กรุงเทพมหานคร, 20 พฤศจิกายน 2568 – องค์กรสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมกว่า 17 องค์กรร่วมจัดเวทีเสวนาสาธารณะเพื่อทบทวนแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ฉบับที่ 2 ของประเทศไทย (NAP – 2566-2570)  พร้อมยื่นข้อเรียกร้องจากประชาชนและภาคประชาสังคมด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชนต่อนายกรัฐมนตรีโดยมี ดร. รัชดา ธนาดิเรก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรับข้อเรียกร้องจากภาคประชาชนและกล่าวปิดงานว่า 

“รัฐบาลมองว่าธุรกิจไม่ควรเน้นเพียงกำไร แต่ต้องสร้างความยั่งยืนให้กับประชาชนด้วย รัฐบาลยืนยันว่าให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม พร้อมทำงานเชื่อมระหว่างประชาชนกับฝ่ายบริหาร และการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD จะทำให้ประเทศได้รับความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและผู้ลงทุน อีกทั้งจะยกระดับมาตรฐานทางกฎหมายของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีช่องว่างทางกฎหมายหลายด้านที่ต้องปรับปรุง รวมถึงบทบาทของศูนย์ติดต่อประสานงานระดับชาติ (National Contact Point: NCP) ที่ต้องเร่งพัฒนากลไกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สุดท้ายนี้รัฐบาลยินดีรับข้อเสนอเชิงนโยบายทั้ง 9 ข้อของภาคประชาชน และเน้นย้ำว่าจะผลักดันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยหวังให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนลดลงและหมดไปในอนาคต”

ตัวแทนภาคประชาชนกว่า 100 คนจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบภายใต้บริบทธุรกิจและสิทธิมนุษยชนทั่วประเทศได้นำเสนอสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดจากโครงการรัฐและภาคธุรกิจ รวมทั้งทบทวนสถานการณ์และความคืบหน้าของแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนในฉบับที่ 2 ประกอบด้วย 4 หลัก ได้แก่ ด้านสิทธิแรงงานและความรับผิดชอบต่อสังคม ด้านการกำกับดูแลที่ดิน สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ ด้านการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และด้านการลงทุนข้ามพรมแดนและบรรษัทข้ามชาติ 

ตัวแทนภาคประชาชนได้นำเสนอภาพรวมสถานการณ์ผลกระทบภายใต้บริบทธุรกิจและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการละเมิดสิทธิที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและฝังรากลึกในโครงสร้างนโยบายของภาครัฐ จนเกิด “วิกฤติที่ซ้ำซ้อน” ส่งผลกระทบกว้างขวางในหลายมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการแย่งชิงทรัพยากรของชุมชน จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น อุตสาหกรรมสกัดแร่ อุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล และอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ส่งเสริมเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งทั้งหมดมีผลกระทบต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศและสร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม อันเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง

กลไกรับรองสิทธิของประชาชนในการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี ปลอดภัยและได้รับความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ รวมถึงสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการได้รับความยินยอมโดยอิสระ ล่วงหน้า และมีข้อมูลครบถ้วน (FPIC) ตามปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) ยังคงไม่ได้รับการบังคับใช้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ประชาชนและชุมชนต้องเผชิญกับผลกระทบจากนโยบายและโครงการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาด้านสิทธิแรงงาน การฟ้องปิดปาก (SLAPPs) และการหดตัวของพื้นที่ภาคประชาชน ซึ่งเป็นผลจากช่องว่างทางกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย และการรับผิดรับชอบของเจ้าหน้าที่รัฐที่จำกัดสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบของประชาชน ขณะเดียวกันยังขาดมาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP) ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น กลไกการยุติคดีในระยะต้น การคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Human Rights Defenders – EHRDs) และการป้องกันการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการคุกคามประชาชน

ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบข้ามพรมแดนและการลงทุนข้ามชาติยังคงเป็นความท้าทายสำคัญในบริบทสิทธิมนุษยชนของไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในภาคเกษตร พลังงาน และการสกัดแร่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนในวงกว้าง ทั้งในรูปของมลพิษข้ามพรมแดน และความล้มเหลวของภาคธุรกิจในการรับผิดรับชอบอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence – HRDD) ตามหลัก OECD และ UNGPs ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และความโปร่งใสด้านข้อมูล รวมถึงความล้มเหลวของรัฐและภาคธุรกิจในการปฏิบัติตามพันธกรณีนอกอาณาเขต (Extra-Territorial Obligations – ETOs) และรับประกันกลไกเยียวยาข้ามพรมแดนที่เข้าถึงได้จริง

การประชุมหารือระดับชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2568 ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อนเป็นเวทีแลกเปลี่ยนที่ยึดหลักฐานเชิงประจักษ์และประสบการณ์ปฏิบัติจริง เพื่อการสะท้อนบทเรียน การเรียนรู้ร่วมกัน และการรณรงค์ให้การนําแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน  ฉบับที่ 2 ไปสู่ปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้าใจและมีส่วนร่วมกับเครื่องมือทางนโยบายที่จะเกิดขึ้นใหม่อย่างรอบด้านและครบถ้วน เช่น การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) 

มาตรการต่อต้านการฟ้องปิดปาก (SLAPP) และความรับผิดชอบต่อพันธกรณีนอกอาณาเขต (ETOs) รวมถึงการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม (Just Transition) การคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (WHRDs) และการยอมรับผลกระทบที่แตกต่างกันตามเพศ วัย ชาติพันธุ์ อัตลักษณ์ และสถานะทางสังคม ซึ่งล้วนมีผลต่อความเสี่ยงและความสามารถในการเข้าถึงความยุติธรรม

งานในวันนี้ ภาคประชาชนได้เน้นย้ำข้อเรียกร้องที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นไปแล้วและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ภายใต้บริบทด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีต้องเร่งดำเนินการ เพื่อให้เกิดการดำเนินธุรกิจที่เคารพ ปกป้อง และเกิดการเยียวยาต่อระบบนิเวศ สังคม และวัฒนธรรมของประชาชน 

โดยเรียกร้องให้รัฐและภาคธุรกิจยกระดับความรับผิดชอบ การเปิดเผยข้อมูล การมีส่วนร่วมของชุมชน และกลไกการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเข้าถึงได้จริง โดยมีข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีดังนี้

  1. ด้านสิทธิแรงงานและความรับผิดชอบต่อสังคม
    • รัฐบาลควรจัดให้มีกลไกการบังคับให้ภาคเอกชน บรรษัทข้ามชาติ และบรรษัทผู้ซื้อสินค้าในประเทศต้นทางต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิแรงงานที่เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่คุณค่า รวมถึงจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงจากการไม่ปฏิบัติตามกฏหมายโดยเก็บเงินสมทบจากบรรษัทและนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อคุ้มครองลูกจ้างในกรณีที่ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ไม่ได้รับค่าจ้าง หรือเกิดความเสียหายจากการกระทำผิดของนายจ้าง
    • รัฐบาลควรเร่งรัดปรับปรุงกฏหมายแรงงานสัมพันธ์และกฏหมายคุ้มครองแรงงานให้ทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะการปรับปรุงและแยกกฏหมายต่อต้านการบังคับใช้แรงงานออกจากกฏหมายต่อต้านการค้ามนุษย์เพื่อให้เกิดการบังคับใช้ได้จริง รวมทั้งรับรองอนุสัญญามาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ ILO Convention 87, 98 และอนุสัญญาอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมเป็นตัวแทนคณะกรรมการในระดับชาติและระดับสากล
    • รัฐบาลและภาคเอกชนควรยืนยันว่าค่าใช้จ่ายในการจัดหางานและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเอกสารทั้งหมดควรเป็นความรับผิดชอบของนายจ้างหรือบริษัท ทั้งในกรณีแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศและการจ้างแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลและภาคเอกชนควรปรับฐานค่าจ้างจากค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำรงชีพตามหลักการค่าจ้างเพื่อชีวิต (Living Wage) เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
    • รัฐบาลควรปรับปรุงการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติโดยเปิดการจดทะเบียนตลอดปี จัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ และอนุญาตให้แรงงานข้ามชาติมีนายจ้างได้หลายคน รวมทั้งยืนยันว่าเอกสารประจำตัวที่รัฐออกให้แรงงานข้ามชาติสามารถใช้ยืนยันสิทธิบุคคลและทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ตามสิทธิ เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร การซื้อซิมการ์ด และการยืนยันรับสิทธิที่พึงได้รับทุกกรณี นอกจากนี้ ควรมีการแก้ไขกฎหมายประกันสังคมมาตรา 39 ให้ลูกจ้างที่เป็นแรงงานข้ามชาติสามารถสมทบเงินเข้าประกันสังคมได้เองโดยไม่ต้องมีนายจ้าง
  2. ด้านการกำกับดูแลที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
    • การปฏิรูปเชิงโครงสร้างต้องเริ่มต้นด้วยการยกเลิกมรดกทางกฎหมายและนโยบายจากยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่จำกัดสิทธิของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และกฎหมายอื่น ๆ ที่นำไปสู่การแย่งยึดที่ดินทำกินของประชาชน เช่น พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 เป็นต้น ควบคู่ไปกับการทบทวนกฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจรัฐอย่างกว้างขวางและอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน เช่น กฎหมายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และร่างกฎหมายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) นอกจากนี้ รัฐบาลควรผลักดันการออกกฎหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้เพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายที่ไม่เป็นธรรม พร้อมทั้งปฏิรูปโครงสร้างการบริหารราชการเพื่อเพิ่มความรับผิดชอบและประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย และที่สำคัญที่สุดคือ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากเจตจำนงของประชาชน ซึ่งต้องมีบทบัญญัติที่รับรองสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร สิทธิด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการคุ้มครองสิทธิในความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ (Climate Justice) ไว้อย่างชัดเจน
    • พร้อมทั้งการเสริมสร้างอำนาจให้แก่ภาคประชาชนเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืน รัฐต้องรับรองสิทธิของชุมชนในการกำหนดเจตจำนงและจัดการทรัพยากรในพื้นที่ของตนเองอย่างเป็นธรรม โดยต้องเริ่มต้นจากการยกเลิกแผนแม่บทแร่แห่งชาติ และยึดหลักการให้ความยินยอมโดยอิสระ ล่วงหน้า และได้รับข้อมูลครบถ้วน (Free, Prior and Informed Consent – FPIC) เป็นมาตรฐานในการดำเนินโครงการพัฒนาทุกประเภท นอกจากนี้ ต้องมีการประกันสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างมีความหมายในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังการดำเนินโครงการ พร้อมปฏิรูปกระบวนการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะให้มีความเป็นกลาง โดยให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้จัด เพื่อสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยและปราศจากการข่มขู่ โดยกระบวนการรับฟังใดที่ไม่เป็นธรรมหรือมีการคุกคามต้องถือเป็นโมฆะทางกฎหมาย และต้องยุติแนวคิดการกำหนดพื้นที่ชุมชนให้เป็น “เขตเสียสละ” (Sacrifice Zones) เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมหรือโครงการขนาดใหญ่โดยสิ้นเชิง
    • กระบวนการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพต้องได้รับการยกระดับให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ รัฐบาลต้องเร่งผลักดันการออกกฎหมายการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) และกฎหมายอากาศสะอาด เพื่อสร้างระบบการเข้าถึงข้อมูลมลพิษที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ควบคู่ไปกับการปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ให้ดำเนินการโดยองค์กรอิสระที่มีมาตรฐานสากล โดยกำหนดให้รายงานฉบับสมบูรณ์รวมถึงข้อมูลดิบ (Raw Data) ต้องถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อการตรวจสอบ นอกจากนี้ รัฐต้องจัดทำนโยบายระดับชาติว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือก่อนการกำหนดแผนหรือโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ และท้ายที่สุด ต้องสร้างระบบฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมร่วม (Single Data Source) ที่ทุกหน่วยงานต้องใช้งาน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและลดการปกปิดข้อมูล
    • ความรับผิดชอบของภาคธุรกิจต้องถูกกำกับด้วยหลักการที่ชัดเจนและบังคับใช้ได้อย่างจริงจัง โดยรัฐต้องนำ “หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle)” มาบังคับใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผู้สร้างความเสียหายต้องรับผิดชอบต่อต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันต้องบังคับใช้กฎหมายให้ภาคธุรกิจต้องจัดทำการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน (Human Rights & Environmental Due Diligence – HRDD) ตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และต้องปฏิบัติตามมาตรการต่อต้านการให้สินบนระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญคือ ต้องมีการจัดสรรงบประมาณจากผู้ก่อมลพิษเข้าสู่ “กองทุนฟื้นฟูเยียวยา” ที่บริหารจัดการโดยชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อให้กระบวนการเยียวยาและฟื้นฟูคลอบคลุมทั้งด้านสังคม และระบบนิเวศและสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่
  3. ด้านการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
    • รัฐบาลต้องสร้างหลักประกันทางกฎหมายเพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรมยกเลิกคดีหมิ่นประมาททางอาญาเพื่อปกป้องพื้นที่การใช้สิทธิในการแสดงออกในเรื่องประโยชน์สาธารณะของประชาน พร้อมกับการเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บคุ้มครองการดำเนินงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด  ควบคู่ไปกับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพื่อป้องกันการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือปิดปาก หรือที่เรียกว่าการฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) โดยศาลต้องกำหนดให้มีขั้นตอนการตรวจคำฟ้องเบื้องต้นเพื่อกลั่นกรองคดีที่ไม่มีมูลและมีเจตนาคุกคาม พร้อมทั้งกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนต่อผู้ฟ้องคดีโดยไม่สุจริต นอกจากนี้ ควรพิจารณาจัดตั้ง “ศาลสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเป็นศาลเพื่อพิจารณาคดีในประเด็นที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะเพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว
    • การสนับสนุนเชิงปฏิบัติก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน รัฐบาลควรจัดตั้ง “กองทุนช่วยเหลือนักปกป้องสิทธิมนุษยชน” ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว โดยแยกออกจากกองทุนยุติธรรมที่มีขั้นตอนซับซ้อน เพื่อใช้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ค่าทนายความ และเป็นเงินทุนสำหรับประกันตัวในกรณีฉุกเฉิน ขณะเดียวกันต้องมีการคุ้มครองพยานหลักฐานอย่างเป็นธรรม และต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการป้องกันการคุกคามทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ การติดตาม หรือการใช้ความรุนแรง และต้องรับรองสิทธิของชุมชนในการเลือกทนายความที่ไว้วางใจได้เอง เพื่อสร้างความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมและความปลอดภัยในการต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง
  4. ด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ
    • รัฐต้องสร้างกลไกที่มีสภาพบังคับในการติดตาม ตรวจสอบ และกำกับดูแลการลงทุนของภาคธุรกิจไทยในต่างประเทศ เพื่อป้องกันมิให้ไปสร้างผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมในประเทศอื่น ขณะเดียวกัน สำหรับการลงทุนในประเทศ ต้องมีการทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) โดยเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และควรยุติแผนการซื้อไฟฟ้าจากโครงการในต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตผู้คน เพื่อหันมาสนับสนุนพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืนภายในประเทศแทน ทั้งนี้ โครงการพัฒนาทุกประเภทจะต้องได้รับความยินยอมจากชุมชนตามหลักการ FPIC และต้องมีการปฏิรูปกระบวนการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้ดำเนินการโดยบุคคลที่สามที่เป็นกลางและได้มาตรฐานสากล เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมและเชื่อมั่นในผลการประเมิน
    • รัฐต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง โดยกำหนดให้มีการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary EIA) ที่มีมาตรฐานและดำเนินการโดยหน่วยงานอิสระที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน นอกจากนี้ รัฐบาลต้องดำเนินการเจรจาอย่างแข็งขันกับประเทศต้นทางเพื่อยุติการก่อมลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการทำเหมืองแร่ พร้อมทั้งสร้างระบบการตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Traceability of Vaulue chain) ที่โปร่งใสและเข้มแข็ง เพื่อจำกัดหรือระงับการนำเข้าสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่ก่อมลพิษและสร้างผลกระทบต่อประเทศไทย
    • สถาบันการเงินและธนาคารผู้ให้สินเชื่อต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการที่ตนสนับสนุน โดยต้องจัดทำนโยบายและกลไกการรับเรื่องร้องเรียนจากผู้ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน และธนาคารแห่งประเทศไทยควรออกเป็นมาตรการบังคับ ในระดับภูมิภาค รัฐต้องผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกลไกความร่วมมือในอาเซียนให้มีสภาพบังคับทางกฎหมาย ไม่ใช่เป็นเพียงเวทีหารือที่ปราศจากอำนาจในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ จะต้องมีกลไกทางกฎหมายที่สามารถดำเนินคดีกับบริษัทหรือผู้ถือหุ้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อตัดวงจรการใช้การลงทุนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย
    • การเสริมสร้างอำนาจให้แก่ประชาชนเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการกำกับดูแลการลงทุน รัฐควรยกระดับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมโดยนำแนวคิดสิทธิของแม่น้ำ ภูเขาป่า ทะเล มาปรับใช้ ซึ่งจะอนุญาตให้ประชาชนสามารถเป็นผู้ฟ้องร้องคดีแทนธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบได้ ขณะเดียวกัน ต้องยืนยันหลักการที่ว่าทรัพยากรแร่ต้องเป็นของประชาชน ซึ่งส่งผลให้ประชาชนต้องมีอำนาจในการร่วมตัดสินใจในกระบวนการ EIA อย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับฟังข้อมูล และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การรับประกันว่าชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองจะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมด โดยต้องมีการใช้ภาษาท้องถิ่นที่เข้าใจง่าย เพื่อสร้างความโปร่งใสและทำให้การมีส่วนร่วมเกิดขึ้นได้อย่างมีความหมายอย่างแท้จริง

แถลงการณ์เต็ม แถลงการณ์และข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี_สถานการณ์ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนและข้อเสนอแนะ_2025.pdf