ซูเปอร์ไต้ฝุ่น ‘ราอี’ (Rai) หรือที่คนฟิลิปปินส์เรียกว่า ซูเปอร์ไต้ฝุ่นโอเด็ตต์ ได้พัดถล่มฟิลิปปินส์ในเดือนธันวาคม ปี 2564 ก่อพายุลมและฝนที่มีความรุนแรงสูง จนทำให้เกิดดินถล่มและคลื่นพายุซัดฝั่ง สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อหมู่เกาะจำนวนมาก  มีผู้ได้รับผลกระทบมากกว่า 10 ล้านคน บ้างต้องสูญเสียบ้านและวิถีชีวิตในการทำมาหากิน และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หลังผ่านมา 4 ปี ผู้รอดชีวิตกำลังฟ้องบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ คือ เชลล์ 

ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับซูเปอร์ไต้ฝุ่นรุนแรงที่สุดทุกปี และเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เรื่องราวของครอบครัวที่สูญเสียคนที่รัก บ้านเรือนที่สร้างด้วยความเหน็ดเหนื่อยถูกทำลาย หรือการอพยพฉุกเฉินยามค่ำคืน ไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะราย แต่เป็นประสบการณ์ร่วมของชาวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ พลังงานฟอสซิลเป็นตัวเร่งให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น ทำให้เหตุการณ์สุดขั้ว เช่น ซูเปอร์ไต้ฝุ่น เกิดขึ้นถี่ขึ้น การดำรงชีวิตในฟิลิปปินส์จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดมากยิ่งขึ้น ในปี 2565 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฟิลิปปินส์ (Philippines Human Rights Commission) เผยแพร่รายงานที่ชี้ชัดถึงความรับผิดทางแพ่งของบรรดากลุ่มอุตสาหกรรมคาร์ฟอสซิลยักษ์ใหญ่ เช่น เชลล์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเสียหายด้านสภาพภูมิอากาศในฟิลิปปินส์

“การฟ้องบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเชลล์ด้วยข้อหาการมีส่วนทำให้พายุไต้ฝุ่นราอีรุนแรงขึ้นอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก แต่ฉันต้องคิดถึงอนาคตของลูก ๆ ของฉัน” ทริกซี เอลล์ หนึ่งในผู้ยื่นคำร้องกล่าวเป็นภาษาฟิลิปิโน (ตากาล็อก)

ทริกซี และผู้ร้องเรียนอีก 66 ราย จะยื่นฟ้องคดีในสหราชอาณาจักรต่อบริษัทเชลล์ ด้วยข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผู้ยื่นคำร้องเป็นชาวฟิลิปปินส์จากภูมิภาควิซายัส (Visayas) ของฟิลิปปินส์ กำลังเรียกร้องให้บริษัทรับผิดชอบต่อการปล่อยคาร์บอนมหาศาลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำให้เกิดเหตุการณ์วิกฤตสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น พายุไต้ฝุ่นโอเด็ตต์ที่รุนแรงขึ้น และยิ่งทำให้เกิดความทุกข์ยากแก่ชาวฟิลิปปินส์ที่เลวร้ายยิ่งขึ้น พวกเขากำลังเรียกร้องให้มีการชดเชยทางการเงินสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงคำสั่งคุ้มครองทางกฎหมาย (injunctive relief) ห้ามการดำเนินธุรกิจของเชลล์ในอนาคต นี่เป็นคดีแพ่งครั้งแรกที่เชื่อมโยงการกระทำของบริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซฟอสซิลโดยตรงกับการเสียชีวิตและภัยพิบัติอันเนื่องมาจากจากผลกระทบทางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในภูมิภาคซีกโลกใต้

Protest against Climate Injustice by Community from Bohol's Sinking Island. © Ivan Joeseff Guiwanon / Greenpeace
เมื่อชุมชนในฟิลิปปินส์ทำความเข้าใจใหม่ถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและต้นเหตุ ชุมชนก็ตระหนักถึงบทบาทของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซรายใหญ่อย่างเชลล์ ว่าเป็นตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อนและความทุกข์ยากที่ชุมชนต้องเผชิญ

ชาวฟิลิปปินส์ได้รวมตัวประท้วงเชิงสร้างสรรค์เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมกับถือป้ายข้อความที่สื่อถึงผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทเชลล์ต่อโลกและต่อวิถึชีวิตของชุมชน กล่าวว่า “Panagutin ang mga mapanirang kompanya” (บริษัทที่ก่อวิกฤตทำลายล้างต้องรับผิดชอบ), “Shell, usba ang iyong pamaagi” (เชลล์ เปลี่ยนอุตสาหกรรมของคุณ), “Unta dunggon ninyo ang among panawagan” (หวังว่าเชลล์จะรับฟังเสียงเรียกร้องของเรา), “Shell, negosyo mo, kagutom namo” (เชลล์ ธุรกิจของคุณคือความอดอยากของพวกเรา), “Unsaon na lang ang among panginabuhian” (แล้วชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร?), “Kami nag-antos sa inyong produkto” (ความทุกข์ของเรามาจากธุรกิจของคุณ) และ “Dapat mo manubag” (คุณต้องรับผิดชอบ)

การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์นี้ คือการเรียกร้องให้เชลล์หยุดเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องของชุมชนในฟิลิปปินส์ และยอมรับถึงความเสียหายที่เกิดจากการทำธุรกิจของบริษัทที่ทำลายสภาพภูมิอากาศโลก
© Ivan Joeseff Guiwanon / Greenpeace

การฟ้องคดีนี้ใช้ข้อมูลงานวิจัยด้านการระบุหาสาเหตุการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ ซึ่งพบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ทำให้ความเป็นไปได้ของการเกิดหายนะภัยจากสภาพอากาศสุดขั้วเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า ซูเปอร์ไต้ฝุ่นโอเด็ตต์คร่าชีวิตผู้คน 405 รายทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 1,400 คน และสร้างความเสียหายให้ฟิลิปปินส์กว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เชลล์ เป็นผู้ก่อก๊าซเรือนกระจกปริมาณ 41 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (Co2e) ตั้งแต่ปี 2435 (ค.ศ.1892) หรือมากกว่าร้อยละ 2 ของก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลก โดยที่เชลล์รู้มาหลายทศวรรษแล้วว่าธุรกิจของตนจะเร่งให้เกิดวิกฤตสภาพอากาศสุดขั้ว แต่กลับเลือกผลกำไรเหนือชีวิตผู้คน หลังซูเปอร์ไต้ฝุ่นโอเด็ตต์เพียงหนึ่งปี เชลล์เผยว่าทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และผลกำไรปีล่าสุด (2567) ของบริษัทอยู่ที่ 16.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

“มันไม่ยุติธรรมเลยที่เราต้องทนทุกข์จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้ง ๆ ที่การปล่อยก๊าซของเรานั้นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับเชลล์ แล้วทำไมเราต้องแบกรับภาระนี้?” ทริกซีเสริม

Sinking Islands in Bohol. © Geric Cruz / Greenpeace
โครงสร้างของบ้านที่ถูกปล่อยร้างบนเกาะบาตาซัน ในทูบิกอน โบโฮล หลังจากถูกซูเปอร์ไต้ฝุ่นโอเด็ตต์ถล่ม
© Geric Cruz / Greenpeace

การดำเนินคดีโดยชุมชนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ให้ความเห็นเชิงชี้แนะทางกฎหมาย (Advisory Opinion) ต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยยืนยันว่ารัฐต้องควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับความเสียหายด้านสภาพภูมิอากาศอันเกิดจากการปล่อยมลพิษ ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม

การที่ผู้รอดชีวิตจากซูเปอร์ไต้ฝุ่นโอเด็ตต์ลุกขึ้นมาฟ้องคดีจึงเป็นทั้งการเรียกร้องความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและความรับผิดรับชอบของระบบทั้งหมด กล่าวคือ ต้องกำหนดให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (polluters pay) ยุติการทุจริตคอร์รัปชันที่ทำให้ชุมชนไร้การป้องกัน และทวงคืนสิทธิของประชาชนฟิลิปปินส์ในการมีอนาคตที่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีใน ณ ปัจจุบันและอนาคต 

อ่านรายละเอียดทางคดีเพิ่มเติม ที่ https://www.odettecase.org


ยืนหยัดเคียงข้างกรีนพีซ เพื่อสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมประท้วง

กรีนพีซ ประเทศไทย แสดงจุดยืนปกป้องสิทธิการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ยืนหยัดเคียงข้างกรีนพีซ สากล และกรีนพีซ สหรัฐฯ  หลังจากมีคำตัดสินคดี SLAPP ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งภาคธุรกิจหรือผู้มีอำนาจพยายามปิดปากนักเคลื่อนไหวและองค์กรภาคประชาชนผ่านกระบวนการทางกฎหมาย