เสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่น (Fast Fashion) หรือเสื้อผ้าแฟชั่นราคาถูกที่เน้นผลิตอย่างรวดเร็วเพื่อตามเทรนด์ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นั้นทำลายสิ่งแวดล้อม ทางออกที่ยั่งยืนกว่าคือการไม่สนับสนุนแฟชั่นและเสื้อผ้าที่ใส่เพียงไม่กี่ครั้งแล้วทิ้ง ซึ่งฝ่ายกฎหมายของ กรีนพีซ เยอรมนี เผยว่า กฎหมายคัดค้านการผลิตเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นคือทางออกที่สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศเยอรมนี

เสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นอาจมีราคาถูก แต่ต้นทุนที่แท้จริงกลับตกอยู่กับสิ่งแวดล้อม แรงงาน และคนรุ่นหลัง ผู้บริโภคจำนวนมากกลับไม่ถูกใจกับสินค้าที่ซื้อมา เสื้อผ้าที่ดูน่าซื้อในโฆษณานั้น โดยมากถูกทิ้งทั้งที่ป้ายราคายังติดอยู่หรือแทบไม่เคยสวมใส่เลย เสื้อผ้าแฟชั่นถูกทิ้งเหล่านี้กลายเป็นภูเขาขยะที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน กลายเป็นวิกฤตไมโครพลาสติกที่ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ซ้ำยังผลิตขึ้นจากการใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม
“อีกไม่นาน แบรนด์แฟชั่นจะโหมโฆษณาโปรโมชั่นในช่วง Black Week อีกครั้ง ฟาสต์แฟชั่นสะท้อนทุกอย่างที่ผิดพลาดในรูปแบบการบริโภคของเรา ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้าล้นเกิน ความโลภ และการก่อมลพิษ กฎหมายต่อต้านการผลิตเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นพร้อมมาตรการที่เข้มงวดเท่านั้นที่จะสามารถหยุดกระแสการผลิตเสื้อผ้าล้นโลกนี้ได้”
– โมริตซ์ แยเกอร์-รอชโก ผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษพลาสติกและเศรษฐกิจหมุนเวียน กรีนพีซ เยอรมนี
กฎหมายต่อต้านการผลิตเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นมีควรมีหน้าตาอย่างไร
เพื่อหยุดความบ้าคลั่งของอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่น กรีนพีซเรียกร้องให้กฎหมายต่อต้านการผลิตเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นนำกลไกทางกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศสนำร่องไว้ ดังนี้
1. การจัดเก็บภาษีฟาสต์แฟชั่น เพื่อให้ผู้ผลิตต้องมีภาระต่อความเสียหายที่เกิดจากการผลิตล้นเกินของบริษัท
2. การส่งเสริมรูปแบบธุรกิจหมุนเวียน เช่น การยืม การแลกเปลี่ยน การซ่อมแซม หรือสินค้ามือสอง ซึ่งเป็นทางออกที่แท้จริงแทนที่สินค้าราคาถูกอายุสั้น
3. การห้ามโฆษณา รวมถึงบนโซเชียลมีเดีย เพื่อให้บริษัทเสื้อผ้าต่าง ๆ ขาดเครื่องมือสำคัญที่สุดในการผลักดันการบริโภคฟาสต์แฟชั่น

มาตรการดังกล่าวนี้สามารถยับยั้งฟาสต์แฟชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะเป็นก้าวสำคัญสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมสิ่งทออย่างแท้จริง กล่าวคือ ขยะน้อยลง เสื้อผ้าที่ทนทานและมีคุณภาพมากขึ้น แทนการเดินหน้าการผลิตแฟชั่นราคาถูกและอายุใช้งานสั้น
นักกิจกรรมกรีนพีซได้รวมตัวกันที่กรุงเบอร์ลินเมื่อเดือนตุลาคม 2568 เพื่อเรียกร้องกฎหมายต่อต้านการผลิตเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่น โดยได้จัดวางรูปปั้นสร้างจากเสื้อผ้าสูงห้าเมตร งานศิลปะชิ้นนี้ออกแบบโดยศิลปิน เอมานูเอเล จาเน โมเรลลี สร้างขึ้นจากเสื้อผ้าที่กรีนพีซเก็บมาจากภูเขาขยะในตลาดกันตามันโต เมืองอักกรา ประเทศกานา ตลาดแห่งนี้เป็นหนึ่งในตลาดเสื้อผ้ามือสองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเสื้อผ้าที่ผ่านการใช้แล้ว รวมถึงเสื้อผ้าจากเยอรมนี กำลังมีส่วนทำให้เกิดมลพิษปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ

รายงานด้านความเห็นทางกฎหมายที่กรีนพีซรวบรวมนั้นต่างให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า กลไกต่อต้านการผลิตเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นในทางปฏิบัติแล้วสามารถเป็นมาตรการทางกฎหมายได้จริง
กฎหมายต่อต้านการผลิตเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นจะเป็นกลไกสำคัญ เนื่องจากตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมเสื้อผ้าทั่วโลกมีการผลิตเพิ่มขึ้นถึงกว่าสามเท่า โดยในแต่ละปีมีการผลิตเสื้อผ้าสูงถึง 180 พันล้านชิ้น โดยร้อยละ 40 ของการผลิตนั้นไม่ถูกขายและต้องถูกทำลาย ขณะเดียวกันนั้นอายุการสวมใส่เสื้อผ้าชิ้นเดิมนั้นก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ โดยกว่าร้อยละ 60 ของเสื้อผ้ามือสองในเยอรมนีนั้นถูกส่งไปต่างประเทศ ซึ่งมักลงเอยในหลุมฝังกลบหรือแม่น้ำ

หลังจากนี้งานศิลปะภูเขาเสื้อผ้าชิ้นนี้จะเดินทางต่อไปอีกกว่า 25 เมืองทั่วเยอรมนี เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงผลกระทบจากแฟชั่นใช้แล้วทิ้ง และความเร่งด่วนของกฎหมายต่อต้านการผลิตเสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่น

ราคาที่แท้จริงของเสื้อผ้าราคาถูก
- ในแต่ละปีทั่วโลกมีขยะสิ่งทอเกิดขึ้นมากกว่า 120 ล้านตัน
- ใยโพลีเอสเตอร์ที่ใช้ผลิตเส้นใยเสื้อผ้าคือพลาสติกแปรรูป โดย 2 ใน 3 ของเส้นใยสิ่งทอที่ใช้ทั่วโลกเป็นเส้นใยสังเคราะห์ซึ่งผลิตจากน้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งก่อมลพิษให้มหาสมุทรและเป็นอันตรายต่อสัตว์
- สภาพการทำงานในโรงงานมักไม่มีมนุษยธรรม การใช้แรงงานเด็ก ค่าแรงต่ำ และสภาพการทำงานที่อันตราย โดยยังคงพบปัญหาดังกล่าวได้ทั่วไปในประเทศผู้ผลิต
- เสื้อผ้าฟาสต์แฟชั่นก่อคาร์บอนไดออกไซด์กว่าหนึ่งพันล้านตันต่อปี โดยอุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลกมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราวร้อยละ 8 ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ซึ่งมากกว่าการปล่อยก๊าซจากการบินและการขนส่งทางเรือทั่วโลกรวมกัน
จากภูเขาคอนเทนเนอร์เสื้อผ้ามือสองสู่ภูเขาขยะในกานา
เสื้อผ้าแฟชั่นที่เพิ่งเป็นที่ต้องการไม่นานมานี้มักถูกทิ้งอย่างรวดเร็ว ถังรับบริจาคเสื้อผ้าที่เต็มล้นคือหลักฐานของปรากฏการณ์นี้ และความตั้งใจที่จะมอบชีวิตใหม่ให้เสื้อผ้าเก่ามักไม่เป็นไปตามหวัง ในแต่ละวันมีเสื้อผ้ามือสองจำนวนมหาศาลจากเยอรมนีถูกส่งไปยังเมืองอักกรา ประเทศกานา เพื่อขายต่อในตลาด ทว่า การสืบสวนของกรีนพีซในปี 2567 เผยว่าเสื้อผ้าจำนวนมากถูกทิ้งในแม่น้ำของกานา และลงสู่ทะเลในที่สุด การบริโภคเกินขนาดของเรากำลังก่อให้เกิดภูเขาขยะเสื้อผ้าโพลีเอสเตอร์อีกฟากหนึ่งของโลก ซึ่งกำลังก่อมลพิษและทำลายสิ่งแวดล้อมในระดับที่ยากจะจินตนาการได้

มายาคติของอุตสาหกรรมแฟชั่น: “จิตสำนึก” และรีไซเคิล
แบรนด์แฟชั่นจำนวนมากสร้างภาพลักษณ์ความยั่งยืนด้วยการโฆษณาคอลเล็กชั่น “Conscious” สร้างภาพลักษณ์การสวมใส่เสื้อผ้าด้วยจิตสำนึก หรือคอลเล็กชันที่กล่าวว่าผลิตจากวัสดุรีไซเคิล แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เส้นใยผสม การใช้สารเคมี และการผสมวัสดุเส้นใยต่างชนิดกัน ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะรีไซเคิลจริง แคมเปญการตลาดราคาแพงปิดบังความจริงนี้ การบริโภคเกินขนาดและวัฒนธรรมใช้แล้วทิ้งของอุตสาหกรรมแฟชั่นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ผ่านการโฆษณา ความยั่งยืนจะต้องไม่เป็นเพียงคำโปรยสินค้า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มตั้งแต่ ขั้นตอนการออกแบบ (เช่น ดีไซน์ที่ไม่ใช้เส้นใยผสมในเสื้อผ้า) กระบวนการผลิต และความรับผิดชอบของผู้ผลิต
ทางออกคือสโลว์แฟชั่น: เสื้อผ้าที่ทนทาน เน้นซ่อมแซม การแลกเปลี่ยน และการนำกลับมาใช้ใหม่ ผู้ที่บริโภคอย่างมีสติมักใช้งานเสื้อผ้าแต่ละชิ้นยาวนาน และส่งต่อมอบชีวิตที่สองหรือสามให้เสื้อผ้า ช่วยปกป้องทั้งสิ่งแวดล้อมและผู้คน ซึ่งจะเป็นการหยุดวัฎจักรแห่งแฟชั่นใช้แล้วทิ้ง
กรีนพีซยังเกาะติด: จากความสำเร็จของแคมเปญ Detox สู่การต่อสู้กับฟาสต์แฟชั่น
กรีนพีซรณรงค์คัดค้านผลกระทบที่อันตรายจากสารพิษในการผลิตของอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่นมาเป็นเวลานาน และพิสูจน์แล้วว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ กรีนพีซได้เริ่มต้นการต่อสู้กับสารเคมีอันตรายในอุตสาหกรรมสิ่งทอตั้งแต่แคมเปญ “Detox My Fashion” ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี 2554

แม้จะมีโครงการ และมาตรการเชิงกฎหมายเพื่อกำกับดูแลกำหนดและภาระรับผิดชอบของภาคธุรกิจมายาวนานหลายทศวรรษ แต่ยังคงตรวจพบสารเคมีอันตรายตกค้างในน้ำเสียจากโรงงานสิ่งทอ ในผลิตภัณฑ์ และปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ผู้สนับสนุนแคมเปญ Detox หลายแสนคนได้ร่วมขับเคลื่อนกับเราและสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กล่าวคือ ผู้ผลิตและซัพพลายเออร์สิ่งทอยักษ์ใหญ่ทั่วโลก 80 ราย ซึ่งรวมถึงแบรนด์ H&M, Zara และ Adidas ให้คำมั่นโดยสมัครใจที่จะยกเลิกการใช้สารเคมีอันตรายในห่วงโซ่อุปทานของตน และเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับการตรวจสอบสารพิษในน้ำเสียจากโรงงานการผลิตของบริษัท
แคมเปญ Detox นี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในการลดมลพิษที่เกิดจากบริษัทสิ่งทอ โดยอุตสาหกรรมแฟชั่นได้ลงมลลดมลพิษในห่วงโซ่อุปทานการผลิตลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2021 และปรับปรุงความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลสารเคมีในน้ำทิ้งของโรงงานการผลิต
แคมเปญ Detox ยังมีส่วนช่วยในการก่อตั้งโครงการสำคัญต่าง ๆ เช่น OEKO-TEX หรือระบบการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์สิ่งทอระดับสากลจากสถาบันวิจัยและทดสอบสิ่งทอแห่งสากล (The International Association for Research and Testing in the Field of Textile Ecology), โครงการ Zero Discharge of Hazardous Chemicals (ZDHC) ซี่งร่วมกำหนดรายการสารเคมีอันตรายที่ห้ามใช้และห้ามตกค้างบนผลิตภัณฑ์, Detox Consortium (CID) และ Bluesign (มาตรฐานสิ่งแวดล้อมของเสื้อผ้าและสิ่งทอ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านการปลอดสารพิษ (detox) ในเวลาต่อมาแคมเปญกลับพบปัญหาใหม่ นั่นคือ การผลิตเกินความจำเป็นและการบริโภคเกินขนาดในอุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเอาชนะ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปลอดสารพิษดั้งเดิมของแคมเปญ

ร่วมสนับสนุนการทำงานของกรีนพีซ
เราทำงานรณรงค์เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชนหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การวิจัยข้อมูล รายงานทางวิทยาศาสตร์ และรณรงค์กับประชาชนด้วยข้อมูลเหล่านี้


