การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรมสำหรับรัฐบาลมีหน้าตาอย่างไร? ขณะนี้ตัวแทนรัฐบาลไทยกำลังร่วมการประชุมรัฐภาคีภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 หรือ COP30 พร้อมกับแผน NDC 3.0 ที่อ้างว่าจะพาประเทศเร่งสู่ Net Zero ให้คำมั่นกับนานาชาติในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย แต่ขณะเดียวกันก็ผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลอย่างต่อเนื่อง เช่นนี้แล้ว ระยะทางอีกไกลเท่าไรประเทศไทยถึงจะไปถึงจุดหมายที่เรียกว่า Net Zero
อีกด้านหนึ่งโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซฟอสซิลและน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงสำรอง ได้ออกใบอนุญาตผู้ผลิตไฟฟ้าแล้วจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา เป็นสาเหตุให้ผู้ที่กังวลถึงผลกระทบจากโครงการโรงไฟฟ้านี้ เดินเท้าระยะทางกว่า 125 กิโลเมตรจาก ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา มุ่งสู่ทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงพลังงาน เพื่อยื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อเรียกร้องให้ทบทวนการอนุญาตและระงับการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบกระบวนการออกใบอนุญาตและการอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ก่อนเดินทางมายังหอศิลป์ฯ กรุงเทพ เพื่อร่วมบอกเล่าเรื่องราวในเวที “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย” พวกเขาคือกลุ่ม “ฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์” ตัวแทนชุมชนท้องถิ่นจังหวัดฉะเชิงเทรา ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณายุติโครงการโรงไฟฟ้านี้ เพื่อเดินหน้าเปลี่ยนผ่านพลังงานไทยอย่างเป็นธรรม เนื่องจากโรงไฟฟ้าก๊าซนอกจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาลแล้ว ยังทำให้ค่าไฟแพงขึ้นเป็นภาระประชาชนทั้งประเทศ ส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจของชุมชน โครงการดังกล่าวยังเป็นสิ่งที่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับภารกิจการเปลี่ยนผ่านพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรมไทย
นี่คือเสียงจากพื้นที่ ที่ต้องการสะท้อนให้ถึงผู้มีอำนาจกำหนดนโยบาย เรื่องราวโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์นั้นคือการต่อสู้คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลซ้ำแล้วซ้ำเล่าของชุมชนตำบลเขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์เดิมเป็นโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อนของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ NPS มีกำลังการผลิตติดตั้ง 600 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่โครงการที่ได้รับคัดเลือกจากการประมูลในปี 2550 แต่โครงการต้องหยุดชะงักยาวนานกว่าทศวรรษ เนื่องจากการคัดค้านจากชุมชนในพื้นที่ จนล่าสุดโครงการโรงไฟฟ้านี้ได้ถูกชุบชีวิตขี้นมาใหม่อีกครั้งกลายเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ โดยที่ไม่รับฟังเสียงคัดค้านของประชาชน
การผลิตไฟฟ้าล้นเกิน ความย้อนแย้งกับแผน NDC 3.0 ที่ยิ่งทำให้ประเทศไทยห่างไกลจากเป้าหมาย Net Zero และการไม่รับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านของประชาชน ทั้งหมดนี้ทำให้โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์สะท้อนถึงความล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้นในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอย่างเป็นธรรม บทสนทนาในหัวข้อ “จาก Net Zero 2050 สู่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์: เสียงสะท้อนจากพื้นที่ถึงการเปลี่ยนที่ยังไม่ผ่านพลังงานไทย” จึงเป็นเสียงของประชาชนที่ถูกเพิกเฉย บนเป้าหมายโลกร้อนที่เป็นเพียงวาทกรรมของภาครัฐ แต่ไม่ลงมือปฏิบัติในความเป็นจริง กรีนพีซ ประเทศไทย ขอพาย้อนไปรับฟังและส่งเสียงต่อไปถึงภาครัฐให้ทบทวนอีกครั้งถึงความจำเป็นของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ และการส่งเสริมพลังงานฟอสซิลในยุคโลกเดือด
ยื่นจดหมายแล้วกว่า 100 ฉบับ ก็ไร้ผล

“ข้อห่วงกังวลด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจ สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมจากตั้งแต่กรณีโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน จนถึงโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ในปัจจุบัน ทำให้เราได้ยื่นจดหมายไปแล้วกว่า 100 ฉบับ” นันทวัน หาญดี เครือข่ายติดตามผลกระทบจากโรงไฟฟ้าเขาหินซ้อน-บูรพากล่าวถึงเส้นทางการต่อสู้ของเธอตั้งแต่ปี 2550 จนมาถึงปัจจุบัน โครงการโรงไฟฟ้าตรงนี้ตั้งแต่ยังเป็นโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้นได้รับคำสั่งให้แก้ไขการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพใหม่ถึง 4 ครั้งด้วยกัน ในช่วงเวลา 6 ปี และนำเข้าสู่ขั้นตอนคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) “แต่การแก้ทั้งสี่ครั้งกลับไม่ตอบโจทย์การมองผลกระทบของพื้นที่ที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมชั้นดี เป็นแหล่งปลูกมะม่วง ซึ่งในขณะนั้นชาวเกษตรกรสวนมะม่วงและเห็ดฟางได้รับผลกระทบทางมลพิษจากโรงไฟฟ้า 5 เมกะวัตต์โดยรอบสองโรงอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 600 เมกะวัตต์จะยิ่งซ้ำเติมผลกระทบ โรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลไม่สามารถอยู่กับพื้นที่ผลิตอาหารเกษตรอินทรีย์ได้” นันทวัน ชี้แจงว่า เห็ดฟางของตำบลเขาหินซ้อนเป็นแหล่งผลิตที่ใหญ่อันดับสองรองจากภาคตะวันออกเฉียงใต้ และมีแหล่งการผลิตอาหารเกษตรอินทรีย์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลมากมาย
“หลังจากที่เปลี่ยนเป็นโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ เราได้ตรวจสอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA อีกครั้ง และพบว่าเป็นรายงานที่เอื้อให้กับโครงการเป็นอย่างมาก เป็นกระบวนการที่ไม่ปกติ ทางคชก.ไม่มีมติไม่เห็นชอบต่อรายงาน เพียงแค่บอกให้ปรับปรุงรายงานเพื่อส่งกลับมาใหม่ และก็ผ่านทันที” นันทวันกล่าว “ในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนนั้น ประชาชนต้องใช้กฎหมายเพื่อใช้สิทธิของเรา ซึ่งถือเป็นการริดรอนสิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมต่อการตัดสินใจ”
ขณะนี้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ได้ผ่านการพิจารณาและอนุมัติโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) แล้วเมื่อ 15 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าวันที่กกพ. รับปากกับชุมชนว่าจะลงพื้นที่ไปดูผลกระทบในวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ข้อมูลต่าง ๆ ที่ภาคประชาชนชี้แจงไปกลับไม่มีผลใด ๆ “นี่คือความไม่ชอบธรรมของโครงการพลังงานขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่ต่อคนในพื้นที่ แต่จะส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศที่จะต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์นี้ด้วย เพราะฉะนั้นการเดินเท้าอย่างสันติของเราจึงเกิดขึ้นเพื่อยื่นข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีต่อความไม่เป็นธรรมนี้ และเสนอให้รัฐบาลยกเลิกโครงการ ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทำให้เห็นว่าโรงไฟฟ้าโรงนี้มีความจำเป็นอีกแล้ว” นันทวัน กล่าวย้ำถึงความไม่เป็นธรรมของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ระยะทางในการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรมของชุมชนเขาหินซ้อนจึงไม่ใช่แค่เพียง 125 กิโลเมตร ใน 7 วัน แต่ยาวนานถึง 18 ปี และยังคงไม่สิ้นสุด
เราถูกคชก.ขู่ว่าจะฟ้อง
“พวกเราถูกหนึ่งในคชก.ขู่ว่า ถ้าวันนี้พวกเรามาให้ข้อมูลเท็จ จะถูกฟ้อง” ภญ.ศิริพร จิตรประสิทธิศิริ ทีมวิจัยผลกระทบทางสุขภาพชุมชนจากโครงการโรงไฟฟ้าเขาหินซ้อน เล่าถึงสถานการณ์วันที่ชุมชนไปให้ข้อมูลในเวทีประชุมในสมัยโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อนเมื่อปี 2555 “พวกเราไปหาเจ้าหน้าที่คชก. เพื่อไปขอพึ่งพา และขอให้ใช้ดุลยพินิจที่เป็นธรรมและรอบคอบ แต่เรากลับถูกขู่” นี่คือความไม่เป็นธรรมชัดเจนประการหนึ่งในกระบวนการ EIA ของโครงการ
อีกหนึ่งความไม่เป็นธรรมและการบิดเบือนข้อเท็จจริงของการทำ EIA โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ คือ การเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของโรงไฟฟ้าก๊าซกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน “เขาควรจะเลือกเปรียบเทียบระหว่างก๊าซกับพลังงานหมุนเวียนอื่น เช่น โซลาร์ ควรวิเคราะห์แบบนี้มากกว่าเพื่อให้คชก.พิจารณา” ภญ.ศิริพร ลองวิเคราะห์เมื่อเทียบกับพลังงานแสงอาทิตย์ พบกว่า “โรงไฟฟ้าก๊าซจะก่อหนี้สินในระยะยาว ทั้งด้านราคาเชื้อเพลิงและคาร์บอน ที่สำคัญยังปล่อยก๊าซคาร์บอน 1.7 ล้านตันต่อปี ตามที่ระบุไว้ใน EIA ของโครงการ ขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์มีการปล่อยคาร์บอนที่น้อยกว่า หากวิเคราะห์เทียบกับพลังงานหมุนเวียนน่าจะได้ทางเลือกที่ดีกว่านี้”
“ในการผลิตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลเหลว หรือ LNG ปัจจุบันต้องนำเข้า กระบวนการผลิตก๊าซ LNG ตั้งแต่การขุด การขนส่ง และใช้ความร้อนเพื่อการเผาไหม้ ทั้งหมดก่อก๊าซมีเทนซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำให้โลกร้อนเร็วกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถึง 80 เท่า เท่ากับว่าจะก่อก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าถ่านหินถึงร้อยละ 33 นอกจากนี้โรงไฟฟ้าก๊าซนั้นเป็นแหล่งกำเนิดหลักของออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) อันเป็นต้นเหตุของฝุ่น PM2.5 แต่กลับไม่มีการวิเคราะห์การก่อและผลกระทบของ PM2.5 จากโรงไฟฟ้าก๊าซใน EIA จากถ่านหินมาเป็นก๊าซ นี่คือการหนีเสือปะจระเข้” ภญ.ศิริพร กล่าว

ภญ.ศิริพร อธิบายว่า ประชาชนคนไทยจะต้องแบกรับภาระค่าไฟเพิ่มจากโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์อันเนื่องมาจาก “ค่าพร้อมจ่าย” ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามาในบิลค่าไฟของเราเป็นประจำทุกเดือน ค่าพร้อมจ่ายนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐผลักภาระค่าใช้จ่ายสำหรับการสร้าง บำรุงรักษาโรงไฟฟ้า รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น “นอกจากนี้การเปิดให้เอกชนรายใหญ่สามารถมีสัญญาระยะยาวได้ ถือว่าไม่เป็นธรรม การเปิดโอกาสให้กับประชาชนรายย่อยจะดีกว่าไหม” ภญ.ศิริพร ตั้งคำถาม
น้ำไม่มีใช้ แต่จะมีโรงไฟฟ้าก๊าซ
ภญ.ศิริพร กล่าวถึงปัญหาน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคที่ไม่เพียงพอเช่นกันว่า “โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์อยู่ในแผน PDP 2018 ปรับปรุงครั้งที่หนึ่งมีความล้าสมัย โครงการนี้จะมีการใช้น้ำในระยะการดำเนินการเพื่อการหล่อเย็นประมาณ 12,000 ลูกบากศ์เมตรต่อวัน โดยมีบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัดเป็นผู้จัดหาน้ำประปามาใช้ในโครงการตามที่ระบุไว้ในรายงาน EIA และจะมีการสูบน้ำจากคลองระบม เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม (รวม 4 เดือน) ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณในอ่างเก็บน้ำยังอยู่ในระดับต่ำ อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำในคลองระบมมากขึ้น จากที่มีเพียง 1 เดือนที่ไม่มีการแคลนน้ำก็จะทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำทุกเดือน ซึ่งชุมชนมองว่าแหล่งน้ำนี้อาจจะไม่เพียงพอแล้ว และเมื่อถึงฤดูแล้งอาจจะไม่มีน้ำใช้เพื่อความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งอำนาจการตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำก็ไม่ได้อยู่ที่ประชาชนเพราะไม่มีคณะกรรมการจัดการน้ำชลประทานหรือ (Joint Management Committee for Irrigation: JMC) ที่เป็นคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นภายใต้หลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งปันน้ำที่เป็นธรรม ในขณะเดียวกันอำนาจการจัดการน้ำอยู่ที่กรมชลประทาน ซึ่งตามรายงาน EIA ของโครงการนี้เพียงแต่อ้างว่าถ้าในช่วงฤดูแล้ง กรมชลประทานมีอำนาจสั่งให้บริษัทหยุดใช้น้ำได้ทันที แต่ยังขาดแผนการรับมือที่เป็นรูปธรรม “น้ำหล่อเย็นที่ระบุไว้ในแผนว่าจะมีการกำจัดด้วยการรดน้ำต้นไม้ ซึ่งที่ผ่านมาโรงไฟฟ้าโดยรอบที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เคยอ้างว่าจะนำน้ำหล่อเย็นไปรดน้ำต้นไม้เช่นกัน แต่น้ำชุมชนแถวนั้นกลายเป็นน้ำปนเปื้อนด้วยมลพิษไปแล้ว และชุมชนไม่ได้รับการเยียวยาน้ำอุปโภคบริโภคอย่างทั่วถึง ไม่สามารถทำเกษตรได้ และไม่มีรายได้ พร้อมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการต้องซื้อน้ำกิน และยาค่ารักษาการเจ็บป่วยด้วยโรคผิวหนังและโรคระบบทางเดินหายใจ” ภญ.ศิริพร กล่าว

“น้ำของอ.พนมสารคาม ไม่ได้มีแค่คนในอำเภอที่ใช้เท่านั้น แต่เป็นน้ำของทั้งจังหวัดฉะเชิงเทรา” ครรชิต เข็มเฉลิม สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน กล่าว “ตอนนี้ต้นทุนน้ำของเรากำลังหายไป น้ำไม่พอใช้แม้แต่ในหน้าฝน และเกิดการแย่งชิงกัน” ครรชิต อธิบายถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำ การรุกคืบของน้ำเค็ม และการมาของโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลจะกลายเป็นการแย่งทรัพยากรน้ำครั้งใหญ่ที่จะซ้ำเติมความลำบากของประชาชน การสอบถามของ EIA เพียงแค่ผลกระทบในระยะ 5-10 กิโลเมตรไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องปัญหาน้ำ “คนที่เดือดร้อนก่อนกลุ่มแรกคือเกษตรกร และมักจะถูกบอกว่าน้ำไม่มี ตอนนี้ต้องหยุดทำนาก่อน”
ครรชิต บรรยายถึงสภาพน้ำแห้งจนเห็นตลิ่งกว้างว่า “ตอนนี้คลองท่าลาดไม่มีน้ำแล้ว แม้จะช่วงก่อนลอยกระทงเพียงไม่กี่วัน ดังนั้นคำที่บอกว่า ‘น้ำก็นองเต็มตลิ่ง’ นั้น ใช้กับพื้นที่ของเราไม่ได้อีกแล้ว การที่โรงไฟฟ้าจะสร้างที่ต้นน้ำจะยิ่งยึดแย่งแหล่งน้ำของชุมชนไป”
พระปลัดอาทร ปญฺญาปทีโป เจ้าอาวาสวัดแหลมเขาจันทร์ ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ผู้ร่วมต่อสู้กับชุมชนมาตั้งแต่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน กล่าวว่า “ที่ผ่านมาชาวบ้านได้รับผลกระทบเรื่องน้ำจากการฝังกลบขี้เถ้าของอุตสาหกรรมซึ่งก่อมลพิษปนเปื้อนลงสู่น้ำบ่อตื้นไม่สามารถนำมาอุปโภคบริโภคได้ เราได้รับเพียงแค่ความช่วยเหลือให้ผ่านไปวัน ๆ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เราเดือดร้อนกันมาสิบกว่าปี โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาน้ำที่ไม่เพียงพอ และมลพิษทางอากาศจากโรงไฟฟ้าที่จะเพิ่มเติมจากเดิมที่เผชิญอยู่ อยากให้ทบทวนสิ่งที่จะทำนี้จำเป็นต่อชาวบ้านในประเทศแค่ไหน ถ้าไฟฟ้าเหลือเฟือแล้วทำไมต้องสร้างเพิ่ม โรงไฟฟ้าเพียงแค่ในอำเภอพนมสารคามก็มีถึงสามที่แล้ว อยากให้เห็นใจชุมชนบ้าง”
“เขาบอกให้เราปลูกไม้ผลสูงได้แค่ไม่เกิน 3 เมตร”

เสียงสะท้อนจาก วิสาขา ศรีเกษม หนึ่งใน 62 ผู้ได้รับกระทบจากสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่จะพาดผ่านพื้นที่ของตน “เขาเอาเนื้อที่ของพวกเราไป 500 กว่าไร่ และเขาบอกให้เราปลูกไม้ผลสูงได้แค่ไม่เกิน 3 เมตร เราทำไม่ได้ พื้นที่เกษตรของบ้านดิฉันปลูกปาล์ม ไม้พะยูง ยางพารา มีผลผลิตที่เราเก็บเกี่ยวได้ แต่เขาตีราคาไร่ของเราที่โดนตัดไป 5 ไร่ (จากทั้งหมด 6 ไร่) แค่ไร่ละ 20,000 บาท ที่ผ่านมา 15 ปี เราตัดไม้พะยูง 5 รอบ เราได้เงิน 600,000 บาท จากนี้เราจะปลูกพืชชนิดเดิมไม่ได้ เขาริดรอนสิทธิเรา เขาบอกบ้านเราเป็นที่เสื่อมโทรม เป็นที่รกร้างว่างเปล่า แล้วเราจะทำยังไง เราอยากเรียกร้องให้เขาลงพื้นที่และยกเลิกโรงไฟฟ้า อยากฝากถึงท่านผู้มีอำนาจมาช่วยเรา และพิจารณาว่าสมควรสร้างไหม”
หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์และลงมือเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอย่างเป็นธรรม
กัญจน์ ทัตติยกุล ฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์ ยังคงรู้สึกมีความหวังถ้าหากรัฐบาลยึดมั่นในจริยธรรมตามกฎหมาย โดยอ้างอิงถึง พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตรา 8 มาตรา 11 และมาตรา 47 ที่ระบุถึง การเน้นการใช้ประโยชน์และพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนและพลังงานที่มีอยู่ภายในประเทศ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบด้านสุขภาพและผลกระทบข้างเคียงอื่น ๆ จากการผลิตและใช้พลังงาน ส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นและประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการและตรวจสอบการดำเนินงานด้านพลังงานอย่างเป็นธรรม รวมถึงการออกใบอนุญาตที่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และการลงทุน

“ผมอ่านกฎหมายฉบับนี้แล้วรู้สึกว่า ประเทศเราน่าจะมีทางออกเรื่องพลังงานที่ดี ถ้าหน่วยงานที่ใช้กฎหมายฉบับนี้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ เราได้ส่งคำร้องและคำคัดค้านโดยอ้างถึงกฎหมายฉบับนี้ไปหลายครั้งแต่ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากสำนักกำกับกิจการพลังงาน เราเห็นว่าการออกใบอนุญาตของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์นั้นเร่งรัด ไม่เป็นธรรม และไม่สอดคล้องกับกฎหมาย โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ไม่ใช่ปัญหาของคนฉะเชิงเทราเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาค่าไฟของคนไทย ลดโอกาสการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ และซ้ำเติมวิกฤตโลกร้อนจากโรงไฟฟ้าฟอสซิล เราต้องการเสียงจากทุกคนเพื่อหยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์และเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศไทยอย่างเป็นธรรม” กัญจน์ กล่าว
การเดินเท้าเพื่อยื่นจดหมายของกลุ่มฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์จบลงด้วยการย้ำเจตนารมณ์อีกครั้งผ่านแถลงการณ์ “ถ้าวันนี้เราปล่อยให้โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์เกิดขึ้น เท่ากับว่าเราติดกับดักพลังงานสกปรกไปอีก 25 ปี แล้วสิ่งที่เราต่อสู้มา 18 ปีจะสูญเปล่า เราจะหยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์เพื่อให้ประเทศของเราได้เดินหน้าสู่พลังงานสะอาดอย่างแท้จริง”
เป้าหมาย Net Zero และการเปลี่ยนทางพลังงานที่เป็นธรรมสำหรับรัฐบาลคงจะเป็นได้แค่เพียงวาทกรรมที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ หากฝืนผลักดันโรงไฟฟ้าพลังงานฟอลซิลบนความไม่จำเป็นและเสียงคัดค้านของชุมชน


