หลังการวิพากษ์รายงาน EHIAโครงการท่าเรือนำ้ลึกแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร อ.ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นักวิจัยทางทะเล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ให้ความเห็นว่าสังเกตเห็นความแปลกประหลาดในส่วนของการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเล เช่น สัตว์ทะเลวัยอ่อน แพลงก์ตอนสัตว์ และสัตว์หน้าดิน

“สำหรับเราที่ถนัดเรื่องสัตว์ทะเลหน้าดิน มองเห็นว่าข้อมูลในรายงาน EHIA มีความผิดปกติตรงที่มีหลายสถานี (จุดเก็บตัวอย่างสัตว์หน้าดิน) ศึกษาพบสิ่งมีชีวิตแค่ชนิดเดียว พอคุ้ยไปคุ้ยมามีผลการศึกษาพบแค่ 7 ตัวต่อ 1 ตร.ม. ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาที่เราไปเก็บตัวอย่างทั่วทั้งอ่าวไทยและอันดามัน ไม่เคยมีที่ไหนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพแบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องเจอสิ่งมีชีวิต 20 ชนิด ต่อ 1 ตร.ม”
ในช่วงวันที่ 9-13 พฤศจิกายน 2568 ทีมนักวิจัยนำโดย อ.ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นักวิจัยทางทะเล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมกับ มูลนิธิภาคใต้สีเขียว กลุ่ม Beach For Life กรีนพีซประเทศไทย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) เครือข่ายรักษ์ระนอง ชุมชนมอแกน เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ และชุมชนชายฝั่งปากน้ำหลังสวน ร่วมกันทำกระบวนการวิทยาศาสตร์พลเมืองและเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินบริเวณที่จะเป็นที่ตั้งของโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ระนอง – ชุมพร
เพราะสังเกตถึงความผิดปกติของข้อมูล ทำให้ต้องเริ่มสำรวจเพื่อหาความจริง

จากข้อมูลการพบสัตว์ทะเลหน้าดิน เพียง 1 ชนิด 7 ตัวต่อ ตร.ม ในรายงาน EHIA ซึ่งบ่งบอกถึงความผิดปกตินี้ อ.ศักดิ์อนันต์จึงรวบรวมทีมนักวิจัย และทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมและชุมชนในพื้นที่ ลงเรือไปเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินในจุดใกล้เคียงกับรายงาน EHIA จำนวน 5 จุดในจังหวัดระนอง และ 5 จุดในจังหวัดชุมพร และบริเวณดอนตาแพ้วที่ชุมชนถือว่าเป็นขุมทรัพย์ของทะเลระนอง
“เท่าที่เห็นด้วยตาตอนนี้ เราพบสัตว์ทะเลหน้าดินแต่ละสถานีอย่างน้อย 30 กว่าชนิด หลังจากนี้เราจะเก็บตัวอย่างดินที่ได้ ไปส่องหาสัตว์ทะเลขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เพื่อให้ได้ผลออกมาจริง ๆ ว่ามีกี่ชนิดกันแน่”

อ.ศักดิ์อนันต์ย้ำเตือนว่า “โครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร จะเป็นโครงการขนาดใหญ่หากเกิดขึ้นก็จะเปลี่ยนระบบนิเวศทางทะเลที่ดีที่สุดของประเทศ อย่างที่ระนองมีทั้งป่าชายเลนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แต่รายงาน EHIA โครงการแลนด์บริดจ์กลับให้ความสำคัญกับการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพน้อยมากและให้ข้อมูลที่แตกต่าง จึงเกิดการสำรวจและเก็บตัวอย่างสัตว์หน้าดินที่นี่ขึ้น”
นอกจากทีมวิจัยแล้ว อ.ศักดิ์อนันต์เสริมว่า ในกระบวนการการเก็บตัวอย่างก็ได้เชิญสื่อมวลชน ชุมชนและภาคประชาสังคมลงเรือไปด้วยกันเพื่อให้เห็นว่าเรามาเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินอย่างไรบ้าง เราเอากลับมาถึงฝั่งเรามีกระบวนการอย่างไรบ้าง ชุมชนมีส่วนร่วมในการล้างดินโคลนออกจากตัวอย่าง ช่วยกันคีบตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินที่มองเห็นด้วยตาเปล่า

“ความหลากหลายทางชีวภาพไม่ได้น้อยเลยเมื่อเทียบกับรายงาน EHIA ข้อกังวลสำคัญก็คือ ถ้ารายงาน EHIA พร้อมกับข้อมูลนั้น ถูกส่งไปถึงคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาที่นั่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ที่จะได้เห็นแค่ตารางข้อมูลในรายงาน เขาก็อาจจะสรุปไปว่าที่นี่เหมาะสมแล้วที่จะตั้งโครงการฯ เพราะความหลากหลายทางชีวภาพต่ำ ซึ่งไม่สอดคล้องกับพื้นที่เลย”
อ.ศักดิ์อนันต์กล่าวว่า “ยกตัวอย่างในพื้นที่ระนองตอนที่ทีมล่องเรือไปเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดิน ก็ได้เห็นเรือประมงชายฝั่งจำนวนมากกำลังทำการประมงอยู่ แม้ว่าพื้นทะเลด้านล่างตรงนั้นมีแค่ดินโคลน แต่ก็แสดงให้เห็นว่า กุ้ง หอย ปู ปลา ที่ชุกชมอยู่ตรงนั้นได้เพราะกินสัตว์ทะเลหน้าดินเหล่านี้เป็นอาหาร”

เพราะมีสัตว์ทะเลหน้าดินให้ กุ้ง หอย ปู ปลา กิน ชาวประมงจึงจับสัตว์ทะเลบริเวณนี้ได้เยอะ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่นั้นมีความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ทะเลหน้าดินสูง
หลังจากนี้ อ.ศักดิ์อนันต์และทีมวิจัยจะนำตัวอย่างกลับไปหาสัตว์ทะเลหน้าดินขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และจะพยายามจัดทำรายงานผลลัพธ์ให้ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 เพราะดูจากตัวอย่างที่เก็บได้นั้นสันนิษฐานว่าน่าจะมีสัตว์หน้าดินหลากหลายชนิดมากและต้องใช้เวลาสักหน่อย และข้อมูลเหล่านี้จะต้องถูกนำไปประเมินคุณค่าโดยเฉพาะการเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ ที่มีการศึกษามาก่อนหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่า พื้นที่นี้อาจเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในประเทศไทย

ก่อนจะหมดวันและทีมวิจัยยังต้องล้างตัวอย่างที่เก็บได้จากหลายสถานีในวันนี้ให้เสร็จ อ.ศักดิ์อนันต์ย้ำเตือนถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์พลเมืองว่า
“ในกรณีของโครงการนี้ รัฐให้บริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาแต่ผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างจากสิ่งที่ชุมชนเห็น ดังนั้น วิทยาศาสตร์พลเมืองจะช่วยให้ชุมชนที่ทำมาหากินอยู่ตรงนี้ได้มีส่วนร่วม ได้ทำความเข้าใจและบอกได้ว่าทำไมพื้นที่ตรงนี้ที่เขาทำมาหากินถึงมีสัตว์ทะเลเยอะ และยังเป็นเครื่องย้ำเตือนอีกว่าทำไมเราต้องปกป้องพื้นที่บริเวณใกล้ชายฝั่ง ปกป้องหน้าดินทะเล เพราะหน้าดินทะเลนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศทางทะเล”
มะทม ชาวประมงไทยพลัดถิ่นจากระนอง ยืนยันไม่เอาโครงการแลนด์บริดจ์
“ถ้ามีโครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้น ไม่ใช่มะคนเดียวที่เดือดร้อน แต่ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ที่นี่เขาจะเดือดร้อน เพราะเขาหากินอยู่ในทะเล ตอนนี้มะอยากให้พี่น้องที่รู้ว่าจะมีโครงการฯ ช่วยกันออกมาปกป้องแผ่นดินของเราเพื่อให้ลูกหลานในอนาคต สักวันหนึ่งมะก็คงต้องกลับไปบ้านเดิมเพราะอายุมากแล้ว แต่มะต้องลุกขึ้นมาสู้เพื่อให้ลูกหลานได้รู้ว่า มะทมคนนี้ลุกขึ้นมาสู้เอง ไม่มีใครจ้าง มะอยากบอกว่าประเทศไทยเป็นของเรา เราอยากเสีย [ทรัพยากร] ให้กับต่างชาติเหรอ แล้วลูกหลานเราจะไปอยู่ที่ไหน”

มะทม สินสุวรรณ ชาวประมงไทยพลัดถิ่น จ.ระนอง บอกเล่ากับเราหลังจากที่เธอขึ้นเรือไปร่วมเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินกับนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล เธอเล่าว่าอาชีพของเธอและพี่น้องที่นี่หากินในทะเล ตกปลาทุกวัน แต่หากโครงการนี้เกิดขึ้นเธอกับชาวบ้านคงทำอาชีพนี้ไม่ได้อีกต่อไป
“ถ้าโครงการนี้จะเข้ามามะรู้เลยว่าเขาจะห้ามเราไม่ให้มาหาปลา ดูตัวอย่างจากท่าเรือหินช้างได้ (ท่าเรือเทศบาลตำบลปากน้ำ) แล้วแบบนี้เราจะให้เขาทำทำไม เขาเข้ามาได้ประโยชน์แต่เราได้อะไร?”
มะทมคือหนึ่งในบุคคลที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสัญชาติไทยให้กับพี่น้องคนไทยพลัดถิ่น รวมทั้งชาวมอแกนที่เผชิญกับปัญหานี้เช่นเดียวกับกลุ่มคนไทยพลัดถิ่น การไม่ได้รับสัญชาติทำให้พวกเขาเจอกับข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ไม่สามารถย้ายถิ่นฐาน การเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาล สิทธิด้านการศึกษา สิทธิการทำงาน ซึ่งปัจจุบันปัญหานี้ยังไม่หมดไป แต่โครงการดังกล่าวอาจสร้างปัญหาใหม่ให้กับพวกเขา หลัก ๆ คือการถูกริดรอนพื้นที่ที่อยู่อาศัยและการเข้าถึงอาหาร

“ทั้งพี่น้องไทยพลัดถิ่น ทั้งชาวมอแกน หม้อข้าวหม้อแกงเราอยู่ในทะเล (หมายถึง อาหารของเรามาจากทะเล) ถ้ามะไปเที่ยวหาเขาก็แบ่งปันอาหารให้กิน เราไม่ต้องซื้อ วันใดถ้าโครงการเกิดขึ้นทับพื้นที่หากินเราแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน ส่วนปัญหาเดิมเรื่องไม่มีบัตรประชาชนยังไม่ถูกแก้ให้จบเลย จะเอาปัญหาใหม่มาให้พวกเราอีก”
“รัฐสนใจแต่หม้อข้าวหม้อแกงตัวเอง (ผลประโยชน์ของรัฐ) โดยไม่สนใจประชาชนเลย ตอนมะเดินไปทำเนียบ เขา (นายกฯ) ยังไม่ออกมารับฟัง มะบอกว่ามะไม่ได้มาด่าแต่อยากให้มาดูพื้นที่กับตาบ้าง”
“ที่เรามาสำรวจสัตว์ทะเลหน้าดินวันนี้จะทำให้เรามีหลักฐานว่าบ้านของเราสมบูรณ์จริง ๆ เขา (รัฐ) ควรรับฟังและอย่างน้อยเขาควรจะต้องชะลอโครงการไปก่อน เพื่อมาดูหลักฐานที่ยืนยันว่าที่ชาวบ้านพูดว่าเขาหากินได้เพราะอุดมสมบูรณ์เป็นเรื่องจริง”
EHIA โครงการแลนด์บริดจ์ สะท้อนกระบวนการทำ EIA/EHIA ของไทยยังติดหล่ม
อภิศักดิ์ ทัศนี จาก Beach for Life กล่าวถึงการลงพื้นที่เพื่อสำรวจและเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินบริเวณที่จะเป็นที่ตั้งของโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพรครั้งนี้มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนงานรณรงค์ด้านสิทธิทางสิ่งแวดล้อมของชุมชนไว้ว่า ก่อนหน้านี้ชุมชนได้อ่านรายงาน EHIA ซึ่งระบุว่าบริเวณที่จะทำโครงการฯเจอสัตว์ทะเลหน้าดินแค่ 7 ตัว ต่อ 1 ตร.ม. เรียกได้ว่าเป็น การศึกษาของภาคพลเมือง (Civic Education) ชุมชนตื่นตัวและให้ความสนใจกับงานวิชาการและต้องการมีส่วนร่วมกับรัฐเห็นได้จากการอ่าน EHIA และอยากแสดงความคิดเห็นต่อรายงาน
“พอชุมชนเจอว่าในรายงานพบสัตว์ทะเลหน้าดินแค่ 7 ตัว ต่อ 1 ตร.ม. แล้ววันนี้พวกเขามาร่วมกันเก็บตัวอย่าง เรามองว่าชุมชนเป็น Active Citizen มาก ๆ ที่เข้ามาร่วมพิสูจน์ข้อเท็จจริง”

นอกจากนี้ อภิศักดิ์ ยังเสริมอีกว่า การเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินครั้งนี้สะท้อนถึงความบกพร่องของการศึกษาเพื่อทำรายงาน EIA/EHIA ในประเทศไทยซึ่งรวมทั้งกระบวนการการตรวจสอบรายงานด้วย
“อย่างมาตรฐานในการจัดทำข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษา หรือตัวเจ้าของโครงการ คิดว่ามีปัญหาแน่ ๆ อีกจุดหนึ่งคือขาดการตรวจสอบข้อมูลจากภาครัฐ ในช่วงที่การทำรายงานดำเนินไปและยังไม่เข้า สผ. ซึ่งในช่วงนี้ไม่มีใครได้เข้าไปตรวจสอบเลย และเมื่อมันถูกส่งไปที่ คชก. ก็มีคำถามว่า คชก.จะมีความรู้หรือมีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใดในการพิจารณาประเด็นนี้”
อภิศักดิ์ยังตั้งคำถามต่อระบบการจัดทำการประเมิน EIA/EHIA ของไทยว่ามีการเก็บข้อมูลที่หลากหลายมากพอแล้วหรือไม่ เพราะขนาดของโครงการใหญ่มากและกระทบต่อคนและระบบนิเวศเป็นวงกว้าง

“พอเห็นผลจากรายงาน EHIA แล้วชาวบ้านมาร่วมทำงานกับนักวิทยาศาสตร์เพื่อทำงานวิชาการจริงจัง ผมคิดว่านี่คือความพยายามที่จะพิสูจน์กับสังคมให้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ในรายงานกับความเป็นจริงในพื้นที่มันไม่ตรงกัน ถือเป็นความเข้มแข็งของชุมชน และการที่ชุมชนมาพยายามนั่งคัดแยกตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินเอง แยกเบนโทสเอง แยกครัสเตเชียนเอง และเรียนรู้ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ว่าแต่ละตัวคืออะไร นี่คือวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง (Citizen Science) เป็นการรวมเอาองค์ความรู้ของชุมชนมารวมกับความรู้ด้านวิชาการ ซึ่งมันไม่ใช่แค่ชุมชนมาช่วยเก็บดินส่งแล็บ แต่มันคือการที่ชุมชนเข้ามาร่วมเรียนรู้และวิจัยไปพร้อม ๆ กับนักวิจัย”
อภิศักดิ์เสริมว่า กระบวนการครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็ต้องชื่นชมทีมวิจัยด้วย อย่างวันนี้มีกล้องจุลทรรศน์สำหรับให้ชุมชนส่องตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินที่ช่วยกันคีบมาได้ ให้ชุมชนได้ลองแยกชนิดสัตว์หน้าดิน กระบวนการแบบนี้จะสะท้อนให้ชุมชนเห็นงานวิจัยแบบนี้เชื่อมโยงกับพวกเขา ไม่ได้นำข้อมูลไปเป็นงานวิชาการในห้องแล็บเพียงอย่างเดียวซึ่งชุมชนก็จะไม่เข้าใจว่างานเหล่านั้นเชื่อมโยงกับเขาอย่างไร

การขับเคลื่อนงานรณรงค์ ต้องเล่า ‘ข้อมูล’ ที่ซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องเข้าใจง่าย
ในแง่ของการรณรงค์ขับเคลื่อนประเด็นใดประเด็นหนึ่ง เราจำเป็นต้องนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อสร้างมวลชนให้หันมาสนใจและสนับสนุนงานรณรงค์ของเรา แต่หลายครั้งที่ข้อมูลนั้นยากเกินไปหรือไม่ก็ถูกวางขึ้นหิ้ง และในที่สุดก็ไม่ได้รับความสนใจเป็นวงกว้าง ซึ่งประเด็นนี้อภิศักดิ์ให้ความเห็นว่าเป็นจุดท้าทายสำคัญของนักรณรงค์ที่จะสื่อสารยังไงให้เรื่องยาก ๆ กลายเป็นเรื่องง่ายเข้าถึงทุกคน
“อย่าง Beach for Life ก็ตั้งจุดประสงค์สำคัญไว้ว่าเราจะทำงานเพื่อบอกกับสังคม คอนเส็ปของเราจะตั้งคำถามเชิงลึกสะท้อนความจริงเพื่อให้สังคมตาสว่าง ดังนั้นงานที่เราทำคือบอกว่าข้อเท็จจริงของพื้นที่เป็นยังไง ตอนที่เราทำรายงาน Land Bridge Effect ทำเส้นทางเดินเรือของชุมชนเวลาไปดอนตาแพ้วเพื่อทำประมง เราจะออกแบบยังไงให้คนเห็นภาพง่าย ๆ ก็กลายมาเป็นการเอา GPS ไปติดกับเรือ งานนี้ก็เหมือนกันเราพยายามพิสูจน์ว่าทะเลระนองไม่ได้ร้าง ด้วยการให้ชุมชนได้เห็นเหมือนกันว่าทะเลที่นี่อุดมสมบูรณ์และสื่อสารออกไปเลยว่า ที่นี่ไม่ได้มีสัตว์ทะเลหน้าดินแค่ 1 ชนิด 7 ตัว แต่มันมีมากกว่านั้น”
“การสื่อสารและงานรณรงค์เป็นมากกว่าการทำข้อมูล แต่คือการทำให้คนโดยรวมในสังคมเข้าใจไปพร้อมกับเรา ถ้าเราปรารถนาสังคมที่ตื่นรู้ เราจะต้องคิดให้มากกว่างานทำข้อมูลและสิ่งสำคัญคือชุมชนจะมีส่วนร่วมกับพวกเราอย่างไร”

“ส่วนวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง (Citizen Science) เรามองว่าจริง ๆ แล้วก็เป็นการรณรงค์ไปในตัว ซึ่งเป็นโจทย์ที่องค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมต้องเอาไปคิดต่อว่าจะนำมาสร้างพลังให้กับชุมชนอย่างไร นอกจากนี้วิทยาศาสตร์ภาคพลเมืองจะช่วยลดช่องว่างระหว่างรัฐกับชุมชน รวมทั้งคนทั่วไปด้วย”
อภิศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่าสำหรับกระบวนการครั้งนี้ เขามองเห็นชุมชนได้สนุกและเรียนรู้กับการเก็บตัวอย่างสัตว์หน้าดิน “อย่างมะทมเนี่ยแกเป็นชาวประมงแกก็หยิบไส้เดือนทะเลไปเป็นเหยื่อตกปลาประจำ (หัวเราะ) แต่การที่เราได้เห็นเขาหยิบเพื่อทำความเข้าใจ มันจะรู้สึกคนละแบบ”
เสียงของชาวประมงพื้นบ้าน จ.ระนอง หลังร่วมสำรวจการเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดิน
“เราประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน ส่วนมากออกหาปลา กุ้ง หอย เวลาออกเรือก็จะไปหาแหล่งที่มีสัตว์เหล่านี้ อย่างดอนตาแพ้วก็ไปบ่อย ๆ ที่นี่มีสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด สารพัดปลามาอยู่ที่จุดนั้น เหมือนเป็นจุดศูนย์รวมของ จ.ระนอง”
สมเกียรติ หมานจิตร หรืออาลีฟ ชาวประมงพื้นบ้าน จ.ระนอง เล่าว่าวันนี้มะทมชวนเขาและเพื่อนชาวประมงมาร่วมสำรวจการเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินกับกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ที่ท่าเรือบางเบน อ.กะเปอร์ จ.ระนอง แม้ว่าจะไม่ได้ขึ้นเรือไปเก็บดิน แต่อาลีฟได้ลองคีบสัตว์ทะเลตัวตัวเล็ก ๆ เหล่านี้และได้ลองบันทึกจำนวนกับชนิดสัตว์ที่เขาเจอ

“ได้รู้จักสัตว์ทะเลหน้าดินหลาย ๆ ตัว พวกโพลิคีท (Polychaeta) ครัสเตเชียน (Crustacean) สิ่งที่เราได้เห็นวันนี้ทำให้รู้ว่าทำไมระนองถึงมีกุ้ง หอย ปู ปลา อุดมสมบูรณ์ เราที่เป็นชาวประมงออกเรือไปจับสัตว์ทะเลมาขายต่อกับเถ้าแก่”
ครอบครัวของอาลีฟทำอาชีพประมงเป็นหลัก เขาออกเรือไปกับพ่อตั้งแต่เด็กจนโตมาก็เริ่มออกเรือเอง เขาบอกว่ารักในอาชีพนี้เพราะการประมงทำให้เขาเป็นนายของตัวเอง “เราออกเรือเวลาไหนก็ได้ ออกไปแป๊บเดียวก็ได้แล้ว 400-500 พันกว่าบาท สองพันกว่าบาท ถ้าวันไหนได้กุ้งเยอะเราก็ได้รายได้เยอะถึงหมื่น อย่างกุ้งแชบ๊วยที่นี่ก็มีเยอะ”

“ถ้าเขาจะมาถมทะเลตรงนี้หมด ผมว่าก็คงหากินไม่ได้แล้วอาชีพประมงก็คงจะไม่ได้ทำแล้ว ดอนตาแพ้วจะถูกถมทั้งหมดทั้งที่มีสัตว์ทะเลมากมีแพลงก์ตอนเยอะ เวลาน้ำลงพวกปลาก็มาตะกุยกินแพลงก์ตอนเล็ก ๆ คิดว่าอยากให้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ต่อไปดีกว่า ทรัพยากรทางทะเลจะได้มีอยู่ไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน”
ชุมพรเป็นแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ คุ้มหรือไม่กับการแลกพื้นที่นี้กับโครงการแลนด์บริดจ์
การถมทะเลสำหรับการก่อสร้างโครงการ จะทำลายระบบนิเวศทางทะเล แค่นี้ชาวประมงพื้นบ้านบริเวณนี้ก็ไม่เห็นด้วยแล้ว นี่คือข้อความจากวิสูตร บุนนาค หรือที่คนในชุมชนเรียกว่า ผู้ใหญ่ชาย นายกสมาคมประมงพื้นบ้านชุมพร

“พื้นที่ที่เขาจะถมเป็นโครงการกินพื้นที่กว่า 5,000 ไร่ ซึ่งทับพื้นที่ทำประมงของชาวบ้านทั้งหมด และเมื่อมีโครงการเกิดขึ้นจะทำให้ชาวบ้านไม่สามารถนำเรือประมงออกไปทำมาหากินได้เพราะอันตราย เขาจะห้ามเรือเล็กไปแล่นบริเวณนั้น ส่วนบริเวณใกล้โครงการยังมีกองหินปะการังใต้น้ำเยอะมากที่โดนกระทบ”
“สิ่งที่เรากังวลมากที่สุดอีกข้อหนึ่งคือ ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยของกรมประมงที่ระบุว่าพื้นที่ชุมพรและสุราษฎร์ธานีเป็นพื้นที่วางไข่ของปลาทู ซึ่งเหตุผลที่เขามาวางไข่ที่นี่ก็เพราะเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์”
ผู้ใหญ่ชายย้ำว่า ทะเลที่นี่อุดมสมบูรณ์มากมีทั้งปลาอินทรี ปูม้า มีทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่ออยู่อาศัยและสำหรับเป็นอาหารในภาคการท่องเที่ยว “วันนี้ตอนที่เราออกเรือไปเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินก็จะเห็นชาวประมงเขาออกมาตกปลาอินทรีกัน ออกเรือ 2 วันเขาได้ปลาอินทรี 10 กว่าตัว รวมกับปลาอื่น ๆ อีกก็ 20 ตัว ขึ้นฝั่งเอาไปขายก็ได้เงินเป็นหมื่นนะ นี่คือวิถีชีวิตของเราล่ะ ถ้าใครบอกว่าทะเลชุมพรไม่สมบูรณ์น่ะไม่ใช่เลย”

นอกจากประมงพื้นบ้านแล้วผู้ใหญ่ชายเสริมว่าชุมพรยังมีรายได้หลัก ๆ มาจากสวนทุเรียนและการท่องเที่ยว มีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมมากมายอย่าง เกาะพิทักษ์ ซึ่งหากเกิดโครงการฯ ขึ้นจริงจะตั้งอยู่ห่างจากเกาะไม่ถึง 1 กิโลเมตร
“ถ้ามีโครงการแลนด์บริดจ์เกิดขึ้นจริงแล้วการบริหารจัดการไม่ดี เช่น เกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วหรือมีมลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง มันก็จะรบกวนทั้งเราและสัตว์ทะเลอย่างเต่า วาฬ โลมา”
“ส่วนตัวผมผมคัดค้านโครงการนี้ ส่วนพี่น้องก็กังวลครับ เขากังวลกันว่าถ้าโครงการมาต้องขุดต้องถมทะเลแล้วเขาเสียพื้นที่ประมง รัฐจะเยียวยาพวกเขาไหม จะเข้ามาดูแลเขายังไง พวกเขาไม่เชื่อใจ”

เมื่อถามถึงการพัฒนาในความคิดของผู้ใหญ่ชาย เขาให้ความเห็นมาว่าเขาอยากเห็นชุมพรพัฒนาไปอย่างยั่งยืน มีการสนับสนุนท่องเที่ยวชุมชน อย่างเรื่องท่าเรือก็เป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยวและใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดไม่ก่อมลพิษ
‘ไม่เหนือความคาดหมาย’ เพราะชาวบ้านรู้ดีอยู่แล้วว่าการเก็บตัวอย่างสัตว์หน้าดินทะเลจะพบความหลากหลายหลังออกเรือไปเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดิน
อีก 1 เสียงที่ช่วยยืนยันความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ชุมพรนั่นคือ วัชรินทร์ แสวงการ ชาวประมงพื้นบ้านจาก อ.สวี จ.ชุมพร ที่มาร่วมกระบวนการเก็บตัวอย่างสัตว์หน้าดินที่ จ.ชุมพร กับทีมนักวิจัย

“เราเป็นชุมชนชายฝั่งที่บ้านอยู่ติดทะเล หากินกับท้องทะเลมาตลอด เมื่อก่อนเราทำประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ แต่ก็เปลี่ยนมาเป็นประมงพื้นบ้าน เปลี่ยนวิธีการจับปลาเพื่ออนุรักษ์ให้ปลามาอยู่ใกล้เรามากขึ้น แทนที่เราจะต้องออกไปทำประมงไกลจากฝั่งเรื่อย ๆ การอนุรักษ์นี้ทำให้ กุ้ง หอย ปู ปลา เข้ามาอยู่ใกล้บ้านเราโซนสวี ทุ่งตะโก หลังสวนชุมพร เป็นโซนที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่าที่อื่นเพราะว่าชุมชนชายฝั่งที่นี่ทำกิจกรรมอนุรักษ์กันหมดเลย นี่คือวิถีของเรา เราทำกันมา 20-30 ปี”
วัชรินทร์กล่าวว่าผลลัพธ์ที่ตาเห็นของการเก็บตัวอย่างสัตว์หน้าดินที่ชุมพรครั้งนี้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายเพราะชุมชนรู้ดีอยู่แล้วว่าที่นี่อุดมสมบูรณ์ไม่เหมือนกับที่เขาบอกว่าเป็นทะเลร้าง

“ไม่ได้เหนือความคาดหมายจริงๆแล้วชาวบ้านเรารู้อยู่แล้วว่าเรามีความอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ทะเลหน้าดิน อย่างตอนที่เราเจอปลาก็จะเห็นได้ว่ามีปลาว่ายอยู่บนผิวน้ำเต็มไปหมดเลย มันพิสูจน์แล้วว่าแค่เราออกเรือไปกันแป๊บเดียวเราก็จะเห็นระบบนิเวศ มีปลาที่หากินกลางน้ำ ปลาที่หากินผิวน้ำ ปลาที่หากินหน้าดิน รวมถึงพวกแพลงก์ตอนต่าง ๆ ในดินในโคลน ทะเลเราไม่ได้ร้างเหมือนที่เขาบอก”
“ในดินโคลนที่เราขึ้นมาพอเรามาแยกมันจะมีสัตว์เยอะแยะเต็มไปหมดเลย ตั้งแต่ที่เราเห็นด้วยตาเปล่าอย่าง ไส้เดือน หนอน หอย หรือพวกสัตว์ขาปล้องต่าง ๆ เป็นร้อยชนิดเลย ซึ่งหน้าที่ของมันก็คือเป็นอาหารของสัตว์ทะเลที่ตัวใหญ่กว่า เป็นอาหารของกุ้ง หอย หมึก ปลาอื่น ๆ ที่เป็นปลาตัวเล็ก ๆ และปลาตัวเล็กนั้น ก็จะเป็นอาหารของปลานักล่า อย่าง ปลาอินทรี ปลาสาก ปลาโฉมงาม ปลากะพง ปลาเก๋า ก็จะมากิน”

วัชรินทร์ ทิ้งท้ายว่าการลงมาเก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินครั้งนี้ของทีมวิจัยที่ชวนชุมชนมาร่วมกันเก็บและรู้จักสัตว์ทะเลเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กันจะทำให้ชุมชนมั่นใจว่าที่พวกเขายังจับสัตว์ทะเลได้มากมายขนาดนี้เพราะบ้านของเขามีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก มีสัตว์ทะเลหน้าดินมากมาย (ยังไม่รวมถึงสัตว์ทะเลหน้าดินที่นักวิจัยต้องเอาไปส่องกล้องจุลทรรศน์ซึ่งก็คงมีอีกหลากชนิด) และทะเลหน้าบ้านไม่ได้ร้าง นี่คือการเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์พร้อม ๆ ไปกับองค์ความรู้ชุมชน

เปลี่ยนโครงการพัฒนาขนาดใหญ่จากนโยบาย Top-Down เป็นการพัฒนาพื้นที่โดยมีชุมชนเป็นผู้นำ
เกตน์สิรี ทศพลไพศาล นักรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ ประเทศไทย พูดถึงความสำคัญของการใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ภาคพลเมืองว่า กรีนพีซสนับสนุนและเลือกใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ภาคพลเมืองเพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน
“เราเลือกใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ภาคพลเมืองเพื่อให้ชุมชนชายฝั่งซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรและรู้จักการใช้ประโยชน์ไปพร้อม ๆ กับการอนุรักษ์ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเก็บและบันทึกข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลที่พวกเขาใช้ทำมาหากิน เราชวนนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลมาทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นเพื่อพิสูจน์ว่าที่ตรงนี้อุดมสมบูรณ์จริง ๆ เราเลือกเก็บข้อมูลที่ดอนตาแพ้วที่เป็นเนินทรายใต้น้ำ เป็นแหล่งวางอวนกุ้ง อวนปู ของประมงพื้นบ้านและชาวมอแกนโดยที่แห่งนี้ไม่เคยถูกบันทึกไว้อย่างเป็นทางการโดยรัฐ”
เธอระบุว่า เธอร่วมออกเรือไปเก็บสัตว์หน้าดินที่ดอนตาแพ้ว ชาวประมงพื้นบ้านที่ขึ้นเรือไปร่วมสำรวจด้วยกันเล่าให้ฟังว่าดอนตาแพ้วแห่งนี้เป็นที่บรรจบกันของร่องน้ำ 2 แห่งที่เกิดขึ้นจากปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลงตามธรรมชาติ คือร่องน้ำจากเกาะขาม และจากแหลมไผ่-อ่าวอ่าง พัดดินตะกอนมากองใต้น้ำจนเกิดเป็นดอนตาแพ้ว แสดงให้เห็นถึงองค์ความรู้ของชาวประมงที่บอกกันปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่นเป็นทอด ๆ

“พื้นที่ตรงนี้จึงมีความสำคัญต่อไทยทั้งในแง่เศรษฐกิจและวิถีชีวิต หากเกิดโครงการใด ๆ ก็ตามที่กระทบพื้นที่ตรงนี้ ทรัพยากรสัตว์น้ำ เศรษฐกิจท้องถิ่น และวิถีชีวิตของชุมชนประมงตรงนี้จะสูญหายไปด้วย”
นอกจากนี้ เกตน์สิรี ยังเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ซึ่งพื้นที่ระนองเองก็มีพี่น้องชาวมอแกนอาศัยอยู่และอาจได้รับผลกระทบจากโครงการใหญ่เช่นกัน โดยตามมาตรา 8(j) ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่ให้ความสำคัญกับการยอมรับและสนับสนุนสิทธิของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งการมีส่วนร่วมของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยุติธรรมและเท่าเทียม

“เราขอเรียกร้องให้รัฐไทยซึ่งเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพเคารพสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น และปฏิบัติตามอนุสัญญาและแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติที่ได้ส่งให้ที่ประชุมของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพอย่างจริงใจ เพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมาย 30×30 ที่เป็นธรรมและยั่งยืน และไม่หลงลืมชนชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นปราการด่านหน้าในการปกป้องดูแลความหลากหลายทางชีวภาพไว้ข้างหลัง”

