ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน สองคำที่ฟังดูแล้วเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำทางอำนาจ และท้าทายอย่างยิ่งว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่ภาคธุรกิจนั้นจะเดินหน้าควบคู่ไปกับการเคารพสิทธิมนุษยชนได้
แม้ประเทศไทยได้ให้คำมั่นสัญญาในหลักการชี้แนะแห่งสหประชาติด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชน เมื่อปี 2559 จากที่ประชุมในเวทีการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยตามกระบวนการ UPR (Universal Periodic Review) โดยรัฐบาลได้ให้คำมั่นโดยสมัครใจในหลักการสำคัญสามประการที่จะปกป้อง เคารพ และการเยียวยาเพื่อส่ง เสริมกลไกคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจากผลกระทบของการดำเนินการธุรกิจใด ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนระยะ 2 ของประเทศไทย (NAP 2023-2027) ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2566 ตามแนวทางของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UNGPs) แต่ในทางปฏิบัติแล้วนั้นสิทธิมนุษยชนของประชาชนทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศยังคงถูกคุกคามและละเมิดอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากโครงการพัฒนาระดับใหญ่ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และธุรกิจข้ามพรมแดน โดยแทบทุกกรณีชุมชนผู้คัดค้านและผู้ได้รับผลกระทบมักถูกกีดกันจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็น บ้างอาจถูกฟ้องปิดปาก (SLAPPs) หรือต้องทนกับมลพิษสะสมที่เป็นผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของตนโดยไม่ได้รับการปกป้องหรือเยียวยา สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า ธรรมาภิบาลและความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมของภาคธุรกิจนั้น เป็นไปได้หรือไม่ภายใต้เสาหลักด้านการเคารพสิทธิมนุษยชนของภาคธุรกิจ

หากนับตั้งแต่ระยะที่หนึ่งที่ประเทศไทยประกาศแผน NAP ออกมาใช้ตั้งแต่ปี 2562 (ระยะที่ 1 พ.ศ. 2562-2565) นับเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ที่รัฐบาลไทยมุ่งกำหนดหน้าที่ของรัฐในการคุ้มครองประชาชน (Protect) กำหนดความคาดหวังต่อภาคธุรกิจให้ประกอบธุรกิจด้วยความเคารพสิทธิมนุษยชน (Respect) และกำหนดหน้าที่ของภาครัฐและภาคธุรกิจในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากการประกอบธุรกิจ (Remedy) ซึ่งทั้งสามด้านนี้เป็นสามหลักการสำคัญภายใต้กรอบแนวทาง UNGPs ทว่าสถานการณ์จริงนั้นไปถึงไหน และเกิดอะไรขึ้นบ้างในด้านสิทธิมนุษยชนของชุมชน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา กรีนพีซ ประเทศไทยร่วมกับภาคประชาสังคมด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม 17 องค์กร ได้ร่วมกันจัดเวที “สถานการณ์ธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ‘เปลี่ยนหลักการสู่การปฏิบัติ ” เพื่อประเมินความสำเร็จ ความท้าทาย และทิศทางของแผน NAP ให้มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยหนึ่งในวงเสวนา “สถานการณ์ที่ต้องจับตา กรณีธุรกิจและสิทธิมนุษชน” ได้เจาะลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงต่อชุมชน ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากแผนปฏิบัติการแห่งชาติของรัฐ
ป่าไม้ ที่ดิน เกษตรกรรม และการฟอกเขียว
กลุ่มผู้ที่เปราะบางทางด้านสิทธิมักจะเป็นกลุ่มที่ถูกคุกคามจากนโยบายรัฐมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ที่รัฐมองว่าพื้นที่ป่าคือพื้นที่ยุทธศาสตร์สู่ Net Zero ทั้งการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน และลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate mitigation) แล้วมุมมองเช่นนี้กำลังส่งผลกระทบอย่างไรบ้างต่อสิทธิชุมชน
“ขณะนี้อุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกต้องการพื้นที่มหาศาลเพื่อปลูกพืชอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และได้ผลักดันให้ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์อาจต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจากไร่หมุนเวียน หรือเกษตรยั่งยืน ไปสู่เกษตรพันธสัญญาเพื่อผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีสัญญาผูกมัด ซึ่งมีนักกฎหมายตีความว่าไม่เป็นธรรม และทำให้ที่ดินหลุดมือได้ในหลายกรณี” จริยา กิจวิถี กองเลขาของสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) กล่าวถึงภาพรวมของปัญหา “นอกจากนี้พื้นที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังเชื่อมโยงกับการก่อมลพิษ PM2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นวิกฤตสภาพภูมิอากาศของโลก แต่การแก้ปัญหาก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรมเกษตรกลับกลายเป็นการซื้อคาร์บอนเครดิต และซื้อพื้นที่กักเก็บคาร์บอนที่ป่าชายเลนและป่าชุมชน นั่นหมายถึง การก่อคาร์บอนเกิดขึ้นบริเวณหนึ่งแต่กลับอาศัยโครงการกักเก็บคาร์บอนอีกบริเวณหนึ่ง เท่ากับว่าคาร์บอนไม่ได้ลดลงเลย สิ่งนี้เรียกว่ากลลวงการฟอกเขียว”
จริยา เล่าเสริมถึงกฎหมายที่เกี่ยวโยงส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนมือเจ้าของป่าชุมชนสู่เจ้าของโครงการคาร์บอนเครดิตว่า “ตอนนี้พ.ร.บ.ป่าชุมชนก็มีปัญหา เพราะถูกนำส่งเสริมให้ป่าชุมชนเป็นคาร์บอนเครดิต ไม่ได้มีการปลูกป่าเพิ่ม แต่เป็นป่าเดิมที่มีอยู่ สิ่งที่ชาวบ้านเจ้าของป่าได้รับตอบแทนเป็นเศษเงินเพียงน้อยนิด นี่คือการฟอกเขียวและการสูญเสียที่ดินและป่า เนื่องจากสัญญาระบุว่าไม่สามารถแตะต้องป่าได้ นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ธุรกิจกำลังส่งผลกระทบต่อที่ดิน”
“รัฐบอกเราว่าถ่านหินเป็นพลังงานสกปรก และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด แต่ปัญหาที่ชุมชนกำลังเผชิญจากโครงการพลังงานคือ การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่ไม่เป็นธรรมต่อพื้นที่ของชุมชน เช่น โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าที่ต้องการก่อสร้างบนที่ดินทำกินของชุมชน ทำให้เกิดการเวนคืนที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลให้เราต้องสูญเสียที่ดินและวิถีชีวิต การให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ อย่างรอบด้านและเป็นธรรมต่อชุมชนจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเคารพสิทธิมนุษยชน” จริยา กล่าว
มนูญ วงษ์มะเซาห์ จากกรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวสะท้อนถึงปัญหาการเปลี่ยนผ่านพลังงานของรัฐที่ยังคงอยู่ในกรอบวาทกรรมว่า

“คำว่าเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของภาครัฐและภาคธุรกิจกับเรานั้นไม่เหมือนกัน เพราะคำว่าสะอาดของพวกเขามันปราศจากความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ”
แม้ประเทศไทยจะประกาศบนเวที COP30 (การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30) ว่าจะเดินหน้าสู่พลังงานสะอาด แต่สิ่งที่รัฐบาลหมายถึงกลับเป็นพลังงานจากเขื่อน นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) หรือการสร้างวาทกรรมเทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนผ่าน เช่น เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนมหาศาล นโยบายเช่นนี้กลับละเลยหลักการสำคัญคือ การมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายของประชาชน อีกทั้งยังเสี่ยงซ้ำเติมวิกฤตเดิมให้รุนแรงยิ่งขึ้น จนก่อให้เกิดวิกฤตสิทธิมนุษยชนในระดับที่ลึกและกว้างกว่าเดิม
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่เราต้องเร่งพิจารณา คือการทบทวนสาระหลักของแผน NAP ให้สอดคล้องกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังคุกคามสิทธิมนุษยชนของประชาชนซึ่งทุกคนควรมีสิทธิในการดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยท่ามกลางวิกฤตโลกเดือดที่ส่งผลให้ภัยพิบัติรุนแรงขึ้น เราจำเป็นต้องเร่งปรับเปลี่ยนแผนปฏิบัติการด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนในระยะที่ 2 นี้ ให้ครอบคลุมรูปแบบการทำธุรกิจที่ไม่สร้างผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมสร้างการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม และความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นได้จริงในสังคมไทย
จาก EEC สู่ SEC: การพัฒนาประเทศด้วยพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ
ชุมชน นักวิชาการ และเครือข่ายภาคประชาสังคมต่างส่งเสียงเตือนไปในทางเดียวกันว่า SEC และโครงการแลนด์บริดจ์ หรือ ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) คือการซ้ำรอยบทเรียนที่ไม่เคยถูกเรียนรู้ของกลไกจากแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และขณะนี้ภาคใต้โดยเฉพาะพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่อง SEC ได้แก่ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช กำลังถูกละเมิดสิทธิชุมชนภายใต้ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของรัฐที่เห็นผลประโยชน์จากการลงทุนของต่างชาติมากกว่าความเป็นอยู่ของประชาชน
“โครงการแลนด์บริดจ์เป็นตัวขับเคลื่อน SEC ซึ่งกำลังจะเจริญรอยตามความฉิบหายของ EEC และรายต่อไปที่จะเกิดขึ้นตามคือระเบียงเขตเศรษฐกิจ NEC ที่ภาคเหนือ โดยจังหวัดที่ถูกเลือกคือ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง หากประเทศไทยยังไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 และไม่ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติที่บังคับใช้เมื่อปี 2560” สมโชค จุงจาตุรันต์ เครือข่ายปกป้องแผ่นดิน ชุมพร – ระนอง กล่าว
สมโชค อธิบายว่า “เราไม่ได้จะเป็นประเทศมหาอำนาจจากโครงการแลนด์บริดจ์ หรือทำให้สิงคโปร์พ่ายแพ้ทางเศรษฐกิจ ความเป็นจริงมีแต่ความไม่คุ้มค่า เนื่องจากความลึกของพื้นทะเลแค่ 17-19 เมตร ท่าเรือจึงไม่ได้รองรับเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ ผลศึกษาศูนย์บริการวิชาการจุฬาฯระบุว่า แลนด์บริดจ์ไม่มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์และจะส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน แต่ความฉลาดของรัฐบาลคือ เลือกหยิบข้อมูลจากรายงานจากสภาพัฒน์ที่บอกว่าให้มีการจัดทำระเบียงเศรษฐกิจพิเศษและออกกฎหมายเป็นร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือ พ.ร.บ. SEC ซึ่งมีเนื้อหาไม่ต่างจาก EEC ดังนั้น SEC จึงเป็นมรดกบาปจากยุค คสช. และเป็นพ.ร.บ.ขายชาติที่ให้อภิสิทธิที่ดินกับนักลงทุน 99 ปี เอื้อต่อการร่วมเปลี่ยนแปลงผังเมืองได้ ให้สิทธินำเข้าแรงงานได้ไม่จำกัดจำนวน ขณะที่คนไทยจำนวนมากยังไม่มีเอกสารสิทธิที่ดิน คนไทยอยู่ตรงไหนกันแน่ในสมการ SEC”
นี่คือความย้อนแย้งของรัฐบาล ที่มุ่งผลักดันประเทศสู่การลงทุน และให้สิทธิเสรีภาพกับทุนข้ามชาติ แต่กลับละเมิดสิทธิ ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตประชาชนทั่วทั้งประเทศ “ทำไมต้องพัฒนาด้วยแลนด์บริดจ์ ทำไมไม่เน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ให้คนในชุมชนทุกคนได้รับผลประโยชน์ คาร์บอนต่ำ และนำไปสู่ Real Zero ไม่ใช่แค่ Net Zero เราจึงออกมาสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิชุมชนและสิทธิมนุษยชน” สมโชค กล่าว

สิทธิของแรงงานข้ามแดน
ขณะที่ทุนต่างชาติจะสามารถเข้ามาลงทุนในไทยได้อย่างเสรีถึง 99 ปีดังที่พ.ร.บ.SEC ได้วางรากฐานที่เอื้อเอาไว้ แต่แรงงานคนไทยและต่างชาติกลับถูกกำหนดภาระค่าใช้จ่ายในการไปทำงานต่างประเทศราคาสูง และแทบจะไม่มีโอกาสรวมตัวเพื่อเรียกร้องสิทธิ
“แรงงานไทยที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ และแรงงานจากต่างประเทศที่ต้องการมาที่ไทยต้องจ่ายเกือบ 70,000 บาท เพื่อไปทำงาน ซึ่งภาระค่าใช้จ่ายนี้ถูกผลักมาที่ตัวแรงงาน” นาตยา เพชรรัตน์ ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา (Stella Maris) กล่าว “ภาระค่าใช้จ่ายนี้ควรจะเป็นความรับผิดชอบของภาครัฐและธุรกิจด้วย แม้ว่าบริษัทจะบอกว่าให้ลูกจ้างออกไปก่อนส่วนหนึ่งและบริษัทจะออกให้ส่วนหนึ่ง แต่ภายหลังส่วนที่บริษัทบอกจะคืนให้กลับถูกนำมาขู่ฟ้องปิดปากลูกจ้าง ลูกจ้างจึงกลายเป็นหนี้ต่อบริษัท ค่าใช้จ่ายทางเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการไปทำงานนั้นไม่ควรเป็นภาระของลูกจ้าง แต่ควรเป็นภาระของนายจ้างที่ต้องดูแลผู้ที่ตนจัดหามา รัฐต้องมีข้อกำหนดนี้กับธุรกิจให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิต่อแรงงาน”
นาตยา ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงให้กับลูกจ้าง “มีกรณีที่แม้ลูกจ้างจะยื่นฟ้องต่อศาลให้ดำเนินคดี และศาลได้พิจารณาตัดสินให้นายจ้างเยียวยาตั้งแต่ปี 2563 แต่จนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ได้เงินคืน เงินจากกองทุนประกันความเสี่ยงจะช่วยในส่วนนี้ก่อนได้ โดยที่ผู้สมทบกองทุนนี้คือบริษัทหรือนายจ้างที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าหรือส่งออกแรงงาน เพื่อให้เมื่อมีคำสั่งศาลมาแล้ว แม้จะยังไม่ได้รับเงินจากนายจ้างทันที ก็จะยังสามารถใช้เงินจากกองทุนนี้เพื่อเยียวยาก่อนได้” นาตยา กล่าว
นอกจากนี้แรงงานต่างชาติในไทยยังไม่ได้มีสิทธิมีเสียงสามารถรวมกลุ่มกันเรียกร้อง ซึ่งนอกจากจะถูกเพ่งเล็งโดยสังคมแล้ว นาตยา อธิบายว่าเป็นเพราะพ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์นั้นมีความเก่าแก่ คือเป็นกฎหมายฉบับตั้งแต่ปี 2518 และแรงงานข้ามชาติไม่สามารถส่งเสียงได้ด้วยตนเอง ต้องพึ่งพาองค์กรภาคประชาสังคมเพื่อช่วยพูดแทน “แรงงานข้ามชาติในไทยจึงไม่มีสิทธิและเสียง ทำได้แค่พูดผ่านคนอื่น” นี่คือหนึ่งในอุปสรรคที่เกิดขึ้นต่อการก้าวไปสู่ธุรกิจและสิทธิมนุษยชน
“คนที่คัดค้าน คือ คนที่ถ่วงความเจริญ”
“การคุกคามในปัจจุบันนี้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งมาจากทัศนคติและขาดความเข้าใจเรื่องสิทธิของหน่วยงานราชการ เมื่อไม่เคยมีการถูกพูดถึงเรื่องสิทธิในหน่วยงาน จึงมีความเห็นว่าการลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของประชาชนในพื้นที่เป็นการถ่วงความเจริญต่อการพัฒนาโครงการ” สุเมธ เหรียญพงษ์นาม
นาม กลุ่มปราจีนบุรีเข้มแข็ง ให้ความเห็นถึงหนึ่งในที่มาของการคุกคามนักสิทธิ สุเมธ เล่าว่าชุมชนในพื้นที่โรงงานหรือโครงการพัฒนาต่าง ๆ มักไม่รู้ถึงข้อมูลก่อนเกิดโครงการ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเป็นโรงงานอะไร แต่มักมารู้เมื่อเกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
“ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เพราะเขามีทั้งนายพล นายทหาร ทั้งรัฐมนตรี” สุเมธ กล่าวว่านี่คือความเห็นและความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของชุมชนต่อโรงงานที่สร้างผลกระทบในพื้นที่ “เมื่อเราไปยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมรายชื่อคนในชุมชนอีก 800 คน ว่าเราได้รับผลกระทบจากกลิ่นเหม็น ผมกลับถูกฟ้องจำนวน 50 ล้าน ทั้งคดีอาญาและแพ่งจากสองศาล คือ ศาลปราจีนบุรี และศาลที่รัชดา นี่คือการปิดปากที่คน 800 คนต้องเงียบกริบเพราะถูกฟ้อง เราไม่สามารถพูดได้แม้แต่บอกว่าเหม็นและขอให้แก้ไขปัญหา แต่เสียงที่กลับดังขึ้นพอผมกลับมาบ้านคือเสียงกระสุนปืน 4 นัด เสียงระเบิดปิงปอง”
จนขณะนี้ชุมชนยังต่อสู้อยู่และยังถูกคุกคามไม่สิ้นสุด แต่มีภัยคุกคามใหม่คือ ทุนจีนเถื่อน หรือจีนเทา สุเมธเล่าว่ากลุ่มจีนพยามใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายทั้งการติดตาม ข่มขู่และคุกคาม “จีนมีกองกำลังอยู่ในพื้นที่ นำรถมาปิดหัวปิดท้ายรถเราขณะที่กำลังพานักข่าวไปดูพื้นที่ เราไปไหนก็มีรถวิ่งตาม มีการนำเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์นอกโรงงาน ห้ามถ่ายรูปในบริเวณ ผมอยากถามว่า คนเหล่านี้จะสร้างกองกำลังได้อย่างไรในประเทศไทยที่มีกฎหมาย ทำไมคนเหล่านี้ได้รับอภิสิทธิในการทำธุรกิจในประเทศ แล้วมาคุกคามเราได้โดยไม่ต้องเคารพกฎหมายใด ๆ นั่นหมายความว่า เราไม่ได้ถูกคุกคามสิทธิโดยนักธุรกิจอย่างเดียว แต่เกิดการคอรัปชั่นในเครือราชการ ผมถือว่าสิ่งนี้คืออาชญากรรม ซึ่งมีอาชญากรเป็นทั้งหน่วยงานธุรกิจและราชการช่วยกันในการคุกคามสิทธิเรา” โดยสุเมธให้ข้อมูลเสริมที่น่าตกใจว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีนั้นมีคนจีนนั่งเป็นที่ปรึกษา และตั้งคำถามว่า ความหวังของประชาชนจะอยู่ตรงไหนในระบบความเป็นธรรมของรัฐ
สิ่งที่น่าเศร้าคืออำนาจรัฐที่มีภายใต้หน่วยงานราชการต่าง ๆ กลับถูกนำไปใช้ปกป้องกลุ่มทุนผู้คุกคาม แทนที่จะปกป้องสิทธิของประชาชนผู้ถูกละเมิด และยิ่งทำให้ชุมชนที่เรียกร้องสิทธิยิ่งไม่มีพื้นที่ปลอดภัย ทั้งพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ส่งเสียง
การลงทุนข้ามแดนและผลกระทบข้ามแดน
“แร่แรร์เอิร์ธคือชิ้นส่วนสำคัญในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ของเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ตั้งแต่แบตเตอร์รีไปจนถึงเซมิคอนดักเตอร์ แม้จะสะอาดในกระบวนการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน แต่ต้นน้ำกลับสร้างผลกระทบจากการทำเหมือง” ธีระชัย ศาลเจริญกิจถาวร กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง (TMB) กล่าวถึงประเด็นปัญหาด้านการลงทุนข้ามพรมแดนและบรรษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมืองแร่แรร์เอิร์ธที่บริษัททุนกำลังเล็งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเป้าหมายทางทรัพยากร
การลงนามข้อตกลง MOU “แร่แรร์เอิร์ธ” ระหว่างไทย-สหรัฐฯ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น ยิ่งทำให้ประชาชนสงสัยว่า วิกฤตแม่น้ำปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองแรร์เอิร์ธ กก-สาย-รวก-โขง ยังไม่ถูกแก้ไข หรือยอมรับถึงผลกระทบจากภาครัฐ แต่กลับเริ่มทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ในการร่วมมือกันพัฒนาอุตสาหกรรม “แร่หายาก” เช่นนี้แล้ว การคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของประชาชนอยู่ตรงไหนบนผลประโยชน์และการลงทุนที่รัฐไทยมุ่งแสวงหาโดยอ้างการเติบโตของเศรษฐกิจ
“การคัดค้านเรื่องเขื่อนในแม่น้ำโขงเรายังพอรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ แต่พอเป็นเรื่องเหมืองแร่กลับกลายเป็นการปล่อยมลพิษที่ไม่มีใครกำกับ วิธีการทำเหมืองที่ไร้มาตรฐานทำให้ปลายน้ำอย่างอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องเจอกับน้ำท่วมโคลนถล่มมาทุกปี สารหนูที่ตรวจพบในแม่น้ำสามสายหลักก็กำลังไหลลงสู่แม่น้ำโขง และกำลังปนเปื้อนในแหล่งอาหาร ประชาชนจึงต้องการเรียกร้องให้หยุดเหมืองให้ได้” ไพรินทร์ เสาะสาย มูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (R&R) กล่าวเสริม
“แผน NAP จะปกป้องเราได้จริงหรือ สถานการณ์ทางสิ่งแวดล้อมได้เปลี่ยนไปมาก ทำให้แผน NAP นั้นล้าหลัง และตอนนี้มาตรฐานทางกลไกทางกฎหมายเราดูต่ำกว่าเดิมในการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) ตอนนี้มีเรื่องการลงทุนของธุรกิจสีเทา มีเรื่องการลงทุนข้ามชาติที่ผิดกฎหมาย จึงทำให้กลไกการร้องเรียนนั้นไม่ตอบสนองกับสถานการณ์การลงทุนข้ามพรมแดนในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกในการกำกับหน่วยงานรัฐของไทยในการปกป้องสิทธิมนุษยชนจริง ๆ” ไพรินทร์ กล่าวถึงความท้าทายของแผน NAP และธุรกิจข้ามชาติที่ NAP ไม่ตอบโจทย์ “แม้เราจะเห็นกับตา และเราเห็นต้นเหตุของมลพิษ แต่การทำงานของรัฐยังไม่เกิดผล รัฐไม่ได้ทำหน้าที่นี้เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน ไม่ได้เห็นแอคชั่นที่แท้จริงในการเร่งเจรจาเพื่อยุติเหมือง ”
“ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ภาคเอกชนออกมารับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในตลอดห่วงโซ่อุปทานของตนเอง และมีกำแพงนิติบุคคลมาเกี่ยวข้องที่ทำให้เราไม่สามารถเอาผิดบริษัทแม่ได้ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมามีการถกเถียงว่า ต้องมีร่างอนุสัญญาในการกำกับให้ภาคธุรกิจต้องรับผิดชอบ แต่มีแรงต้านค่อนข้างสูง” ธีระชัย กล่าว
การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ควรต้องสูญเสียต้นทุนด้านสุขภาพ วิถีชีวิต และสิทธิมนุษยชนของประชาชน แต่ควรจะเติบโตด้วยความสอดคล้องกับความยุติธรรม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม แผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ฉบับที่ 2 ของประเทศไทยจะเป็นแผนที่มุ่งปกป้องสิทธิมนุษชนอย่างแท้จริง จะต้องมาจากเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นของรัฐในการเห็นประชาชนเหนือผลประโยชน์ของทุนอุตสาหกรรม นี่จะเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลไทยทั้งในรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งครั้งต่อไป


