กรุงเฮก, เนเธอร์แลนด์ – ศาลสูงสุดของโลกมีมติที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญเกี่ยวกับพันธกรณีของรัฐต่าง ๆ ในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ [1] คำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (The International Court of Justice : ICJ) ครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกการคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม และยกระดับพันธกรณีของรัฐให้มีความรับผิดชอบที่ครอบคลุมเกินกว่าที่กำหนดไว้ใน ความตกลงปารีส ข้อวินิจฉัยยังระบุถึง พันธกรณีของทุกรัฐในการป้องกันความเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม และ หน้าที่ในการร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรับมือกับวิกฤตโลกร้อนอย่างเป็นระบบ
คำวินิจฉัยของศาลได้วางหลักทางกฎหมายที่ชัดเจนว่า รัฐมีพันธกรณีในการกำกับดูแลภาคธุรกิจต่อความเสียหายที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ศาลยังระบุว่า สิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ปลอดภัย และยั่งยืน เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นรากฐานของสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ทั้งปวง พร้อมทั้งเน้นว่า หลักความเป็นธรรมระหว่างรุ่นควรเป็นแนวทางสำคัญในการตีความและบังคับใช้พันธกรณีด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐในทุกกรณี
ดานีโล การ์ริโด ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย กรีนพีซ สากล กล่าวว่า
“สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งความรับผิดชอบด้านสภาพภูมิอากาศในระดับโลก คำวินิจฉัยสำคัญของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศถือเป็นจุดเปลี่ยนของความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากศาลชี้ให้เห็นแล้วว่ารัฐต่าง ๆ มีพันธกรณีระหว่างประเทศในเรื่องที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ และสิ่งสำคัญที่สุดคือมีผลทางกฎหมายตามมาในกรณีที่รัฐต่าง ๆ ละเมิดข้อผูกพันของตน
คำวินิจฉัยนี้จะเปิดทางให้เกิดคดีใหม่ ๆ ที่เป็นความหวังด้านความเป็นธรรมสู่ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จะเป็นผู้ที่มีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกเดือดเพียงเล็กน้อย แต่กลับกลับเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศและต้องทนทุกข์มากที่สุด คำแนะนำของศาลกระจ่างชัดแล้วว่า การผลิต การบริโภค รวมถึงการให้ใบอนุญาตและเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล อาจถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ก่อมลพิษต้องหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และต้องชดใช้ความเสียหายที่ได้ก่อไว้ ”
คำวินิจฉัยดังกล่าวยังชี้ชัดว่า การละเมิดพันธกรณีด้านสภาพภูมิอากาศจะนำไปสู่การต้องชดใช้อย่างรอบด้าน ซึ่งรวมถึงการยุติการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาย พร้อมกับการชดใช้ทางการเงินสำหรับความสูญเสียและเสียหายที่อาจก่อให้เกิด รวมทั้งต้องครอบคลุมถึงการชดใช้ความเสียหายจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ และมีความจำเป็นเร่งด่วนในการหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกินระดับความปลอดภัยตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่มีนัยยะสำคัญที่สุดคือ ศาลชี้ให้เห็นถึงข้อค้นพบสำคัญที่จะต้องทำให้โลกเกิดความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศสำหรับผู้คนรุ่นถัดไปในอนาคต ซึ่งจะกลายเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกเดือดมากที่สุด เรียกได้ว่าความเห็นครั้งนี้เป็นข้อเสนอครั้งประวัติศาสตร์
ฟลอรา วาโน หัวหน้าผู้นำสตรีชุมชนวานัวตู กล่าวว่า :
“คืนนี้ฉันคงหลับสนิทแล้ว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงเส้นทางความยุติธรรมจริง ๆ ที่ไม่ได้เป็นเพียงความฝัน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศรับรู้สิ่งที่เราต้องเผชิญ ความทุกข์ทรมานของเรา การรับมือของชุมชน รวมทั้งสิทธิพื้นฐานของเราในอนาคต เหตุการณ์นี้ถือเป็นชัยชนะสำหรับทุกชุมชนที่เป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่กำลังต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้เสียงของพวกเขาดังพอ และตอนนี้โลกต้องรับฟังพวกเราและแก้ไขปัญหาได้แล้ว”
ก่อนหน้านี้ ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งทวีปอเมริกาก็เผยแพร่คำวินิจฉัยสำคัญเกี่ยวกับภาระผูกพันของรัฐในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ[2] ศาลระบุว่ารัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเร่งด่วนและมีประสิทธิภาพเพื่อคุ้มครองสิทธิในการมีสภาพภูมิอากาศที่ดีต่อสุขภาพ รวมทั้งกลุ่มบรรษัทยังต้องมีภาระผูกพันด้านวิกฤตสภาพภูมิอากาศและการละเมิดสิทธิมนุษยชน คำตัดสินนี้ตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนต้องอยู่เหนือผลกำไรของผู้ก่อให้เกิดวิกฤตโลกเดือด
ในปี 2566 เรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์ เรือรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมของกรีนพีซ เดินเรือผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกและรวบรวมคำให้การจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ คำให้การเหล่านี้ถูกส่งเป็นหลักฐานต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พร้อมกับคำให้การจากชุมชนแนวหน้าทั่วโลกที่เผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง [3] ต่อมา ศาลได้จัดเวทีการไต่สวนสาธารณะเป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์เกี่ยวกับภาระผูกพันของรัฐที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยมีการนำเสนอผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศโดยชุมชนที่เป็นด่านหน้าทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากรัฐต่าง ๆ และองค์กรระหว่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน หลังจากส่งความคิดเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรให้กับศาลเมื่อปีที่แล้ว
คำวินิจฉัยในวันนี้ช่วยเสริมแรงผลักดันระดับโลกเพื่อความรับผิดชอบด้านสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุน “ปฏิญญาผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย (Polluters Pay Pact)” ซึ่งเป็นแนวร่วมระดับโลกที่มีสมาชิกกว่า 200,000 คน ที่เป็นกลุ่มคนด่านหน้าที่ต้องรับมือกับภัยพิบัติจากวิกฤตโลกเดือด กลุ่มเปราะบาง เจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานเสี่ยงเช่น นักดับเพลิง องค์กรด้านมนุษยธรรม ผู้นำทางการเมือง และและองค์กรพัฒนาเอกชนมากกว่า 60 แห่ง รวมทั้งกรีนพีซ สากล ที่เรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกที่ผลิตน้ำมัน ก๊าซฟอสซิล ถ่านหิน จะต้องจ่ายค่าความสูญเสียและเสียหายเพื่อรับผิดชอบต่อภัยพิบัติที่พวกเขาเป็นผู้ก่อขึ้น
สำหรับสื่อมวลชน ดาวน์โหลดรูปภาพ ที่นี่
หมายเหตุ
[1] Obligations of States in respect of Climate Change Request for Advisory Opinion
[2] ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งทวีปอเมริกา เป็นหนึ่งในสามศาลสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคของโลก โดยมีหน้าที่ชี้แจงพันธกรณีของรัฐ คำวินิจฉัยสำคัญของศาลดังกล่าวจะถูกส่งไปยังศาลระดับชาติและรัฐบาล อ่านคำแนะนำสำคัญฉบับเต็ม (ภาษาสเปน)
[3] กรีนพีซยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศถึงภาระผูกพันของรัฐเกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
[5] ในปี 2562 นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ 27 คน จากมหาวิทยาลัย เซาท์ แปซิฟิก ร่วมกันจัดตั้งกลุ่ม Pacific Islands Students Fighting Climate Change (PPS) พร้อมรณรงค์ให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศออกความเห็นเชิงปรึกษา (Consultary Opinion) เกี่ยวกับความรับผิดชอบของรัฐต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มติดังกล่าวซึ่งเสนอโดยประเทศวานูอาตูและเครือข่ายพันธมิตรระหว่างประเทศ ได้รับความเห็นชอบจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติอย่างเป็นเอกฉันท์ในเดือนมีนาคม ปี 2566 โดยมีประเทศต่างๆ กว่า 130 ประเทศร่วมสนับสนุน
สำหรับสื่อมวลชน ติดต่อ :
Marie Bout, Strategic Comms Manager, Greenpeace International Climate & Energy Programme, +33 (0) 6 05 98 70 42, [email protected]
Greenpeace International Press Desk, +31 (0) 20 718 2470 (available 24 hours), [email protected]