หากใครที่เคยติดตามเรื่องราวการปกป้องทะเลของชุมชนชาวจะนะ จ.สงขลา ทั้งผ่านการคัดค้านโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ หรือโครงการท่อส่งก๊าซไทย – มาเลเซีย ก็คงจะทราบดีว่าชุมชนแห่งนี้ไม่เพียงแต่ปกป้องทรัพยากรทางทะเลและสิทธิที่จะอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ปราศจากมลพิษแล้ว แต่พวกเขายังแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์และผูกโยงกับท้องทะเลไทยได้อย่างงดงาม งานประจำปีอย่าง ‘อะโบ๊ยหมะ’ จึงไม่ได้เป็นแค่งานพบปะสังสรรค์ของคนในชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นงานที่ตั้งใจจะสื่อสารว่า ‘จะนะ’ เป็นพื้นที่ที่มีดี ไม่แพ้ที่อื่นในไทยเลย

เสวนา ‘Gastronomy วัฒนธรรมอาหารวิถีชุมชน’ จากงานอะโบ๊ยหมะ ครั้งที่ 11 จึงอยากชวนเราทุกคนมาร่วมชิมและร่วมเข้าใจวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวจะนะผ่านเมนูอาหารที่หากินที่ไหนไม่ได้นอกจากจะนะ

“จากคำอุทานในภาษาสะกอม อะโบ๊ยหมะ มีความหมายคล้ายกับคำว่า โอ้ แม่เจ้า! หรือ Oh my god! ซึ่งใช้ในบริบทที่เจออะไรแล้วรู้สึกว้าวหรือรู้สึกสุขใจ ไม่นานหลังจากนั้น อะโบ๊ยหมะ เลจะนะหรอยจ้าน ครั้งแรกก็เกิดขึ้น” – กิตติภพ สุทธิสว่าง เลขาธิการเครือข่ายชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จ.สงขลา

อาหารท้องถิ่น บอกอะไรเราบ้าง?

เมนูอาหารหนึ่งเมนูที่เรากินกันนั้นมักแฝงไปด้วยวิถีชีวิตวัฒนธรรมจากวัตถุดิบ เครื่องปรุงรส วิธีการทำ และความหลากหลายของวัตถุดิบในอาหารมักบ่งบอกได้ว่าพื้นที่นั้น ๆ มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร เครื่องปรุงรสก็สามารถบ่งบอกได้ว่าประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้มีความเป็นมาอย่างไร ส่วนวิธีการทำบ่งชี้ถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่โบราณ ซึ่ง กิตติภพ สุทธิสว่าง เลขาธิการเครือข่ายชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จ.สงขลา เล่าให้เราฟังว่าสำหรับงาน ‘อะโบ๊ยหมะ’ ครั้งนี้มาในธีมงาน Gastronomy ตั้งใจนำเมนูอาหารท้องถิ่นที่เป็นที่นิยมของชุมชนและมีที่มายาวนานมาเป็นธีมหลักเพื่อสื่อสารถึงความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของชุมชน ซึ่งถือเป็นมรดกล้ำค้าที่จับต้องไม่ได้

ใช้ทรัพยากรพร้อมกับอนุรักษ์รักษา มิติการใช้ชีวิตของชุมชน

หลังจากเรียนรู้และทำงานวิจัยเกี่ยวกับอาหารและวัฒนธรรม อ.เทพรัตน์ จันทพันธ์ ผู้จัดการพิพิธภัณฑ์เมืองหาดใหญ่ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เล่าว่าการเชื่อมร้อยทางจิตวิญญาณเข้ากับวัตถุดิบอาหารหลายอย่างของชุมชน เช่น ชาวนาผู้ปลูกข้าวจะเคารพบูชาพระแม่โพสพ สื่อให้เห็นถึงมิติของการที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรที่ธรรมชาติให้มา แต่ในอีกแง่หนึ่งมนุษย์จำเป็นต้องเคารพและปกป้องไม่ให้ทรัพยากรที่ธรรมชาติให้มาเหล่านี้หมดไปหากมุ่งแต่จะฉกฉวยเพียงอย่างเดียว ผ่านการใช้ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามาประกอบนั่นเอง

‘ไข่ครอบ’ เมนูเล่าประวัติศาสตร์และวิถีวัฒนธรรมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา

สุรเชษฐ์ แก้วสกุล และ สามารถ สาเร็ม จากกลุ่มรักษ์มรดกซิงฆูรา เริ่มต้นการค้นหาวัฒนธรรมลุ่มทะเลสาบสงขลา ผ่านเรื่องเล่าปากต่อปากจากผู้เฒ่าผู้แก่ พวกเขาค้นพบว่าวัฒนธรรมเหล่านี้มักไม่ถูกนำเสนอ และไม่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างหรือในบันทึก ถ้าไม่ได้ลงพื้นที่ไปถึงแหล่งที่มาจริง ๆ หรือไม่ได้เข้าไปสัมภาษณ์ชุมชน เราที่เป็นคนทั่ว ๆ ไปก็จะเข้าไม่ถึงวัฒนธรรมเหล่านี้และจะไม่เคยรับรู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในภาคใต้ของไทย

สามารถ เป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมโครงการสำรวจวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำทะเลสาบสงขลาและยังเป็นผู้ให้ข้อมูลการกระจายตัวของชุมชนมุสลิมในภาคใต้ ฉายภาพให้เราเห็นผ่านการตั้งมัสยิดของชุมชนมุสลิมภาคใต้ ซึ่งเป็นชาวมุสลิมที่ใช้ภาษาไทยท้องถิ่น (ภาษาไทยสำเนียงใต้) และพี่น้องชาวมลายูมุสลิม (ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย) และเมื่อทราบการกระจายตัวของประชากรแล้วกลุ่มจึงเลือกประเด็น ‘อาหาร’ มาเป็นเครื่องมือสื่อสารถึงอัตลักษณ์และตัวตนของคนในวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำทะเลสาบสงขลา 

สามารถและเพื่อนเลือก ‘ไข่ครอบ’ หรือ ‘ไข่ดอง’ มาเป็นอาหารที่จะศึกษาเพราะไข่ครอบไม่พบในกลุ่มพี่น้องชาวมุสลิมกลุ่มอื่นเลย พบแค่เพียงกลุ่มที่อาศัยอยู่ในลุ่มทะเลสาบสงขลาซึ่งเมื่อศึกษาย้อนกลับไปตามประวัติศาสตร์เมืองสงขลาก็พบว่า เมื่อ พ.ศ.2223 เกิดสงครามระหว่างอยุธยากับเมืองหัวเขา เมื่ออยุธยายกทัพมาสู้รบ ชาวเมืองจึงได้รับการอพยพไปที่เมืองไชยา เมืองสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันก็คือหมู่บ้านสงขลาและหมู่บ้านพุมเรียง จ.สุราษฎร์ธานี

สามารถเล่าต่อว่า ไข่ครอบนั้นเกิดจากการนำไข่ขาวไปเคลือบเครื่องมือประมงเพื่อให้เกิดความคงทนมากขึ้น ไข่แดงจึงกลายเป็นวัถุดิบเหลือใช้ ผู้คนสมัยนั้นจึงเลือกนำไข่แดงไปดองไว้เพื่อถนอมอาหารและใช้เปลือกไข่เป็นบรรจุภัณฑ์ เป็นที่มาของ ไข่ดอง หรือ ไข่เป็ดดองคู่ นั่นเอง อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาการนำไข่ขาวไปย้อมเครื่องมือประมงไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นอีกต่อไปแล้วแต่ ไข่ดอง กลายเป็นอาหารที่ทุกคนนิยมรับประทาน กลายเป็นว่าไข่ขาวกลับเป็นวัตถุดิบเหลือใช้แทน จึงเกิดการรังสรรค์ขนมสังขยาไข่ขาว ขนมรังบวบ และเมนูไข่ขาวทอดน้ำจุ้มขึ้นมา

การกำหนดนโยบายที่ไม่ได้ฟังเสียงชุมชนอย่างแท้จริง เป็นความเสี่ยงที่วัฒนธรรมเหล่านี้อาจสูญหาย

เพราะการกำหนดนโยบายของรัฐที่ผ่านมาที่ไม่ได้ฟังเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง อาจทำให้วัฒนธรรมเหล่านี้สูญหายไปได้ ผ่านการได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ นโยบายการวางผังเมืองที่เปลี่ยนไป เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อชุมชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเชิงกายภาพหรือวัฒนธรรมวิถีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดลงอาจส่งผลให้วัตถุดิบอาหารบางอย่างหายไป เช่น ปลาสายพันธุ์ต่าง ๆ หรือผักพื้นบ้าน ก็เป็นได้ 

นอกจากนี้ การที่รัฐละเลยไม่สนใจศึกษาบันทึกข้อมูลวัฒนธรรมอาหารของชุมชนที่หลากหลายในสังคมไทยทำให้เกิดการส่งเสริมนโยบายอย่างผิดฝาผิดตัว และทุนสนับสนุนการพัฒนาต่อยอดวัฒนธรรมอาจไปไม่ถึงชุมชนดั้งเดิมที่เป็นรากเหง้าของวัฒนธรรมเหล่านั้นอย่างแท้จริง

ภาพพี่น้องชุมชนจะนะที่ตั้งใจนำเมนูอาหารหากินยากมาทำให้กินกันสด ๆ ในงานอะโบ๊ยหมะครั้งนี้คือความตั้งใจที่จะสื่อสารว่าสิ่งเหล่านี้คือตัวตน คืออัตลักษณ์ คือวิถีชีวิตของพี่น้องจะนะที่ผูกพันเชื่อมโยงกับ ควน ป่า นา เล มาอย่างยาวนาน พวกเขาเหล่านี้คือผู้พิทักษ์ทรัพยากรผ่านภูมิปัญญา และรู้ดีว่าเมื่อสิ่งแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่สะอาดปลอดภัย พวกเขาก็จะมีความมั่นคงทางอาหารและมีอนาคตให้ลูกหลานในรุ่นต่อ ๆ ไปได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ ดังนั้นพวกเขาต้องมีสิทธิ์ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง

ร่วมสนับสนุนวิถีวัฒนธรรมชุมชนผ่านการสร้าง ทะเลชุมชน หรือ ‘พื้นที่คุ้มครองทางทะเลโดยมีชุมชนเป็นผู้นำ’ (Community-led Marine Protected Aereas) กับ กรีนพีซ ประเทศไทย เพื่อสนับสนุนให้ชาวจะนะได้กำหนดทิศทางการพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง 


ร่วมสนับสนุนการสร้าง “ทะเลชุมชน”

เพื่อสร้างพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่ชุมชนเป็นผู้นำ (Community-led marine protected areas) และปกป้องสิทธิของชุมชนชายฝั่งที่กำลังได้รับผลกระทบจากทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากอุตสาหกรรม และประมงทำลายล้าง