กลไกกองทุน Tropical Forest Forever Facility (TFFF) เป็นความริเริ่มที่ขับเคลื่อนโดยประเทศในภูมิภาคซีกโลกใต้ (Global South) เพื่อเป็นกลไกทางการเงินในการอนุรักษ์ป่าฝนเขตร้อนและกึ่งร้อนชื้น กลไกกองทุน TFFF นี้ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกที่การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 หรือ COP28 ณ ดูไบ และคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในการประชุม COP30 ของปี 2568 นี้ที่ประเทศบราซิล แนวคิดเบื้องต้นของกลไกกองทุนนี้ ได้ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะแล้ว โดยเนื้อหาปรับปรุงล่าสุดถูกตีพิมพ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา
กลไกกองทุน TFFF ถือเป็นก้าวสำคัญและจำเป็นในการปกป้องป่าฝนเขตร้อนทั่วโลก โดยเป็นแนวทางที่ตอบโต้ทางออกจอมปลอมทั้งหลาย อีกทั้งยังเปลี่ยนเกมการปกป้องผืนป่าที่สามารถทำสำเร็จได้จริง ไม่เหมือนกับโครงการต่าง ๆ ที่เคยล้มเหลว เช่น โครงการป่าคาร์บอนเครดิต แต่กลไกกองทุน TFFF เกิดขึ้นเพียงลำพังไม่ได้ การประชุม COP30 ที่จะเกิดขึ้นนี้ ต้องมีแผนปฏิบัติการภาคป่าไม้ หรือ Forest Action Plan ในการยุติการทำลายป่าและปกป้องป่าอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2573 (หรือค.ศ. 2030) รวมถึงต้องเปลี่ยนการเจราจาและโครงการริเริ่มต่างๆ ให้กลายเป็นแผนการร่วมมือระดับโลก ช่วงเวลาก่อนการประชุม COP30 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ คือจังหวะสำคัญในการผลักดันให้เวที COP กลายเป็นพื้นที่กำหนดเจตจำนงที่ทะเยอทะยานต่อการปกป้องผืนป่าของโลก

ความคืบหน้าและช่องโหว่ของกลไกกองทุน TFFF
ร่างล่าสุดของกลไกกองทุน TFFF (3.0) มีการเปลี่ยนแปลงที่มีความหวังหลายประการ โดยประเด็นสำคัญที่สุดคือ การกำหนดเป็นข้อบังคับให้มีการจัดสรรเงินอย่างน้อยร้อยละ 20 ไปยังชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น (IPs & LCs) ซึ่งขณะนี้ได้ระบุหลักประกันที่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าเงินทุนจะถึงมือชุมชนจริง แม้ว่าเงินทุนส่วนใหญ่จะยังคงไหลผ่านระบบของรัฐ แต่ก็จะมีเครื่องมือและทางเลือกให้สามารถส่งตรงจากกองทุนไปยังหน่วยงานหรือกลุ่มตัวแทนของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นในแต่ละประเทศโดยตรง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงทรัพยากรได้โดยไม่ต้องพึ่งพาช่องทางของรัฐบาลแต่เพียงอย่างเดียว
บทบาทของรัฐและโครงสร้างธรรมาภิบาลของกองทุนก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้น โดยมีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาสำหรับชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น (Advisory Council for IPs&LCs) ควบคู่กับคณะกรรมการด้านเทคนิคและวิทยาศาสตร์ (Technical and Scientific Panel) ซึ่งจะทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก่คณะกรรมการบริหารของกองทุน (Facility’s Board) ขณะเดียวกันประเทศที่มีผืนป่าฝนเขตร้อนจะต้องจัดตั้งกลไกรับเรื่องร้องเรียนในระดับชาติ โดยผ่านการตรวจสอบจากบุคคลที่สาม แม้ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเป็นก้าวที่น่ายินดี แต่ยังคงจำกัดผู้มีบทบาทอยู่ที่ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งหมายความว่า ชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น รวมถึงภาคประชาสังคม ยังคงไม่มีพื้นที่ในกระบวนการตัดสินใจของกลไกการเงินนี้

Indigenous Peoples from the Lokolama, Penzélé and Mbandaka in the Congo Basin forest, holding a banner that reads in French: We are the forest, we are the solution.
นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้าในด้านความโปร่งใส ด้วยการจัดทำแผนการจัดสรรงบประมาณด้านป่าไม้ประจำปี (Forest Payment Allocation Plans) ภายใต้การเสริมสร้างกลไกการบริหารการเงิน (Public Financial Management) ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น พร้อมกับคำมั่นว่าทุนจากกองทุน TFFF จะไม่ถูกนำมาใช้แทนที่งบประมาณที่มีอยู่เดิม ทั้งหมดนี้ต้องกำหนดเป้าหมายเพื่อให้มั่นใจว่าเงินทุนจะถูกนำไปใช้ลงทุนอย่างเหมาะสม มาตรการป้องกันเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้เงินทุนนำไปใช้เพื่อเอื้ออุตสาหกรรมที่ทำลายล้าง หรือสุ่มเสี่ยงต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น
ก่อนที่กลไกกองทุน TFFF จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนนี้ ยังมีอีกสี่ประเด็นสำคัญที่ควรปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อให้กลไกกองทุน TFFF มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ความเสี่ยงน้อยลง และเสริมสร้างความโปร่งใส ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มทุนที่ไม่ควรอยู่ในกลไกกองทุน: แม้ว่าจะเริ่มมีการจัดทำรายชื่ออุตสาหกรรมที่ไม่ควรอยู่ร่วมในกลไกกองทุน (negative list) แล้ว แต่รายชื่อนี้ยังไม่สมบูรณ์และจำเป็นต้องเพิ่มเติม กลไกกองทุนจะมีประสิทธิภาพได้หากไม่เกี่ยวข้องกับภาคส่วนธุรกิจที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การตัดไม้เชิงอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเกษตร เชื้อเพลิงชีวภาพ เชื้อเพลิงฟอสซิล เหมืองทุกประเภท และอุตสาหกรรมอาวุธ ไม่เช่นนั้นแล้วกลไกกองทุนเพื่อป่าอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
2. ด้านกองทุน: กลไกของกองทุนควรให้ความสำคัญกับการจ่ายเงินตามผลลัพธ์ให้แก่ประเทศที่มีป่าฝนเขตร้อน (Tropical Forest Countries) เพื่อสนับสนุนการปกป้องป่ามากกว่าการจ่ายให้แก่ผู้สนับสนุนหรือบริษัทผู้ลงทุน นอกจากนี้ควรมีข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นสำหรับประเทศผู้สนับสนุน เพื่อให้มั่นใจว่าเงินทุนนี้เป็นเงินเพิ่มเติมจากพันธกรณีด้านการเงินที่มีอยู่แล้วในเรื่องสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ
3. เกณฑ์ชี้วัดความสมบูรณ์ของพื้นที่ป่า: จากที่เกณฑ์ขั้นต่ำของความหนาแน่นของเรือนยอดไม้กำหนดไว้เพียงที่ 20–30% ของความหนาแน่นของเรือนยอดไม้ ดังนั้นป่าที่มีความสมบูรณ์สูงอาจเสี่ยงต่อการถูกทำลายหรือถูกตัดไม้แต่ยังคงมีสิทธิ์ได้รับเงินสนับสนุน ซึ่งอาจนำไปสู่การให้รางวัลกับป่าที่มีคุณภาพต่ำ แทนที่จะจูงใจให้เกิดการปกป้องป่าที่มีความสมบูรณ์สูง หากมีการใช้ระบบการจ่ายเงินแบบแบ่งระดับ (tiered payments) ก็จะสามารถเป็นกลไกการให้รางวัลและส่งเสริมการปกป้องป่าที่มีความสมบูรณ์ได้มากยิ่งขึ้น
4.การติดตามการเสื่อมโทรมของป่า: ขณะนี้รายละเอียดกองทุนนับการเสื่อมโทรมของป่าเฉพาะพื้นที่ที่มีร่องรอยการเผาไหม้ (fire scar) เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่ทำให้ป่าเสื่อมโทรม เช่น การตัดไม้และการทำลายป่ารูปแบบอื่น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการติดตามและรายงานอย่างจริงจัง กลไกกองทุน TFFF ต้องหลีกเลี่ยงการให้เงินสนับสนุนที่นำไปสู่การเสื่อมโทรมของป่า และควรมุ่งจัดสรรเงินทุนเพื่อการปกป้องป่าดั้งเดิม (primary forests) แทน

เหตุผลที่การประชุม COP30 ต้องการแผนปฏิบัติการภาคป่าไม้
ด้วยความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และความจำเป็นในการปกป้องผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ การประชุม COP30 จึงไม่อาจมุ่งเน้นเฉพาะกลไกกองทุน TFFF ได้เท่านั้น ในการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5°C ประเทศภาคีจำเป็นต้องกำหนดแผนอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อป่าไม้และประชาชน การประชุม COP30 จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะแสดงเจตจำนงทางการเมืองจากผืนป่าแอมะซอนแห่งชีวิต และลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การจัดทำแผนปฏิบัติการภาคป่าไม้ (Forest Action Plan) ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) จึงจะเป็นสิ่งจำเป็นในการตอบโจทย์ทางนโยบาย ภาระรับผิด และเงินทุน แผนปฏิบัติการภาคป่าไม้นี้จะเป็นกลไกเชื่อมโยงกับกระบวนการด้านสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงเป็นแนวทางสำหรับแผนภายใต้การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) และแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAPs) อีกทั้งแผนปฏิบัติการภาคป่าไม้จะช่วยรับมือกับปัจจัยที่ผลักดันการตัดไม้ทำลายป่า เช่น การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และระบบเกษตรกรรมที่ไม่ยั่งยืน
กำหนดอนาคตที่เมืองเบเลง
ก่อนวันประชุม COP30 จะมาถึงคาดว่าจะมีการปรับปรุงร่างกลไกกองทุน TFFF เวอร์ชัน 3.0 อีกครั้ง ซึ่งหมายความว่ายังมีเวลาให้รัฐบาลต่าง ๆ เร่งพัฒนาให้กลไกนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญอย่างเกณฑ์ชี้วัดความครอบคลุมของพื้นที่ป่า การติดตามการเสื่อมโทรมของป่า และเกณฑ์สำหรับกลุ่มทุน ทั้งหมดนี้จะต้องไม่ลืมประเด็นสำคัญว่า ขณะนี้ผืนป่าทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นป่าแอมะซอน ป่าฝนคองโก และผืนป่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังถูกคุกคามมากขึ้นจากไฟป่า และการขยายตัวของอุตสาหกรรม กลไกกองทุน TFFF จะเป็นส่วนสำคัญของทางออกได้หากได้รับการพัฒนาให้เป็นกลไกที่มีธรรมภิบาลสูง และเปิดให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เรากำลังเข้าใกล้จุดเปราะบางของวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากขึ้นทุกขณะ ดังนั้นการประชุม COP30 จึงไม่ควรหยุดอยู่เพียงแค่การแสดงเจตนารมณ์ แต่ต้องขยับสู่การลงมือปฏิบัติจริง และเปลี่ยนจากรอความร่วมมือแบบสมัครใจ ไปสู่การร่วมมือกันระดับโลกเพื่อปกป้องผืนป่า
บทความนี้แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ อ่านบทความต้นฉบับ


