Local communities from Ban Klong Pradu village, southern Thailand, show banners against any presence of coal-power plants in the area. They are calling for Thailand to break free from fossil fuels and transition to 100% renewable energy as part of the global Break Free movement. © Chanklang  Kanthong / Greenpeace

การทำงานเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะในปัจจุบันกำลังเผชิญกับการคุกคามสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ที่ออกมาใช้สิทธิในการแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็น ภายใต้สิทธิที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจบุคคลหรือกลุ่มบุคคลพึงกระทำได้ หนึ่งในรูปแบบของการคุกคามที่แพร่หลายคือการใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อปิดปากหรือข่มขู่ผู้ที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกหรือการแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นเกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะหรือ ข้อห่วงกังวลสาธารณะ  โดยการฟ้องคดีในลักษณะดังกล่าวเรียกว่า การฟ้องคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน : คดีการฟ้องปิดปาก ( Strategic Lawsuit Against Public Participation : SLAPP) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ การฟ้องปิดปาก กลายเป็นแนวโน้มที่น่ากังวลในสังคมไทย โดยเฉพาะกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ลุกขึ้นมาใช้สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน  หรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของสาธารณะ 

กลุ่มที่มักตกเป็นเป้าของการฟ้องปิดปาก ได้แก่  นักข่าว นักกิจกรรม นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้นำชุมชนหรือชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนา หรือแม้กระทั่ง นักการเมืองฝ่ายค้าน การใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อฟ้องคดีในลักษณะนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการคุกคามบุคคล/กลุ่มบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบในระดับโครงสร้าง กล่าวคือการบ่อนทำลายสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนโดยตรงรวมถึงปิดกั้นการมีส่วนร่วมของสังคมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ

การฟ้องปิดปากจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ “คดีความ” หากแต่คือการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกดทับความเคลื่อนไหวทางสังคม และกีดกันเสียงของประชาชนออกจากพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตย อันจะนำไปสู่ความล้มสลายของสังคมประชาธิปไตยอย่างหลีกเลี่ยงไมได้

การใช้ฐานความผิดทางกฎหมายเป็นเครื่องมือฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) 

ปัจจุบันพบว่ามีฐานความผิดทางกฎหมายอย่างน้อย 13 ฐานความผิดที่สามารถถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) โดยกลุ่มผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน  โดยฐานความผิดที่มักถูกนำมาใช้ ได้แก่ ความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา  ความผิดภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ความผิดฐานยุยงปลุกปั่น ความผิดตามพระราชบัญญัติชุมนุมสาธารณะ ข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน และข้อหาทางกฎหมายอื่น ๆ อีกหลายประการ 

แม้ว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกผ่านการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะจะได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญและหลักสิทธิมนุษยชนสากล แต่ในทางปฏิบัติพบว่าประเทศไทย กลุ่มผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ หรือแม้แต่รัฐเอง มักใช้กลไกทางกฎหมายเป็นเครื่องมือในการฟ้องปิดปาก (SLAPP) เพื่อสกัดกั้นเสียงคัดค้านและควบคุมการมีส่วนร่วมของประชาชน 

ข้อกล่าวหาที่มักถูกนำมาใช้ ได้แก่ ข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 ซึ่งถูกใช้โดยภาคเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐในการตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ในขณะเดียวกัน ภาครัฐกลับใช้กฎหมายเฉพาะ เพื่อดำเนินคดีกับนักกิจกรรม นักปกป้องสิทธิสิ่งแวดล้อม และประชาชนที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรม เช่น ความผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ  ข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน เป็นต้น

พ.ร.บ.การชุมนุมฯ ยังเป็นอุปสรรคของนักเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ

Local communities from Ban Klong Pradu village, southern Thailand, show banners against any presence of coal-power plants in the area. They are calling for Thailand to break free from fossil fuels and transition to 100% renewable energy as part of the global Break Free movement.

พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ถูกประกาศใช้เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558 โดยมีวัตถุประสงค์ “เพื่อคุ้มครองและอำนวยความสะดวกในการชุมนุมโดยสงบ” อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ กฎหมายฉบับนี้กลับถูกใช้เป็น เครื่องมือควบคุม จำกัด และปราบปรามสิทธิในการชุมนุมโดยสงบอย่างต่อเนื่อง พ.ร.บ.ฉบับนี้ถูกนำมาใช้กับกิจกรรมของกลุ่มนักศึกษาและนักเคลื่อนไหวที่ออกมาแสดงออกทางการเมืองภายหลังรัฐประหารปี 2557 โดยเฉพาะในช่วงปี 2558–2559 ซึ่งเห็นได้จากการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หนึ่งในกรณีตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนปัญหาการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้กับนักปกป้องสิ่งแวดล้อม คือการชุมนุมของเครือข่าย “เทใจให้เทพา ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ปี 2560 ซึ่งเป็นกรณีแรก ๆ หลังถูกประกาศใช้” 

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 กลุ่มชาวบ้านจากจังหวัดสงขลาได้รวมตัวกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ผ่านการเดินเท้าไปตามถนน เพื่อไปยื่นหนังสือต่อพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเพื่อเรียกร้องให้ยุติโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา โดยชาวบ้านเห็นว่าโครงการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตดั้งเดิม และสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

แม้การชุมนุมจะเป็นไปอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และอยู่ภายใต้สิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ แต่ผู้จัดกิจกรรมกลับถูกดำเนินคดีในข้อหา ความผิดต่อเจ้าพนักงาน ความผิดต่อร่างกาย ความผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พระราชบัญญัติทางหลวง และพระราชบัญญัติจราจรทางบก

“ในคำฟ้องของพนักงานสอบสวนต่อศาล มีเนื้อหากล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 จำเลยทั้ง 17 คนร่วมกับพวกอีกหลายคน ได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมในระหว่างการชุมนุมคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ในสำนวนระบุว่า จำเลยที่ 1 ถึง 4 ซึ่งเป็นผู้จัดการชุมนุม ไม่ได้แจ้งการชุมนุมต่อผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองสงขลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงล่วงหน้าตามที่กฎหมายกำหนด และไม่ได้ขอผ่อนผันกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดในช่วงเวลานั้น นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่าจำเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลให้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธตามที่กฎหมายกำหนด พฤติการณ์ในคำฟ้องยังระบุว่าจำเลยกับพวกร่วมกันพกพาไม้ยาวประมาณ 1 เมตร ปลายแหลม ซึ่งติดผ้าหรือธงที่มีข้อความ ถือเป็นอาวุธที่อาจใช้ประทุษร้ายร่างกาย และใช้เดินขบวนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร นอกจากนี้ยังมีการกล่าวหาว่าจำเลยใช้ถนนสายสงขลา–นาทวีเป็นพื้นที่ชุมนุมโดยการนั่ง นอน และเดินขบวนขวางช่องจราจร ทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนผู้ใช้ทาง และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อยานพาหนะหรือบุคคลอื่น”

ต่อมา ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 17 คน ถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่ามีความผิดในข้อหาพกพาอาวุธและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา รวมถึงความผิดตาม พ.ร.บ. การชุมนุมสาธารณะฯ เนื่องจากไม่ได้แจ้งการชุมนุมล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และไม่แจ้งขอผ่อนผันเวลาการชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด 

ในช่วงก่อนที่คดีจะเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 3 นายปาฏิหาริย์ บุญรัตน์ ได้ถึงแก่กรรม ส่งผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในส่วนของเขาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 93 (1) ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “สิทธิที่จะดำเนินคดีอาญาระงับไปในกรณีที่จำเลยถึงแก่ความตาย” กรณีนี้นับเป็นอีกหนึ่งบทสะท้อนสำคัญถึงต้นทุนที่นักปกป้องสิ่งแวดล้อมต้องเผชิญ เมื่อพวกเขาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการปกป้องชุมชนของตน แม้จะเป็นการชุมนุมโดยสงบและไร้อาวุธ แต่กลับต้องเผชิญกับการดำเนินคดีทางกฎหมายที่ยืดเยื้อและสร้างภาระทางจิตใจ ชีวิต และทรัพยากรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ศาลฎีกาเคยวางหลักไว้ดี แต่เหตุใดวันนี้จึงไม่ยึดถือ?

Around one hundred people join a seminar entitled, Protecting environment and natural resource in the South, at Ban Klong Pradu village, southern Thailand. As part of the global Break Free movement, local communities, local NGOs and Greenpeace Southeast Asia are calling for Thailand to break free from fossil fuel and transition to 100% renewable energy.

 ในวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด 17 คน โดยเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง คำพิพากษาดังกล่าวถือเป็นการยืนยันสิทธิในการชุมนุมโดยสงบภายใต้รัฐธรรมนูญ และเป็นหมุดหมายสำคัญในกระบวนการยุติธรรมที่ช่วยคลี่คลายความยืดเยื้อของคดี ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาหลายปี นับตั้งแต่ชาวบ้านเริ่มใช้สิทธิของตนในการแสดงออกเพื่อต่อต้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา

คำวินิจฉัยของศาลฎีกาในคดีที่มีจุดเริ่มต้นจากการเดินเท้าของชาวบ้านเทพาเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินต่อคณะรัฐมนตรีสัญจร กลับกลายเป็นข้อหาหนักว่าจำเลยทั้ง 17 คนร่วมกันต่อสู้ ขัดขวาง และทำร้ายเจ้าพนักงานระหว่างการชุมนุม แม้จะไม่มีการใช้อาวุธหรือความรุนแรงชัดเจนก็ตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เคยเห็นว่าการที่กลุ่มผู้ชุมนุมเดินฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถือเป็นพฤติการณ์ร่วมกันกระทำผิดโดยมีเจตนา แต่เมื่อคดีมาถึงศาลฎีกา ศาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยตั้งอยู่บนหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ไม่อิงกับการคาดคะเนหรือข้อสันนิษฐานทั่วไปว่า 

ไม่มีหลักฐานว่าจำเลยร่วมทำร้ายหรือขัดขวางเจ้าพนักงาน แม้จะเกิดเหตุชุลมุนในช่วงที่ผู้ชุมนุมเดินฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ ซึ่งทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ศาลเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน ว่าจำเลยทั้ง 17 คนเป็นผู้กระทำการผลักดันหรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ การเจ็บปวดของเจ้าหน้าที่อาจเกิดจากการเบียดเสียดหรือผลักดันกันในสถานการณ์ทั่วไป ไม่ใช่การเจตนาใช้กำลังหรืออาวุธ และข้อความว่า “หิวข้าว ไปกินข้าวกัน” ที่ใช้ในการชุมนุม ไม่อาจถือเป็นสัญญาณปลุกเร้าหรือแสดงเจตนาร่วมกระทำผิดได้ เพราะไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการนัดหมายล่วงหน้าให้ใช้ถ้อยคำดังกล่าวเพื่อบุกฝ่าแนวกั้น

เจตนาการชุมนุมเป็นไปโดยสงบ ไม่ใช่เพื่อก่อความรุนแรงศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ได้เจรจากับเจ้าหน้าที่หลายครั้งเพื่อขออนุญาตเดินทางต่อ แต่ไม่ได้รับอนุญาต กลุ่มผู้ชุมนุมมีเป้าหมายเพียงเพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน มิได้มีเจตนาใช้ความรุนแรง

หลักฐานไม่เพียงพอต่อการเอาผิดตามกฎหมาย การวินิจฉัยว่าบุคคลใดมีความผิดต้องมีหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำผิดโดยเฉพาะเจาะจงเพียงแค่จำเลยอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่เพียงพอจะสรุปว่ามีส่วนร่วมในการต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน

ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ให้ความสำคัญกับข้อสันนิษฐานโดยไม่มีพยานหลักฐานยืนยัน จึงเห็นว่าคำวินิจฉัยเดิมไม่ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมาย ดังนั้นจำเลยทั้ง 17 คนไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันต่อสู้ ขัดขวาง หรือทำร้ายเจ้าพนักงาน” และ “เป็นผู้ชุมนุมที่กระทำการขัดขวางการใช้ทางสาธารณะ” เพราะไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนมารองรับ ศาลฎีกาจึงมีคำพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา

การชุมนุมโดยสงบของชาวบ้านในนามเครือข่าย “เทใจให้เทพา ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน” กลายเป็นหนึ่งในคดีตัวอย่างที่สะท้อนความย้อนแย้งในการบังคับใช้กฎหมายการชุมนุมสาธารณะ และในขณะเดียวกันก็เป็นหมุดหมายที่สำคัญในทางกฎหมายเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องผู้ชุมนุม ทั้ง 17 คน โดยชี้ว่า แม้การชุมนุมจะไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าตาม พ.ร.บ.การชุมนุมฯ แต่ การใช้สิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ที่มีเจตนาชัดเจนเพื่อปกป้องทรัพยากรของชุมชน ไม่ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือสาธารณชน จึงไม่ควรถือเป็นความผิดที่สำคัญไปกว่านั้น ศาลฎีกาได้วางหลักไว้ชัดเจนว่า

“สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญการตีความหรือบังคับใช้กฎหมายต้องไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ดังกล่าว”

คำวินิจฉัยนี้ควรถูกยกให้เป็น “บรรทัดฐาน” (precedent) เพื่อยืนยันหลักการสำคัญว่า กฎหมายไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยไม่มีความจำเป็นหรือไม่เป็นไปอย่างสมเหตุสมผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ลุกขึ้นมาใช้สิทธิในการแสดงออก เพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะและสิ่งที่เป็นของส่วนรวม การตีความและบังคับใช้กฎหมายควรตั้งอยู่บนหลักสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม ไม่ใช่กลายเป็นเครื่องมือในการกดทับหรือปิดปากผู้เห็นต่าง

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน แนวทางการตีความและบังคับใช้กฎหมายกลับสวนทางกับหลักการที่ศาลฎีกาเคยวางไว้ เห็นได้จากกรณี แกนนำพีมูฟ ที่ถูกออกหมายเรียกย้อนหลังถึง 3 คดี หลังการชุมนุมหน้าทำเนียบเพื่อทวงคืนสิทธิในที่ดินทำกิน ทั้งที่การชุมนุมนั้นก็มีลักษณะโดยสงบเช่นเดียวกัน คำถามที่ต้องตั้งอย่างจริงจัง 

เหตุใดบรรทัดฐานที่ศาลฎีกาเคยวางไว้กลับไม่ถูกยึดถืออย่างต่อเนื่อง? เหตุใดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนจึงยังคงถูกจำกัดด้วยเหตุผลทางกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน?

สถานการณ์ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน โดยเฉพาะนักปกป้องสิ่งแวดล้อม กำลังถดถอยลง ทั้งที่ประเทศไทยมีหลักคำพิพากษาสำคัญ ซึ่งควรจะทำหน้าที่เป็น “ภูมิคุ้มกัน” เพื่อพาสังคมเดินไปข้างหน้าอย่างเคารพในสิทธิเสรีภาพของทุกคนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม

ผลจากคดีนี้ ทำให้ชาวบ้านจำนวน 17 คนต้องขึ้นศาล ฟังการสืบพยานกว่า 100 ปาก ยาวนานหลายปี พวกเขาต้องสูญเสียทั้งเวลา รายได้ และโอกาสในชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านที่จำเป็นต้องหยุดงานเพื่อมาศาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจซึ่งประเมินมูลค่ารวมแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือผลกระทบทางจิตใจ และความรู้สึกที่บั่นทอนหัวใจของพวกเขาว่า “สิทธิในการปกป้องบ้านของตัวเอง กลับถูกทำให้กลายเป็นอาชญากรรม”

แม้เวลาจะผ่านมากว่า 10 ปีนับจากการรัฐประหาร และเกือบ 7 ปีหลังจากคดีเทพา แต่ภาครัฐ รวมถึงรัฐวิสาหกิจและภาคธุรกิจยังคงใช้กระบวนการฟ้อง SLAPP เพื่อกดดันให้ผู้เห็นต่าง “เงียบเสียง” และ “ล้มเลิกการต่อสู้” ขณะเดียวกัน ภาคประชาชนก็ได้เรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาความรู้ทางกฎหมายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการบังคับใช้พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะกลับสวนทางกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ควรส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการออกมาใช้เสรีภาพในการแสดงออกและการชุมประท้วงโดยสงบ

กฎหมายฉบับนี้จึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการฟ้องปิดปากในรูปแบบ SLAPP อย่างแนบเนียน เพื่อข่มขู่ กดดัน และทำลายพลังของประชาชนที่กล้าลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลให้บรรยากาศของการใช้สิทธิและเสรีภาพในสังคมต้องหยุดชะงัก

กรณีของ “เครือข่ายพีมูฟ” (ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม) เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างร่วมสมัยที่สะท้อนปัญหานี้ได้อย่างชัดเจน แม้การชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลจะผ่านมากว่า 7 เดือน และเป็นการชุมนุมอย่างสงบ เพื่อเรียกร้องสิทธิในที่ดินทำกินและทรัพยากรของชุมชน แต่แกนนำพีมูฟหลายคนกลับได้รับหมายเรียกย้อนหลังถึง 3 คดี ในข้อหาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นตัวอย่างซ้ำของการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ลักษณะเช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในคดีของเครือข่าย “เทใจให้เทพา ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน” เมื่อปี 2560 และยังคงเกิดซ้ำอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

การดำเนินคดีภายใต้ พ.ร.บ.การชุมนุมฯ จึงไม่ใช่เพียงการตีความตามตัวบทกฎหมายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการตัดสินใจเชิงนโยบายและการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสรีภาพในการแสดงออก และการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เมื่อสิทธิในการพูด การรวมกลุ่ม และการปกป้องทรัพยากรของตนเอง ยังคงถูกทำให้กลายเป็น “ความผิด” ภายใต้กฎหมายที่ควรมีไว้เพื่อคุ้มครองสิทธิเหล่านั้น  

“เรากำลังอยู่ในสังคมที่เสรีภาพของประชาชนกำลังถอยหลังลงอย่างน่าเป็นห่วง”

กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญา: เครื่องมือทางกฎหมายที่กลายเป็นอาวุธเพื่อฟ้องปิดปาก (SLAPP) โดยภาคธุรกิจ

ในบริบทของประเทศไทย หนึ่งในข้อกล่าวหาที่ถูกนำมาใช้บ่อยครั้งในลักษณะของ คดีฟ้องปิดปาก SLAPP คือข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328

มาตรา 326 ระบุว่า  “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่ทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และหากเป็นการใส่ความ โดยการโฆษณา เช่นผ่านสื่อออนไลน์หรือการแถลงข่าวสาธารณะ มาตรา 328 จะเพิ่มโทษเป็น  “จำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”

แม้กฎหมายหมิ่นประมาทจะถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครองชื่อเสียงส่วนบุคคล แต่ในทางปฏิบัติ กลับพบว่า บทบัญญัติเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อฟ้องร้องบุคคลหรือนักปกป้องสิทธิที่ออกมาใช้สิทธิในการแสดงออกเพื่อปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ โดยกลุ่มเป้าหมายหลักที่อาจถูก SLAPP ได้แก่ นักปกป้องสิ่งแวดล้อม นักข่าว นักกิจกรรมทางสังคม หรือแม้แต่นักการเมืองฝ่ายค้าน

จากงานวิจัยที่ศึกษาการแก้ไขปัญหาการฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) ในประเทศไทย ได้ระบุถึงช่องว่างสำคัญในแนวทางป้องกันการฟ้องในลักษณะนี้ โดยพบว่า ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปี 2566 มีคดีหมิ่นประมาททางอาญาที่เข้าข่ายการใช้ SLAPP อย่างน้อย 36 คดี ซึ่งล้วนมีลักษณะเฉพาะที่สอดคล้องกับนิยามของคดีฟ้องปิดปากอย่างชัดเจน ลักษณะเฉพาะของคดีเหล่านี้ ได้แก่

  • การมุ่งเป้าไปยังกิจกรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิในการแสดงออกต่อประเด็นประโยชน์สาธารณะ
  • ผู้ฟ้องคดีมีประวัติการฟ้องร้องในลักษณะที่ขาดมูลความผิด เช่น การฟ้องแล้วถอนฟ้อง หรือคดีที่ศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยไม่มีความผิด
  • การยื่นฟ้องหลายคดีจากเหตุแห่งข้อเท็จจริงเดียวกัน หรือการเลือกเขตอำนาจศาลที่ไม่สมควรเพื่อสร้างความลำบากให้จำเลยผู้ถูกฟ้อง เช่น การฟ้องร้องเพื่อขึ้นศาลในพื้นที่ต่างจังหวัดเพื่อให้จำเลยต้องลำบากหรือสูญเสียทรัพยากรในการเดินทาง
  • การใช้ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลตามกฎหมาย หรือการใช้สิทธิฟ้องร้องในลักษณะที่ไม่เหมาะสมและเกินขอบเขต
  • การใช้กลยุทธ์ที่มุ่งข่มขู่หรือสร้างความกลัว ซึ่งสะท้อนถึงความไม่สมดุลของอำนาจระหว่างผู้ฟ้องคดีกับจำเลยอย่างมีนัยสำคัญ

การฟ้องในลักษณะนี้ ไม่จำเป็นต้องชนะคดีในเนื้อหา แต่เพียงพอที่จะสร้างทั้ง “ภาวะชะงักงัน” (Chilling Effect) และ ต้นทุนการสูญเสียทรัพยากรทางการเงิน ให้กับผู้ถูกฟ้องคดี ไม่ว่าจะเป็นการต้องเดินทางไกลเพื่อไปขึ้นศาลตามกลยุทธ์ของผู้ฟ้อง การหยุดงานจนสูญเสียรายได้จากการทำมาหากิน การต้องเผชิญกับกระบวนการพิจารณาคดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือภาระค่าทนายความที่ต้องแบกรับนานนับปี ผลกระทบเหล่านี้ กลายเป็นเครื่องมือปิดกั้นเสียงของประชาชน และสกัดกั้นการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะอย่างลึกซึ้งและเป็นระบบ

ข้อจำกัดของกฎหมายและกลไกยุติธรรมไทยในการป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP)

แม้ว่าประเทศไทยจะมีบทบัญญัติกฎหมายที่มุ่งหวังป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) โดยเฉพาะการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161/1 ซึ่งให้อำนาจศาลสามารถยกฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องโดยมีเจตนาไม่สุจริตหรือเป็นการกลั่นแกล้งจำเลย แต่ในทางปฏิบัติ กลไกนี้แทบไม่เคยนำมาปรับใช้โดยศาลเลย

จากข้อมูลพบว่า มาตรา 161/1 ถูกนำมาอ้างในร้อยละ 32 ของคดีที่เข้าข่ายเป็นคดี SLAPP แต่ยังไม่ปรากฏว่ามีคดีใดที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้องตามบทบัญญัตินี้เลยแม้แต่คดีเดียว หนึ่งในสาเหตุหลักคือมาตราดังกล่าวยังขาดแนวปฏิบัติที่ชัดเจน และไม่มีขั้นตอนหรือหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการพิจารณาว่าคดีใดเข้าข่ายที่ควรยกฟ้องตั้งแต่ต้น ส่งผลให้ศาลมักเลือกให้คดีเข้าสู่กระบวนการไต่สวนมูลฟ้อง แทนที่จะยุติเรื่องในขั้นตอนเบื้องต้น

ช่องทางที่ผู้มีอำนาจหรือเอกชนสามารถหลีกเลี่ยงได้

  • หลีกเลี่ยงการใช้มาตรา 161/1 โดยการยื่นคำร้องผ่านพนักงานอัยการ และขอเข้าเป็น “โจทก์ร่วม” ในคดีอาญา คดี SLAPP ที่เข้าสู่กระบวนการผ่านพนักงานอัยการจึงเป็นปัญหาใหญ่ เนื่องจากมาตรา 161/1 ไม่สามารถใช้ได้กับกรณีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ทำให้ไม่สามารถยับยั้งคดีเหล่านี้ได้ในขั้นต้น
  • ภายใต้อำนาจทั่วไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 141-143 ซึ่งให้อำนาจในการสั่งไม่ฟ้องในคดีที่ไม่มีมูล ก็ยังขาดความชัดเจนและประสิทธิภาพอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คดีมีลักษณะเป็น SLAPP ยังไม่มีหลักเกณฑ์หรือข้อบังคับเฉพาะที่กำหนดแนวทางให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินและตัดสินใจไม่ฟ้องได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมยังมีความกังวลว่าหากมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีลักษณะนี้ อาจต้องเผชิญกับการฟ้องกลับจากผู้ยื่นฟ้อง SLAPP ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการใช้ดุลพินิจเพื่อยุติการดำเนินคดีที่ไม่ชอบธรรม 

จำนวนการยกฟ้องคดี SLAPP ที่ศาลเห็นว่าเป็น “การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตเพื่อประโยชน์สาธารณะ”

ทีมา : งานวิจัยหนึ่งที่ศึกษาการแก้ไขปัญหาการฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) ในประเทศไทย

จากสถิติ 36 คดี SLAPP ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2562–2566 พบว่า:

  • 0 คดี ที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษ
  • 100% ของคดีที่ยื่นคำร้องตามมาตรา 161/1 ถูกศาล ยกคำร้อง หรือ ไม่รับไว้พิจารณา

การใช้บทบัญญัติป้องกัน SLAPP ในทางปฏิบัติ

  • 22 คดี (61%) ยื่นคำร้องตามมาตรา 161/1 หรือ 165/2 เพื่อให้ศาลพิจารณาว่าคดีเป็นการฟ้องโดยไม่สุจริต
  • แต่ ไม่มีคดีใดที่ศาลใช้มาตรา 161/1 ในการยกฟ้อง
  • 27% ของคดีที่ยื่นคำร้องตามมาตรา 165/2 มีผลให้โจทก์ถอนฟ้องหรือศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้อง

ข้อสังเกตสำคัญ : แม้จะมีความพยายามอ้างมาตรากฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิในการแสดงออกโดยสุจริต แต่ในทางปฏิบัติศาลยังมีความลังเลต่อการนำมาตรา 161/1 มาปรับใช้เพื่อยกฟ้องในการยกฟ้องคดี SLAPP ส่งผลให้จำเลยต้องเผชิญกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการฟ้อง SLAPP ได้แก่ ภาระด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ความสูญเสียด้านเศรษฐกิจ และสภาวะความกดดันทางจิตใจ เป็นต้น

จากการติดตามคดี SLAPP ในประเทศไทย พบว่าภาคธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์การฟ้องปิดปากผู้แสดงความเห็นต่างมักมีลักษณะดังนี้

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น ธุรกิจเหมืองแร่ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม หรือโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน มักใช้กระบวนการทางกฎหมายเป็นเครื่องมือในการตอบโต้เสียงคัดค้านจากภาคประชาชน บริษัทเหล่านี้มักยื่นฟ้องบุคคลหรือกลุ่มคนในพื้นที่ นักวิชาการ นักปกป้องสิ่งแวดล้อม สื่อมวลชน รวมถึงนักการเมืองฝ่ายค้าน ที่แสดงความเห็นต่างหรือวิพากษ์วิจารณ์โครงการของตน โดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์ โดยใช้ข้อกล่าวหา หมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 หรือ ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพื่อกดดันให้หยุด การเคลื่อนไหว หรือสร้างความหวาดกลัวในการแสดงออก เช่น

หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ มักใช้กฎหมายและข้อกล่าวหาต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการควบคุมหรือจำกัดการเคลื่อนไหวของประชาชนที่ออกมาเรียกร้องสิทธิหรือแสดงความเห็นต่าง เช่น

  • พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558
  • พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ในข้อหากีดขวางการจราจร)
  • พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องขยายเสียง
  • ข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
  • ข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน

แม้การกระทำของประชาชนเหล่านี้จะอยู่ในกรอบของสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่การใช้ข้อกล่าวหาดังกล่าวกลับสร้างแรงกดดันทั้งในเชิงกฎหมายและจิตใจ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากรู้สึกหวาดกลัวและลังเลที่จะใช้สิทธิในการแสดงออกอย่างเสรี เช่น  

รัฐวิสาหกิจอันมีลักษณะเป็นองค์กรกึ่งภาครัฐ มักใช้กระบวนการฟ้องคดีต่อนักนักข่าว สื่ออิสระ สื่อท้องถิ่น นักวิชาการ นักปกป้องสิทธิ และองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะผู้ที่ออกมาเปิดโปงกรณีความไม่โปร่งใสหรือผลประโยชน์ทับซ้อนในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ข้อกล่าวหาที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีมักได้แก่

ข้อสังเกตการฟ้อง SLAPP โดยภาคธุรกิจ (รวมถึงรัฐวิสาหกิจ)

หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการฟ้องคดีในลักษณะ SLAPP โดยภาคธุรกิจ คือการฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งควบคู่กัน โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนมหาศาล เช่น การฟ้องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามมาตรา 326 และ 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นข้อหาที่มีโทษจำคุกและปรับในคดีอาญา และยังสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีแพ่งควบคู่กันไปด้วย

บางคดีมีการเรียกค่าเสียหายสูงถึง 100 ล้านบาทหรือมากกว่านั้น
ผลกระทบระยะยาวจากการต่อสู้คดีในระบบยุติธรรมมักกินเวลานานอย่างน้อย 2 ปี ผู้ถูกฟ้องต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนาย ค่าขึ้นศาล รวมทั้งค่าเสียโอกาสในการทำงานและดำเนินชีวิตตามปกติ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความมั่นคงทางจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ฟ้องมีสถานะทางเศรษฐกิจและอำนาจมากกว่า

การฟ้องคดีในลักษณะ SLAPP โดยภาคธุรกิจเอกชนไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อชนะคดีเสมอไป แต่เป็นการสร้าง “ภาระ” ทางกฎหมายและเศรษฐกิจแก่ผู้ที่กล้าออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และใช้สิทธิพลเมืองเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ

กรีนพีซยืนหยัดเพื่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ

กรีนพีซ ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าต่อสู้เพื่อปกป้องพื้นที่ในการแสดงออกและการชุมนุมเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ โดยไม่หวั่นเกรงต่อการเปิดโปงบรรษัทฟอสซิลขนาดใหญ่ ที่แสวงหากำไรโดยไม่เคารพสิทธิมนุษยชนและความเป็นอยู่ของผู้คน 

เราจะยืนหยัดอย่างมีความหวังต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและการปกป้องสิ่งแวดล้อมต่อไป และไม่ยอมให้ถูกทำให้เงียบเพียงเพราะเราพูดความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

เราหวังว่าวัฒนธรรมการฟ้องปิดปากจะหมดไป และเกิดบรรทัดฐานใหม่ที่ชัดเจนว่า การพูดเพื่อประโยชน์สาธารณะไม่ควรถูกใช้กฎหมายมาปิดปาก พร้อมกันนี้ควรมีกฎหมายที่คุ้มครององค์กรภาคประชาสังคม นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักปกป้องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังด้วย

We Will Not Be Silenced: เราจะไม่ยอมให้ใครปิดปาก!


ยืนหยัดเคียงข้างกรีนพีซ เพื่อสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมประท้วง

กรีนพีซ ประเทศไทย แสดงจุดยืนปกป้องสิทธิการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ยืนหยัดเคียงข้างกรีนพีซ สากล และกรีนพีซ สหรัฐฯ  หลังจากมีคำตัดสินคดี SLAPP ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งภาคธุรกิจหรือผู้มีอำนาจพยายามปิดปากนักเคลื่อนไหวและองค์กรภาคประชาชนผ่านกระบวนการทางกฎหมาย