้อมูลจากกองทุน The Global Fund for Women ที่ยืนยันว่า อาหารราว 80% บนโลกที่ผลิตได้ถูกผลิตโดยผู้หญิง แต่กลุ่มผู้หญิงยังได้รับเงินทุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพียง 0.1%

Severe Tropical Storm Kristine (Trami) Impacts in the Philippines. © Jilson Tiu / Greenpeace
People look for buried bodies and possible survivors in the rubble. At least 18 people lost their lives to a landslide caused by typhoon Kristine (Trami) at brgy Sampaloc, Talisay, Batangas Philippines. Residents believe that the landslide was caused by a quarry operation nearby. © Jilson Tiu / Greenpeace

สภาพอากาศที่ไม่แน่นอน เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และฝนที่ตกไม่ตามฤดูกาล ส่งผลกระทบอย่างมากต่อรายได้ของผู้หญิงที่พึ่งพาภาคการเกษตรในการดำรงชีพ พยายามรักษาระดับการผลิตทางการเกษตรให้ใกล้เคียงกับเดิมมากที่สุด เกษตรกรจำนวนไม่น้อยต้องหันมาใช้สารเคมีในการกระตุ้นผลผลิต ซึ่งนำไปสู่ปัญหาใหญ่ตามมา ไม่เพียงแต่ทำให้หลายครอบครัวต้องแบกรับภาระหนี้สินจำนวนมากจากการซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ แต่สารเคมียังส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้หญิงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มสตรีมีครรภ์ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อทารกในครรภ์ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์เลยทีเดียว

เห็นได้ชัดว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศกลายเป็นสถานการณ์ที่ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยจะต้องเจอในชีวิตประจำวัน แต่พวกเธอกลับมีบทบาทน้อยมากในการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายทั้งในหน่วยงานท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งในการเมืองระดับประเทศ

LGBTIQ+ ชุมชนของผู้มีความหลากหลายทางเพศมักพบอุปสรรคต่อการเข้าถึงการรักษาพยาบาล อาหาร น้ำสะอาด และที่พักพิงฉุกเฉิน หลังภัยพิบัติ เช่น กรณีแผ่นดินไหวที่เฮติ ปี 2010 ที่รายงานเผยว่าคนข้ามเพศและอินเตอร์เซ็กส์ถูกกีดกันจากศูนย์พักพิง ถูกคุกคามในแคมป์ ชายรักชายถูกจำกัดการเข้าถึงยาต้านไวรัส HIV เลสเบียนถูกข่มขืน และหญิงข้ามเพศถูกซ้อมทรมานระหว่างการช่วยเหลือในช่วงภัยพิบัติ

ความรุนแรงทางศาสนาแบบตอบโต้ ผู้นำศาสนาบางกลุ่มประกาศว่าภัยพิบัติเป็น “การลงโทษจากพระเจ้า” ต่อชุมชน LGBTQI+ ส่งผลให้เกิดความรุนแรงทางร่างกายและเพศในหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา อิสราเอล และเฮติ การกล่าวหานี้นำไปสู่ความรุนแรงร้ายแรงถึงแก่ชีวิตและความเหลื่อมล้ำที่ทวีความรุนแรงขึ้น วิกฤตสภาพภูมิอากาศยิ่งเป็นตัวเร่งให้ความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น ชุมชน LGBTQI+ ที่ถูกกดทับด้วยอัตลักษณ์หลายด้านต้องเผชิญความเสี่ยงสูงต่อการไร้บ้าน ความรุนแรง และความไม่มั่นคงทางรายได้ รวมถึงอุปสรรคในการอพยพอย่างปลอดภัยเพราะขาดการคุ้มครองทางกฎหมาย เสี่ยงต่อการถูกละเมิดระหว่างการย้ายถิ่น ทำให้เปราะบางยิ่งขึ้นในช่วงภัยพิบัติ

ชุมชนท้องถิ่นและชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ ถือเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจแบบบนลงล่าง (top-down) ที่เปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมเป็นพื้นที่ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ตามที่ระบุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี  ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของไทย ทั้งในภาคตะวันตก ภาคตะวันออก และที่กำลังจะเกิดขึ้นในภาคใต้ โดยขาดการรับฟังความเห็นอย่างมีความหมายของคนในพื้นที่จนกลายเป็นการพัฒนาที่ไม่ได้อยู่บนศักยภาพของพื้นที่

รวมทั้งนโยบายแก้ปัญหาโลกร้อนแบบผิด ๆ (false solution) เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต และนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green economy) ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้คือการถูกบังคับขับไล่  (Forced Eviction) ออกจากบ้านและที่ทำกินของตัวเอง หรือถูกบังคับให้เปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่อาชีพดั้งเดิมที่ทำมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำให้วิถีชีวิต ความหลากหลายทางวัฒนธรรม อาชีพ และองค์ความรู้ท้องถิ่น รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพหายไป ซ้ำร้ายการที่รัฐพรากที่ดินจากพวกเขาไปภายในนาม “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ทำให้พวกเขาไม่สามารถหลุดพ้นจากวงเวียนความยากจนไปได้เลย

จากฟอสซิลสู่พลาสติก จากพลาสติกสู่โลกเดือด คนจนเมืองคือผู้รับเคราะห์ “กว่าร้อยละ 90 ของพลาสติกมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล”  ขยะพลาสติกไม่ใช่แค่ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางสังคมและวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กดทับชีวิตของ “คนจนเมือง” ให้เปราะบางขึ้นทุกวัน มลพิษจากขยะปนเปื้อนดิน น้ำ และไมโครพลาสติกเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของผู้คน

แบรนด์ใหญ่หลายแห่งไม่ได้ทำตามคำพูดและยังล้มเหลวในการจัดการปัญหามลพิษพลาสติก รายงาน Global Commitment 2022 Progress Report แสดงให้เห็นชัดเจนว่าบริษัทเหล่านี้ไม่ได้แก้วิกฤต แต่กลับเพิ่มปริมาณการผลิตพลาสติกขึ้น ปัญหาการจัดการขยะที่ไม่เป็นธรรมเป็นภาพสะท้อนของความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน บางพื้นที่ เช่น ประเทศกาน่า ถูกใช้เป็นที่ทิ้งขยะจากกลุ่มประเทศร่ำรวย

A mountain of plastic and electronic waste appears on the streets of central Bangkok as delegates from the 10 member-states of the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) arrive in the Thai capital for the start of the 34th ASEAN summit. Activists holding banners saying ‘no space for waste’ unveiled the spectacle during a protest by environmental groups, including Greenpeace and community representatives from across Thailand, outside the Ministry of Foreign Affairs of Thailand – which has been chosen as the ASEAN-National Secretariat – a major focal point during this week’s talks. They call on ASEAN leaders to declare an immediate ban on the transboundary trade in hazardous electronic and plastic wastes – without exception.

กรีนพีซ เรียกปรากฏการณ์การส่งออกขยะมลพิษจากประเทศร่ำรวย (Global North) ไปยังประเทศยากจนว่า “waste colonialism” ซึ่งเป็นการผลักภาระขยะให้ประเทศที่ขาดโอกาสในการจัดการ ปัญหามลพิษพลาสติกที่สะสมไม่เพียงทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังย้อนกลับมากดทับสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้คนที่ไร้อำนาจจัดการทรัพยากรอีกด้วย ในรายงาน “Environmental Justice” หรือความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม (Schlosberg, 2007) ชี้ให้เห็นว่า มลพิษและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียม แต่เชื่อมโยงกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม คนจนในเมืองใหญ่มีข้อจำกัดด้านรายได้ ที่อยู่อาศัย และอำนาจต่อรอง ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรในการป้องกันหรือบรรเทาความเสี่ยงได้

ความพิการ + ความเหลื่อมล้ำ = ความเสี่ยงต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ  ทั่วโลกมีผู้คนราว 1 พันล้านคน ประมาณ 15–16% ของประชากร ที่มีความพิการในรูปแบบต่าง ๆ ความยากจน การเลือกปฏิบัติ และการเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำกัด ทำให้คนพิการเปราะบางต่อผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างมาก

ผู้พิการมักมีรายได้น้อยหรือพึ่งพาเครือข่ายสังคมที่จำกัด จึงทำให้ภัยพิบัติทั้งที่เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปและแบบฉับพลัน ส่งผลกระทบหนักต่อความมั่นคงทางอาหาร การเข้าถึงบริการสุขภาพ และโอกาสทำงานที่เหมาะสม นอกจากนี้ คนพิการมักถูกละเลยทั้งในการตอบสนองฉุกเฉินและการวางแผนนโยบาย — หลายครั้งไม่ได้รับการแจ้งเตือนหรือช่องทางอพยพที่เข้าถึงได้ ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายไปยังที่ปลอดภัยช้ากว่าคนทั่วไปและมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตมากกว่าเดิม มีงานวิจัยจาก United Nations Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR) รายงานระหว่างประเทศประเมินว่ามีผู้พิการประมาณ 1 พันล้านคนทั่วโลก (หรือราว 15–16% ของประชากรโลก) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติอย่างไม่สมส่วน ชี้ว่า อัตราการเสียชีวิตหรือผลกระทบรุนแรงต่อคนพิการจากภัยพิบัติสามารถสูงกว่าประชากรทั่วไป 2–4 เท่า ในหลายบริบททั่วโลก—จึงเป็นประเด็นการคุ้มครองที่สำคัญ

กรณีในประเทศไทยมีรายงานข่าวว่ามีผู้พิการเสียชีวิตจากอุทกภัยบางพื้นที่ ตัวอย่าง: เหตุการณ์ที่เชียงรายในปี 2024 มีผู้พิการติดในบ้านและเสียชีวิต  แสดงให้เห็นปัญหาในเชิงการตอบสนองฉุกเฉินระดับพื้นที่ด้วย.