ในโลกยุคปัจจุบัน ถ่านหินซึ่งเคยเป็นเชื้อเพลิงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก กำลังเป็นตัวการที่สร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างร้ายแรง การเผาไหม้ถ่านหินก่อให้เกิดวิกฤตโลกเดือดและสร้างมลพิษทางอากาศ ทั้งก๊าซเรือนกระจก ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์โดยตรง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมหาศาลจากการใช้ถ่านหิน ก็เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ทุกประเทศกำลังเผชิญ

ในบริบทของประเทศไทย การลดการพึ่งพาถ่านหินและเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนถือเป็นเป้าหมายที่สำคัญ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายด้าน เช่นการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจพลังงานหมุนเวียนการเปลี่ยนผ่านทางแรงงาน และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบพลังงาน แต่ด้วยการวางแผนที่ชัดเจนและการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 มีการจัดงานเสวนาในหัวข้อ “Beyond Coal: ก้าวข้ามถ่านหินสู่พลังงานสะอาดและการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม” ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมี รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คุณสุชาติ คล้ายแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสด้านพลังงาน โครงการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม, คุณสฤณี อาชาวนันทกุล กรรมการผู้จัดการด้านการพัฒนาความรู้ บริษัท ป่าสาละ จำกัด, รศ.ดร.กิริยา กุลกลการ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.ภาคภูมิ โลหวริตานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นวิทยากรภายในงานเสวนานี้ ซึ่งมีเนื้อหาและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ดังนี้

การพึ่งพาถ่านหินในประเทศไทย: โจทย์ใหญ่ที่ต้องแก้ไข

ปัจจุบันประเทศไทยยังคงพึ่งพาถ่านหินในระบบพลังงานอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภาคการผลิตไฟฟ้าที่ถ่านหินเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานหลัก โรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนบทบาทของถ่านหินในระบบพลังงานไทย อย่างไรก็ตาม ความพยายามลดการใช้ถ่านหินเริ่มต้นขึ้นผ่านแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับปี 2567 หรือ Power Development Plan (PDP 2024)  ซึ่งมีเป้าหมายลดสัดส่วนการใช้ถ่านหินในระบบไฟฟ้าลงให้เหลือเพียงร้อยละ 7 ภายในปี 2580 แม้ว่าสัดส่วนนี้จะลดลงจากปัจจุบัน แต่ก็ยังสูงเมื่อเทียบกับเป้าหมายในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี หรือสหราชอาณาจักร ที่วางแผนปลดระวางถ่านหินทั้งหมดภายในปี 2573

การปลดระวางถ่านหิน  ทางเลือกและทางรอดที่เป็นไปได้ 

ภายในงานเสวนานี้ รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ ได้นำการศึกษาฉากทัศน์การปลดระวางถ่านหินในประเทศไทยที่รวบรวมและวิเคราะห์จนได้ผลสรุปว่า ประเทศไทยมีทางเลือกหลายทางในการลดการพึ่งพาถ่านหิน พร้อมทั้งนำเสนอฉากทัศน์ที่น่าสนใจ 3 รูปแบบ โดยอิงจากร่างแผน PDP 2024

ฉากทัศน์ที่ 1: การดำเนินการตามแผน PDP 2593

ในฉากทัศน์นี้ ประเทศไทยยังคงใช้ถ่านหินในระบบพลังงานต่อไปจนถึงปี 2593 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการใช้ถ่านหินจนหมดจากเหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง แม้แนวทางนี้จะช่วยรักษาความมั่นคงทางพลังงานในระยะสั้น โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงต่อปัญหาการขาดแคลนพลังงาน แต่ในระยะยาว อาจเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ในมุมมองของดร.ภาคภูมิ โลหวริตานนท์ มีความคิดเห็นว่า   ฉากทัศน์นี้ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมในระยะยาว เนื่องจากประเทศไทยจะพลาดโอกาสในการเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค”

ฉากทัศน์ที่ 2: การทยอยเลิกใช้ถ่านหินภายในปี 2580

ฉากทัศน์นี้เสนอให้ทยอยเลิกใช้ถ่านหินตามแผน PDP โดยไม่ขยายเวลาเพิ่มเติม หมายความว่า การปลดระวางถ่านหินจะสำเร็จภายในปี 2580 แนวทางนี้ถือเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างการรักษาความมั่นคงทางพลังงานและการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รศ.ดร.กิริยา กุลกลการ ระบุว่า “การทยอยเลิกใช้ถ่านหินตามกรอบเวลานี้จะช่วยลดแรงกดดันจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ควรมุ่งเน้นการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนให้เพิ่มขึ้นควบคู่ไปด้วย”

ฉากทัศน์ที่ 3: การเร่งปลดระวางถ่านหินภายในปี 2573

ฉากทัศน์นี้คือการเร่งปลดระวางถ่านหินทั้งหมดภายในปี 2573 ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความท้าทายสูงที่สุด แต่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีนัยสำคัญ คุณสุชาติ คล้ายแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสด้านพลังงาน เสนอว่า “แนวทางนี้เหมาะสำหรับประเทศที่มีงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม แต่สำหรับประเทศไทย การเร่งปลดระวางอาจต้องควบคู่ไปกับการสร้างกองทุนสนับสนุนแรงงานและชุมชน”

นอกจากการนำเสนอแนวทางในการปลดระวางถ่านหินของประเทศไทยแล้ว หากเรานำบทเรียนจากบางประเทศที่มีการลงมือปลดระวางถ่านหิน จะทำให้เห็นหลายมิติที่ประเทศไทยจำเป็นจะต้องเตรียมการสู่การปฎิบัติจริง 

บทเรียนจากต่างประเทศ: ความสำเร็จและความล้มเหลว

ประเทศเยอรมนี: การเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรมและรอบคอบ เยอรมนีถือเป็นต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energiewende) ที่เน้นความยั่งยืนและความเป็นธรรมต่อสังคม การเปลี่ยนผ่านของเยอรมนีเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและมีกรอบเวลาที่แน่นอน ประเทศเยอรมนีได้วางแผนลดการพึ่งพาถ่านหินอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการพลังงานของประเทศและการรักษาสิ่งแวดล้อมหนึ่งในความสำเร็จสำคัญของเยอรมนีคือ การสนับสนุนแรงงานและชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างครอบคลุม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณมหาศาลเพื่อฝึกอบรมแรงงานในอุตสาหกรรมถ่านหินให้มีทักษะใหม่ พร้อมทั้งสร้างงานในภาคพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ พื้นที่เหมืองถ่านหินที่ถูกปลดระวางยังได้รับการฟื้นฟูให้เป็นเขตสีเขียวและแหล่งท่องเที่ยว เช่น เหมือง Garzweiler ที่ถูกเปลี่ยนเป็นอุทยานธรรมชาติ

บทเรียนสำคัญจากเยอรมนีคือ การเปลี่ยนผ่านพลังงานต้องมีกลไกสนับสนุนแรงงานที่ครอบคลุม เช่น การฝึกอบรมและการสร้างงานใหม่ การฟื้นฟูพื้นที่เหมืองเป็นพื้นที่สีเขียวหรือแหล่งเศรษฐกิจใหม่ ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชน และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชน เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เป้าหมายพลังงานสะอาดเป็นจริง

ประเทศออสเตรเลีย: ความเร่งรีบที่นำมาซึ่งผลกระทบทางสังคม ในออสเตรเลียการปิดเหมืองถ่านหินบางแห่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เนื่องจากความต้องการลดการปล่อยมลพิษและแรงกดดันจากนโยบายสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานที่ขาดการวางแผนล่วงหน้าได้สร้างผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนที่พึ่งพาเหมืองถ่านหินเป็นแหล่งรายได้หลัก ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ เหมืองถ่านหิน Hazelwood ในรัฐวิกตอเรีย ซึ่งถูกปิดในปี 2560 การปิดเหมืองถ่านหินในระยะเวลาอันสั้นทำให้แรงงานหลายพันคนตกงานทันที และชุมชนในพื้นที่นั้นต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลพยายามเสนอความช่วยเหลือ เช่น การจัดอบรมทักษะใหม่และการเยียวยาทางการเงิน แต่กระบวนการนี้กลับไม่ครอบคลุมและดำเนินการได้ล่าช้า

บทเรียนสำคัญจากออสเตรเลียคือ การปิดเหมืองหรือโรงไฟฟ้าถ่านหินต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบและมีแผนรองรับผลกระทบต่อชุมชน การเยียวยาที่มีประสิทธิภาพต้องรวมถึงการสร้างงานใหม่และการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว และการสื่อสารกับชุมชนเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสร้างความเข้าใจและลดความตึงเครียดในระหว่างกระบวนการ

ประเทศสหรัฐอเมริกาในนครนิวยอร์ก: การพลิกโฉมพื้นที่เก่าให้เป็นโอกาสใหม่ เป็นตัวอย่างที่ดีของการเปลี่ยนพื้นที่โรงไฟฟ้าถ่านหินเก่าให้กลายเป็นโอกาสใหม่ โรงไฟฟ้าถ่านหินหลายแห่งถูกปิดตัวลง เนื่องจากนโยบายลดการปล่อยมลพิษ รัฐบาลและภาคเอกชนได้ร่วมมือกันเปลี่ยนพื้นที่เหล่านี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว สถานที่เชิงพาณิชย์ หรือพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินฮันต์ลีย์ (Huntley) ในเมืองโทนาวันดา ที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองบัฟฟาโล (Buffalo) ในนครนิวยอร์ก หลังจากถูกปิดในปี 2559 ได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นศูนย์การค้าและพื้นที่ศิลปวัฒนธรรม โดยการลงทุนดังกล่าวไม่เพียงช่วยสร้างงานใหม่ให้กับชุมชน แต่ยังเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว

บทเรียนสำคัญจากรัฐนิวยอร์กคือ การเปลี่ยนพื้นที่โรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นโครงการพัฒนาที่มีมูลค่า เช่น แหล่งท่องเที่ยวหรือสถานที่พาณิชย์ ช่วยสร้างรายได้และงานใหม่ กระบวนการเปลี่ยนผ่านต้องการการลงทุนระยะยาวจากทั้งภาครัฐและเอกชน การมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการตัดสินใจ ช่วยสร้างความมั่นคงและยอมรับในท้องถิ่น

การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิม

ผลกระทบและโอกาสที่เกิดขึ้นจากการปลดระวางถ่านหินถือเป็นก้าวสำคัญที่สามารถเปลี่ยนโฉมระบบพลังงานของประเทศไทยได้อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีผลกระทบที่ต้องจัดการ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ เสริมสร้างความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

ด้านเศรษฐกิจ: การเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ในภาคพลังงาน

แม้ว่าการลดการใช้ถ่านหินอาจส่งผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่เหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหินที่แรงงานจำนวนมากพึ่งพาเป็นแหล่งรายได้หลัก แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียนกลับสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ตัวอย่าง การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ การสร้างกังหันลม และการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยมลพิษ แต่ยังสร้างงานในภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่ต้องการแรงงานที่มีทักษะหลากหลาย เช่น วิศวกรพลังงาน นักออกแบบระบบไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมบำรุง

ด้านสิ่งแวดล้อม: การลดมลพิษและฟื้นฟูระบบนิเวศ

ถ่านหินเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่มีการปล่อยมลพิษสูงที่สุด ทั้งในรูปของก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน การลดการใช้ถ่านหินจะช่วยลดมลพิษในระยะยาว และสนับสนุนการปฏิบัติตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) นอกจากนี้ การปลดระวางถ่านหินยังเปิดโอกาสให้พื้นที่เหมืองเก่าถูกฟื้นฟูให้กลายเป็นเขตสีเขียว เช่น การเปลี่ยนเหมืองแม่เมาะให้เป็นสวนพลังงานหมุนเวียน หรือเขตการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พื้นที่เหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น ในเยอรมนี พื้นที่เหมืองถ่านหิน Garzweiler ถูกพัฒนาให้เป็นอุทยานธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยว การฟื้นฟูพื้นที่เหมืองถ่านหินในสหรัฐอเมริกา เช่น เหมืองถ่านหินในรัฐเพนซิลเวเนีย ที่ถูกเปลี่ยนเป็นเขตสงวนธรรมชาติ ประเทศไทยสามารถนำแนวทางนี้มาปรับใช้ โดยเฉพาะในพื้นที่เหมืองถ่านหินแม่เมาะหรือพื้นที่เหมืองอื่นที่ยังคงมีศักยภาพในการพัฒนา

ด้านสังคม: การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความมั่นคงในชุมชน

ชุมชนที่พึ่งพาอุตสาหกรรมถ่านหิน เช่น ชุมชนรอบเหมืองแม่เมาะ มักเผชิญความเสี่ยงจากการปิดเหมืองและโรงไฟฟ้าโดยไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจน การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ดีควรคำนึงถึงความเป็นธรรมต่อชุมชน โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การฝึกอบรมแรงงาน และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ การเปลี่ยนผ่านจากถ่านหินสู่พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าจำเป็นต้องพัฒนาทักษะแรงงาน โดยการจัดหลักสูตรอบรมและพัฒนาทักษะ เช่น การติดตั้งระบบพลังงานหมุนเวียน หรือการบำรุงรักษาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดการสร้างงานในระดับชุมชน และการส่งเสริมโครงการพลังงานหมุนเวียนในชุมชน เช่น โครงการโซลาร์เซลล์สำหรับวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือชุมชนในช่วงเปลี่ยนผ่าน เช่น กองทุนสำหรับเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ หรือกองทุนสนับสนุนธุรกิจสีเขียว

การเปลี่ยนผ่านพลังงานในประเทศไทยไม่สามารถสำเร็จได้หากขาดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจากภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคม ภาครัฐควรมีบทบาทในการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและสนับสนุนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ภาคเอกชนสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะที่ประชาชนและชุมชนท้องถิ่นควรมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสนับสนุนในระดับพื้นที่

นโยบายปลดระวางถ่านหินต้องชัดเจนและเร่งด่วน

ข้อเสนอเชิงนโยบายจากงานเสวนาเพื่อให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านพลังงานในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกมิติ 

คุณสุชาติ คล้ายแก้ว ได้เสนอให้มีการจัดตั้ง “กองทุนพลังงานหมุนเวียนเพื่อการเปลี่ยนผ่าน” โดยกองทุนนี้จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชุมชนที่ได้รับผลกระทบและโรงไฟฟ้าที่ต้องการปรับเปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียนกองทุนดังกล่าวสามารถนำมาใช้ในหลากหลายมิติ เช่นการช่วยเหลือด้านการเงินแก่แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดเหมืองหรือโรงไฟฟ้าถ่านหิน และการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น ระบบกักเก็บพลังงานและพลังงานชีวมวล

ในขณะที่คุณสฤณี อาชาวนันทกุล ชี้ให้เห็นว่า การสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนควรเริ่มต้นตั้งแต่ระดับชุมชน เช่น การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ในครัวเรือนหรือการพัฒนาระบบพลังงานหมุนเวียนสำหรับวิสาหกิจชุมชน ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและสร้างรายได้ให้กับชุมชน โดยจะต้องมีกลไกสนับสนุนทั้งการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับโครงการพลังงานสะอาดในระดับชุมชนและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนเพื่อแบ่งปันเทคโนโลยีและทรัพยากร และการปรับปรุงนโยบายด้านการเงินเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้กับภาคเอกชนในการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน เช่น การลดหย่อนภาษีสำหรับบริษัทที่ลงทุนในพลังงานสะอาด หรือการออกพันธบัตรสีเขียว (Green Bonds) เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียน

รศ.ดร.กิริยา กุลกลการ กล่าวเสริมว่า การวางแผนเพื่อรองรับผลกระทบเหล่านี้จำเป็นต้องทำอย่างเป็นระบบ การเปลี่ยนผ่านพลังงานอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อแรงงานในอุตสาหกรรมถ่านหินและชุมชนที่พึ่งพาโรงไฟฟ้า ทั้งการจัดหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ให้กับแรงงาน เช่น ทักษะด้านพลังงานหมุนเวียน การติดตั้งและบำรุงรักษาโซลาร์เซลล์ และการพัฒนาพื้นที่เหมืองถ่านหินเดิมให้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ เช่น เขตอุตสาหกรรมสีเขียวหรือแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ

ดร.ภาคภูมิ โลหวริตานนท์ เน้นย้ำปิดท้ายว่า การปลดระวางถ่านหินจำเป็นต้องมีกรอบเวลาที่ชัดเจน โดยรัฐบาลควรประกาศเป้าหมายและแผนงานที่ชัดเจนแน่นอน เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถปรับตัวได้ทัน นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหินให้สูงขึ้น เพื่อเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าถ่านหิน และกระตุ้นให้เปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน มาตรการที่จะต้องดำเนินการ คือการไม่อนุญาตให้เปิดเหมืองถ่านหินหรือสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่และการเร่งรัดการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินก่อนกำหนด และสนับสนุนการเปลี่ยนโรงไฟฟ้าถ่านหินเดิมไปสู่พลังงานหมุนเวียน การเปลี่ยนผ่านพลังงานจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนทุกระดับ การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของพลังงานสะอาด และผลกระทบจากการใช้ถ่านหิน เป็นสิ่งจำเป็น อีกทั้งประเทศไทยยังสามารถเรียนรู้จากบทเรียนในต่างประเทศ และปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตน เพื่อสร้างระบบพลังงานที่ไม่เพียงสะอาดและยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังตอบสนองความต้องการของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริงอีกด้วย

อ่านข้อมูลเอกสารการเสวนาเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://drive.google.com/drive/folders/1-2j4BK9nQLe_BALwd3PpG69wPJILznvZ?usp=sharing