ฉะเชิงเทรา, 12 ธันวาคม 2568 –  เครือข่ายฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์ และประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ร่วมสะท้อนข้อกังวลต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในประเด็นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลของ บริษัทบูรพาพาวเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด พร้อมย้ำชัดว่า โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลแห่งใหม่นี้ไม่จำเป็นต่อความต้องการพลังงานของคนในจังหวัด และอาจยิ่งซ้ำเติมปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

การลงพื้นที่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ เครือข่ายฯ และประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้ ยื่นหนังสือถึง กสม.เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568[1] เพื่อให้ตรวจสอบการดำเนินโครงการตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs) และเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินโครงการใด ๆ ของภาคเอกชน จะไม่ละเมิดสิทธิประชาชน หรือทำลายสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตในพื้นที่

กัญจน์ ทัตติยกุล ตัวแทนเครือข่าย ฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์ กล่าวว่า “การลงพื้นที่ของ กสม. ครั้งนี้ เกิดขึ้นจากคำร้องของพวกเรา ถือเป็นการใช้กลไกในประเทศที่ชุมชนใช้ได้ เพื่อให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนได้ลงพื้นที่จริงและรับรู้ข้อกังวลของชุมชนอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศต้องเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนที่เป็นธรรม รัฐควรเปิดพื้นที่ให้เสียงของพวกเราผู้ที่ได้รับผลกระทบได้มีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย”

ขณะเดียวกันชุมชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบทั้งโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ และส่วนต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการ ต่างสะท้อนว่าโครงการเหล่านี้ดำเนินไปโดยที่ประชาชนในพื้นที่ไม่มีโอกาสเข้าร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ทั้งที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง การใช้ประโยชน์ ทรัพยากรน้ำ การใช้ประโยชน์ที่ดิน ฐานเศรษฐกิจชุมชนโดยเฉพาะด้านการเกษตร สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี และคุณภาพชีวิตในระยะยาว

นอกจากนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ยังได้เข้าพบ นายกัมปนาท ชูสุวรรณ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะขนุน เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล โดยปัจจุบันตำบลเกาะขนุนมี โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลขนาด 105 เมกะวัตต์ และ โรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่ง รวมกำลังการผลิต 47.55 เมกะวัตต์ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า หากมีการเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลแห่งใหม่เพิ่มเติมในพื้นที่ อาจส่งผลกระทบซ้ำซ้อนต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชนในตำบลเกาะขนุนในอนาคต

นอกจากปัญหากระบวนการแล้ว โครงการนี้ยังสร้างคำถามสำคัญเรื่อง “ความจำเป็น”[2]  ในเชิงพลังงาน เนื่องจากปัจจุบันปริมาณการใช้ไฟฟ้าในภาคตะวันออกอยู่ที่ 7,519 เมกะวัตต์[3] ขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้ามีถึง 14,917.54 เมกะวัตต์ หรือมากกว่าเกือบสองเท่า ขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ใช้ไฟฟ้าเพียง 670.08 เมกะวัตต์ แต่กำลังการผลิตได้สูงถึง 3,428 เมกะวัตต์ หรือมากกว่า 5 เท่า ตัวเลขข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ระบบไฟฟ้าล้นเกินมากทั้งในระดับภูมิภาค และระดับจังหวัด  ทำให้การเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ไม่มีความจำเป็น และประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบอยู่ที่ 51,991.80 เมกะวัตต์ แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 34,568.30 เมกะวัตต์ จะพบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบนั้นมากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์ [3] ตัวเลขนี้คือการสำรองไฟฟ้าที่ล้นเกินจากการสร้างโรงไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็น 

อรรถพล พวงสกุล นักรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า “รายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการไม่ได้ครอบคลุมผลกระทบที่แท้จริงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะการประเมินความเสี่ยงจากฝุ่นพิษ PM2.5 และบทบาทของ NOx ในการก่อให้เกิดฝุ่นพิษ ในขั้นทุติยภูมิ ซึ่งจะสะสมในภาคตะวันออกที่เป็นเขตอุตสาหกรรม ภายใต้นโยบายระเบียงเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) กระบวนการรับฟังความคิดเห็นในอดีตเองก็ไม่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย ทำให้ EIA ฉบับนี้ล้าหลัง ไม่สอดคล้องกับหลัก Human Rights and Environmental Due Diligence (HRDD) ที่ภาคธุรกิจควรปฏิบัติ การลงพื้นที่ของคณะกรรมการสิทธิครั้งนี้เป็นความหวังของชุมชนว่า สิทธิของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการจะได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง และเสียงของประชาชนที่เดือดร้อนจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอย่างรอบด้าน”

โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ใช้เชื้อเพลิงก๊าซฟอสซิล (LNG) ซึ่งก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสามารถก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ น้ำ และดิน ในพื้นที่โดยรอบ นอกจากนี้โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลยังคงปล่อยสารมลพิษ เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ฝุ่น PM10P และ PM2.5 ซึ่งล้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด และมะเร็งในระยะยาว ขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากจากโครงการยังซ้ำเติมวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง

 หมายเหตุ

[1] https://www.facebook.com/share/p/17V9cYGvWG

[2] https://burapa-power.justpow.co/?fbclid=IwY2xjawOnq9dleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFuWm1KeUVGYUI1WFhHd1NYc3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHufIAwmKAHDNOdTbf_ZYnKhYV1KeOo8PjTzQNFkStlvy_7p9JqDVsL11tRx8_aem_rBVKE9C2_6YHqcS6rZZOSg

[3] https://justpow.co/article-needlessness-burapa-power

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ

มนูญ วงษ์มะเซาะห์ นักสื่อสารงานรณรงค์ด้านเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม กรีนพีซ ประเทศไทย

โทร. +66 6 2197 2543 อีเมล. [email protected]