ชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์มีบทบาทสำคัญในการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน มีองค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพจากประสบการณ์และความเข้าใจที่สั่งสมและถ่ายทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
“ชาวเล” เป็นคำเรียกของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตผูกติดอยู่กับทะเล มีอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาที่ยังรอการค้นพบและบันทึกในฐานะประชากรส่วนหนึ่งท่ามกลางความหลากหลายในขอบเขตประเทศไทย ชาวเลในไทยมี 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ชาวมอแกน ชาวมอแกลน และชาวอูรักลาโว้ย
9 สิงหาคม วันสากลว่าด้วยชนเผ่าพื้นเมืองของเดิมของโลก (International Day of the World’s Indigenous Peoples) ปีนี้ เราจะพามารู้จักกับ “ชาวมอแกน” หนึ่งในกลุ่มชาวเลที่กำลังถูกพูดถึงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากวิถีชีวิตของพวกเขากำลังประสบกับภัยคุกคามขนาดใหญ่อันเนื่องมาจากนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและความทะเยอทะยานของไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งของโลกภายใต้ชื่อ “แลนด์บริดจ์”
ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Traditional Knowledge) ของชาวมอแกน กับวิถีชีวิตผูกพันกับทะเล
- ความรู้เรื่องการต่อเรือของชาวมอแกนที่กำลังหายไป
“ก่าบาง” (Kabang) เป็นคำเรียก “เรือ” ของชาวมอแกน ซึ่งเป็นทั้งบ้านและพาหนะในการเดินทางเพื่อหาสัตว์ทะเล ก่าบางเป็นเรือขุดเสริมกราบเรือที่ทำจากไม้ระกำ มีน้ำหนักเบาและลอยน้ำได้ ตัวเรือมีรอยหยักเว้าที่หัวและท้ายเรือสำหรับปีนขึ้นลงเรือ
การเลือกชนิดไม้ การลำเลียงท่อนซุงจากบนเขาลงสู่พื้นชายหาดโดยไม่ทำลายป่า การขุดเนื้อไม้ให้ได้ความกว้างที่เหมาะสม และการใช้เครื่องมืออย่างง่าย เช่น ขวานและสิ่ว มาขุดเจาะประกอบกันเป็นเรือโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียวสะท้อนถึงภูมิปัญญาของชาวเลที่มีมาตั้งแต่บรรพกาลได้อย่างดี

อย่างไรก็ตาม ความรู้ดั้งเดิมเกี่ยวกับการสร้างก่าบางกำลังเสี่ยงต่อการสูญหายและไม่มีผู้สืบทอด เนื่องจากนโยบายการพัฒนาและการอนุรักษ์ที่ทำแบบบนลงล่าง (top-down) ทำให้ชาวมอแกนต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งข้อกำหนดในด้านการอนุรักษ์ เช่น ห้ามตัดไม้ในเขตป่าอุทยานแห่งชาติทำให้ชาวมอแกนห่างหายจากความรู้ในการสร้างเรือมากขึ้น และหันมาใช้เรือไม้กระดานแทนเรือก่าบางความผูกพันที่มีต่อเรือก็ลดลงไปด้วย
- ความรู้เรื่อง “คลื่น 7 ชั้น” หรือ “ละบูน” (La-boon) สัญญาณเตือนภัยธรรมชาติ
คลื่น 7 ชั้นเป็นภูมิปัญญาของชาวมอแกน “ผู้อ่านน้ำจำลม อ่านฟ้าจำดาว” ที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ และส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ชาวมอแกนเรียกคลื่นที่ใหญ่และอันตรายมากที่สุดว่า “ละบูน” หรือสึนามิ โดยให้สังเกตว่า หากน้ำทะเลแห้งลงอย่างฉับพลันพวกเขาจะต้องวิ่งขึ้นที่สูงเพื่อความปลอดภัย ความรู้และความสามารถในการสังเกตธรรมชาติได้สร้างระบบการเตือนภัยธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยี
รัฐไทยไม่เคยสนใจความรู้นี้จนกระทั่งเกิดสึนามิในปี 2547 ชาวเลจึงมีตัวตนในสังคมไทย ในฐานะคนเตือนภัยและนำนักท่องเที่ยวขึ้นที่สูงได้อย่างปลอดภัย ทว่าเรื่องราวและภูมิปัญญาของขาวมอแกนก็ค่อย ๆ เงียบหายไป

- Lakao Ta-ao: ภูมิปัญญาว่าด้วยเรื่องทะเลของชาวมอแกน
ชาวมอแกนสามารถดำน้ำลึกได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ พวกเขารู้เรื่องชนิดพันธุ์สัตว์ทะเล วัฎจักรชีวิต และถิ่นที่อยู่ของสัตว์ทะเลที่แตกต่างกัน
เครื่องมือประมงของชาวมอแกนเป็นเครื่องมือประมงอย่างง่าย เช่น หอกตกปลา หรือบางครั้งก็ใช้มือเปล่า ชาวมอแกนจับสัตว์น้ำ เช่น แมงกะพรุน เม่นทะเล ปู และปลิงทะเล ในปริมาณไม่มากและจับเพียงเพื่อยังชีพเท่านั้น นักมานุษยวิทยาจึงกล่าวว่า “มอแกนว่าเป็นนักจับปลามากกว่าชาวประมง” เพราะสำหรับมอแกนแล้ว พวกเขาสามารถออกเรือหาปลาและสัตว์น้ำจากทะเลได้เลย โดยไม่ต้องอาศัยการถนอมอาหารหรือเครื่องทำความเย็น การหาปลาแบบดั้งเดิมของชาวมอแกนจึงไม่ได้จับเพื่อนำมาขายแบบอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ การใช้เครื่องประมงที่ทันสมัยทำให้ชาวมอแกนต้องลงทุนเยอะ เสียเงินในการดูรักษาและซ่อมแซมเครื่องมือ และยังต้องหาที่เก็บอุปกรณ์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพวกเขาที่ใช้เรือเป็นทั้งบ้านและยานพาหนะ พวกเขาจึงไม่เก็บข้าวของที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ การจับทรัพยากรสัตว์น้ำแต่ละชนิดยังหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบริโภคที่ล้นเกินจนเกิดการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ
วิถีชีวิตของชาวยิปซีทะเลที่เคลื่อนย้ายไปเรื่อย ๆ ตามฤดูกาล ไม่อยู่ติดกับที่ จึงเอื้อต่อการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
การที่ชาวมอแกนมีวิถีชึวิตเกี่ยวพันกับทะเลทำให้พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลไปโดยปริยาย วอลเทอร์ ไวท์ (Walter White) มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางมายังกลุ่มเกาะมะริดเมื่อ 100 ปีก่อน ได้บันทึกภูมิปัญญาของชาวมอแกนไว้ว่า
การที่ชาวมอแกนแยกประเภทหอยขนาดเล็กกับสัตว์ทะเลตัวจิ๋วอย่างระมัดระวังนั้นมีนัยยะสำคัญ นั่นหมายความว่าพวกเขามีระบบการตั้งชื่อหอย และมีความรู้เกี่ยวกับชนิดพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านหอยคงจะดีใจมากและคุ้มค่าหากได้เดินทางมาเยือนหมู่เกาะนี้ นักวิทยาศาสตร์อาจได้ประโยชน์จากคนกลุ่มนี้ และหากความรู้เหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ ก็อาจไม่สามารถหาได้อีกเลย”

- Lakao Kotan: พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวมอแกน
แม้ชาวมอแกนจะไม่เชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์เท่าทะเล แต่ก็มีความรู้ด้านนี้อยู่บ้าง ชาวมอแกนแบ่งพืชออกเป็น 4 ประเภทตามการใช้ประโยชน์ ได้แก่ พืชที่ใช้ทำอาหาร พืชสมุนไพรและใช้ทำยา ไม้ที่ใช้ทำบ้านหรืออุปกรณ์ในชีวิตประจำวัน และพืชที่ใช้ประโยชน์อื่น ๆ
เมื่อมีเด็กเกิดใหม่ พ่อแม่ของพวกเขาจะแขวนสายสะดือของทารกชายไว้กับต้นไม้เพื่อขอให้ลูก ๆ มีทักษะการปีนป่ายเพื่อเก็บน้ำผึ้งเมื่อถึงฤดูกาล

นักมานุษยวิทยาได้ศึกษาวิจัยชาวมอแกนในประเทศไทยจนมีข้อสรุปว่า การใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนเป็น ‘ทางเลือก’ ของชาวมอแกนที่จะอยู่กับธรรมชาติ ไม่ใช่ทางตันของชีวิต วิถีชีวิตของชาวมอแกนเป็นการอนุรักษ์ในตัวเอง องค์ความรู้ท้องถิ่นฝังรากลึกไปในวิธีคิดของชาวมอแกน แฝงอยู่ในวัฒนธรรมและจิตวิญญาณมากกว่าจะแสดงออกมาทางวัตถุ ภูมิปัญญาของพวกเขาจึงเป็นทั้งจริยธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งแนบชิดกับสิทธิในการเข้าถึง ใช้ และปกป้องทรัพยากรทางธรรมชาติ เช่น การทำพิธีขอวิญญาณของต้นไม้ก่อนตัดไปใช้สอย การแบ่งปันอาหารที่หามาได้แก่บรรพบุรุษก่อนนำมารับประทานเองซึ่งเป็นการขอบคุณแก่ธรรมชาติ
พวกเขาดำรงเศรษฐกิจแบบยังชีพ จนกระทั่งความเป็นสมัยใหม่และการอนุรักษ์เข้ามาทำให้เขาต้องอยู่ติดกับระบบทุนนิยม และต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างยากลำบาก การที่รัฐไม่ยอมรับภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนกลุ่มนี้ การพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมที่ขาดการรับฟังเสียงของคนท้องถิ่นอย่างมีความหมาย และการอนุรักษ์โดยใช้แต่วิทยาศาสตร์กระแสหลักโดยไม่รับรองภูมิปัญญาท้องถิ่นจะทำให้ท้ายที่สุดแล้วความหลากหลายของคนกลุ่มนี้หายไป
ตามมาตรา 8(j) ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity: CBD) ได้เน้นย้ำถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นเรื่องที่รัฐต้องเคารพสิทธิและส่งเสริมการทำงานร่วมกันเพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพและได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม

และเมื่อ 6 สิงหาคม 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการขับเคลื่อนด้านสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ในไทย เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีมติท่วมท้นผ่าน ‘ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …’ ซึ่งผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมโดยวุฒิสภา โดยกฎหมายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิทางวัฒนธรรม ตามมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 โดยมีสาระสำคัญ 5 ประการ คือ
- กำหนดหลักพื้นฐานแห่งสิทธิและการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
- กำหนดกลไกการบริหารจัดการแบบบูรณาการโดยมีคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
- สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยกำหนดให้จัดตั้งสภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแนวทางหรือมาตรการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
- กำหนดให้มีการจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นฐานข้อมูลกลางของประเทศ เพื่อคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
- กำหนดมาตรการเชิงบวกในรูปแบบการจัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็น “การจัดการร่วม” โดยที่ยอมรับสิทธิของชุมชนในการดำรงชีวิตควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรภายใต้กฎหมายของรัฐ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในเชิงกฎหมายประเทศไทยจะผ่านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว แต่ในการปฏิบัติจริงยังต้องการแรงขับเคลื่อนให้มากกว่าเดิม ต่อไปนี้เป็นข้อเสนอของกรีนพีซ ประเทศไทยต่อรัฐบาลต้องปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้
- รัฐบาลต้องพร้อมสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นและชนเผ่าพื้นเมืองตามแนวทางของ Indigenous peoples and local communities (IPLCs) ในการปกป้องที่ดิน แหล่งน้ำ อาณาเขต และความหลากหลายทางชีวภาพของพวกเขา โดยใช้แนวทางที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชน อาทิ การเสริมสร้างมาตราการเพื่อรับรองสิทธิในที่ดินและแหล่งน้ำตามจารีตประเพณีของชุมชนท้องถิ่นและชนเผ่าพื้นเมือง
พร้อมทั้งประกันการเข้าถึงสิทธิของพวกเขาให้สอดคล้องกับหลักการในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) ในด้านสิทธิในการพัฒนาและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีลักษณะเฉพาะทางจิตวิญญาณกับที่ดิน เขตแดน แหล่งน้ำและทรัพยากรอื่นๆ ที่จะไม่ถูกช่วงชิงโดยกลุ่มผู้มีอำนาจหรือถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมประเพณีที่ยึดเหนี่ยวกับพื้นที่ดั่งเดิมที่พวกเขาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาหรือเคยได้อยู่อาศัยมาก่อน
- รัฐต้องเร่งแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยในเขตป่าและพื้นที่ทะเลในขอบเขตประเทศไทย และรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการป่าที่ครอบคลุมการอนุรักษ์ ฟื้นฟูดูแลและการใช้ประโยชน์ ที่สอดคล้องกับ (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิวิถีชีวิตชนพื้นเมืองชาติพันธุ์เพื่อรับรองสิทธิในการดํารงชีวิต และมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ ทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน ซึ่งจะนำมาซึ่งการผลิตที่มั่นคง ยั่งยืน และแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เน้นการวางแผนและมีส่วนร่วมในถิ่นฐานและวิถีชีวิตของแต่ละชุมชนโดยขับเคลื่อนไปพร้อมกับแผนงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ
- รัฐต้องสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นและชนเผ่าพื้นเมืองมีส่วนร่วมในเวทีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกในระหว่างประเทศที่กลุ่มชาติพันธุ์หรือชนเผ่าพื้นเมืองต้องมีสิทธิในการมีส่วนร่วมเพื่อการตัดสินใจ

ร่วมสนับสนุนการสร้าง “ทะเลชุมชน”
เพื่อสร้างพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่ชุมชนเป็นผู้นำ (Community-led marine protected areas) และปกป้องสิทธิของชุมชนชายฝั่งที่กำลังได้รับผลกระทบจากทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากอุตสาหกรรม และประมงทำลายล้าง