ในภาพรวมระดับโลก ที่ผ่านมาในปี พ.ศ. 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ หรือ Carbon Majors เพียง 122 แห่งเป็นต้นเหตุที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) มากที่สุดถึง 70% และเพียงไม่กี่ประเทศที่เป็นผู้ก่อมลพิษมากกว่าครึ่งโลกได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย และสหภาพยุโรป เป็น 4 อันดับแรกของโลกซึ่งรวมกันคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของการปล่อยมลพิษทั่วโลก 

เราสามารถสรุปได้ว่ากลุ่มผู้มั่งคั่งจากอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ฟอสซิลยังคงปล่อยก๊าซจำนวนมหาศาล งานวิจัยในสหภาพยุโรปพบว่าคนที่มีคาร์บอนฟุตพรินต์สูงสุดมักเป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูง ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจึงทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาและทำให้วิกฤตโลกร้อนจะยิ่งซ้ำเติมวิกฤตด้านสิทธิมนุษยชนส่งผลให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมถูกกดทับซับซ้อนในหลายมิติ 

Protest against Climate Injustice by Community from Bohol's Sinking Island. © Ivan Joeseff Guiwanon / Greenpeace
© Ivan Joeseff Guiwanon / Greenpeace

ส่วนในประเทศไทยตามรายงาน “Climate Risk Index 2025” (ครอบคลุมช่วงปี พ.ศ. 2536–2565) ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลก แม้ในปัจจุบันไทยขยับอันดับความเสี่ยงจากอันดับที่ 9 ลงมาเป็น 30 แต่การที่ประเทศไทยถูกจัดอันดับความเสี่ยงอยู่ในลำดับที่ 30 ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงได้ลดลง ทั้งนี้ การจัดอันดับดังกล่าวไม่ได้ครอบคลุมความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศทั้งหมด เช่น การเปลี่ยนแปลงระยะยาว การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ แต่ประเมินจากผลกระทบของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วในช่วงปี พ.ศ. 2536–2565 เท่านั้น 

ตัวเลขอันดับที่เปลี่ยนไปแสดงถึงการบริหารจัดการของไทยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการปรับเปลี่ยนวิธีการประเมิน จากคำกล่าวของอธิบดีกรมโลกร้อน แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้นทุกปี ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคใต้ เผชิญปัญหาน้ำท่วม ดินถล่ม อย่างรุนแรงทุกปี นอกจากนั้นประเทศไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงจากความร้อนสูง ในฤดูร้อนของประเทศไทย อุณหภูมิสูงสุดสามารถพุ่งเกิน 40 องศาเซลเซียส ส่งผลให้กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ร้อนกว่าพื้นที่รอบ ๆ กระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต้องทำงานกลางแจ้ง มีโอกาสเสี่ยงเป็นภาวะลมแดด (heat stroke) มากกว่ากลุ่มคนอื่น ๆ สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินมหาศาล แต่ก็ยังไม่เห็นวิธีบริหารจัดการปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพจากทางภาครัฐ 

Flooding in Pattani, Thailand. © Abdulromae Taleh / Greenpeace
Over 136,000 households in 7 provinces of southern Thailand are being affected by the escalating climate crisis, with increasingly intense rainfall and sudden floods causing damage to communities and livelihood. These events serve as a wake-up call for urgently implementing measures to respond to the climate crisis.
© Abdulromae Taleh / Greenpeace

ดังนั้น หากในอนาคตประเทศไทยเผชิญเหตุสภาพอากาศสุดขั้วที่รุนแรงยิ่งขึ้น จนก่อให้เกิดความสูญเสียและความเสียหายมากกว่าเดิม ประเทศไทยก็มีโอกาสกลับไปอยู่ในกลุ่ม 1 ใน 10 ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ หรืออาจรุนแรงกว่าที่เคยเป็นได้ ทั้งนี้ การจัดอันดับมีเป้าหมายเพื่อสะท้อนต้นทุนชีวิตของผู้คนและสิ่งแวดล้อมที่ต้องเผชิญและจ่ายไปกับภัยพิบัติทางสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น 

แล้วเราจะแก้วิกฤตสิทธิมนุษยชนจากปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้กันอย่างไร?

ในวงเสวนาหัวข้อ เมื่อนโยบายรัฐไม่อาจละเลย หลักผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย จากนิทรรศการ ‘โลกร้อนไม่เท่าเทียม กระทบคนไม่เท่ากัน : 1% ก่อ 99% เจ็บ’ กรีนพีซ ประเทศไทย ชวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตเหล่านี้มาร่วมพูดคุยกันว่าในการแก้ปัญหาเชิงระบบ เราควรไปต่ออย่างไรบ้าง

หลักการผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย คืออะไร ? เกี่ยวอะไรกับสิทธิมนุษยชน?

มนูญ วงษ์มะเซาะห์ นักสื่อสารงานรณรงค์ด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่สะอาดและเป็นธรรมจากกรีนพีซ ประเทศไทย อธิบายถึงหลัก “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle: PPP) ว่า หลักการนี้เป็นเรื่องที่ถูกพูดคุยและเจรจามาอย่างยาวนานในเวทีการประชุมสิ่งแวดล้อมระดับโลก แต่ปัจจุบันเรายังคงเห็นว่าผู้ก่อมลพิษเหล่านี้ยังไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ สิ่งที่สังคมได้รับกลับมามีเพียงภัยพิบัติจากวิกฤตโลกร้อน อีกทั้งผู้ก่อมลพิษยังจ่ายคดีการฟ้องปิดปากให้กับคนที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามหรือคัดค้านในสิ่งที่พวกเขาก่อไว้อีกด้วย 

หลักการ  “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย”  มีรากฐานมาจากแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่มุ่งให้ผู้สร้างมลพิษรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเยียวยาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม สังคม และห่วงโซ่ของระบบนิเวศ ซึ่งสอดคล้องกับหลัก “การสะท้อนต้นทุนภายนอกสู่ผู้ก่อมลพิษ” (internalisation of externalities) แนวคิดนี้ปรากฏในงานเขียนทางเศรษฐศาสตร์ตั้งแต่ทศวรรษ 1920–1930 ก่อนจะได้รับการพัฒนาเป็นหลักการเชิงนโยบายระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ โดยองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ได้ระบุไว้ในเอกสาร Guiding Principles Concerning the International Economic Aspects of Environmental Policies เมื่อปี พ.ศ. 2515 และต่อมาได้ขยายความและประยุกต์ใช้ไว้อย่างชัดเจนในเอกสาร The Polluter Pays Principle ปี พ.ศ. 2535 เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดการมลพิษและผลักภาระต้นทุนกลับไปยังผู้ก่อมลพิษ แทนที่จะให้สังคมหรือรัฐเป็นผู้รับภาระแทน

ถ้าถามว่าทำไมหลักการนี้จึงสำคัญและควรนำมาเป็นหลักการภาคบังคับในประเทศไทยได้แล้ว นั่นก็เพราะ ภัยพิบัติที่เกิดจากวิกฤตโลกเดือดนั้นมันกระทบถึงชีวิตผู้คน เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมด้วย ดังนั้นหลักการนี้ควรนำไปบังคับและปรับใช้ในการออกแบบนโยบายหรือกฎหมาย โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ.โลกร้อน หลักการผู้ก่อมลพิษต้องจ่ายควรเป็นหนึ่งในกรอบสำคัญที่ต้องถูกหยิบยกมาปรับใช้ในร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวนี้

ส่วนสถานการณ์ในต่างประเทศก็มีการเจรจาถึงประเด็นนี้อย่างหนักหน่วงเช่นกัน โดยจะมีประเด็นที่ได้รับการไฮไลท์ก็คือหลักการผู้ก่อมลพิษต้องจ่ายกับประเด็น Climate Finance อย่างระบบกองทุน Loss and Damage การเข้าถึงกองทุน ใครเข้าถึงกองทุนได้บ้างเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้น อย่างไรก็ตามการเจรจายังยืดเยื้อ สังเกตได้ว่าประเด็นการก่อตั้งกองทุน Loss and Damage เป็นประเด็นใหญ่ในการเจรจาบนเวที COP มาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยและกลุ่มประเทศที่ได้ผลประโยชน์จากการขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิลยืนยันว่าตนเองจะไม่จ่ายเพิ่มจากเดิมหรือไม่รับผิดชอบไปมากกว่านี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องสำคัญที่ 99% อย่างพวกเราต้องลุกขึ้นมาส่งเสียงเรียกร้องให้ดังขึ้น

มนูญให้ความเห็นว่า แม้ว่าในปีนี้ ประเทศไทยจะตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทะเยอทะยานมากขึ้นภายใต้แผน NDC 3.0 ที่ตั้งเป้า บรรลุ Net Zero ภายในปี 2050 เร็วขึ้นถึง 15 ปี ซึ่งก็ถือเป็นเป้าหมายที่กล้าหาญ แต่ในความทะเยอทะยานนี้อาจเสี่ยง วิกฤตซ้อนวิกฤต ก็เป็นได้หากรัฐหลงลืมพื้นที่การมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายกับประชาชนคนธรรมดาที่เป็น 99% แบบพวกเรา หรือกลุ่มคนเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกเดือดจริง ๆ เข้าไปมีส่วนในการเสนอแผนการแก้วิกฤตโลกเดือดอย่างแท้จริง มิใช่สนับสนุนให้กับองคาพยพของเหล่าอุตสาหกรรมยักใหญ่ฟอสซิล หรือ Carbon Major เพียงฝ่ายเดียว อีกทั้งจำเป็นต้องรู้เท่าทันกลลวงการฟอกเขียวและวิธีการแก้โลกร้อนแบบผิด ๆ มนูญให้ความเห็นเกี่ยวกับแผน NDC3.0ที่รัฐเตรียมส่งให้ UN ในการประชุม COP 30 นี้ว่าในแผนยังมีกลลวงการฟอกเขียวและวิธีการแก้โลกร้อนแบบผิด ๆ แทนที่จะเป็นแผนการลดก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งภาคประชาสังคมห่วงกังวลเป็นอย่างมาก

ยกตัวอย่างโครงการขนาดใหญ่ที่ภาคประชาสังคมห่วงกังวลว่าอาจเป็นการแก้ปัญหาผิดทางอย่าง การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage-CCS) โดยแท่นขุดเจาะก๊าซฟอสซิล โครงการแหล่งอาทิตย์ ในอ่าวไทย พื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะ  แหล่งก๊าซฟอสซิลอาทิตย์ ดำเนินการโดยบริษัท ป.ต.ท. สผ. ถือเป็นโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) แห่งแรกของประเทศไทย คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปี 2570 

Protest at the Fossil Gas Platform in the Gulf of Thailand. © Greenpeace
นักกิจกรรมจากเรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์ซึ่งเป็นเรือธงของกรีนพีซทำการประท้วงอย่างสันติ ณ แท่นขุดเจาะก๊าซฟอสซิลแหล่งอาทิตย์ คัดค้านโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Offshore Carbon Capture And Storage : CCS) ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของอ่าวไทย เพื่อเปิดโปงการฟอกเขียวของอุตสาหกรรมฟอสซิล © Greenpeace

โครงการเช่นนี้ถูกตั้งคำถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ดิน(on shore CCS)หรือใต้ทะเล(offshore CCS) ก็พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวหลายครั้ง โครงการ CCS ที่เป็นโครงการนำร่องส่วนใหญ่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายตั้งไว้ หรือล้มเหลวในการดำเนินการเนื่องจากต้นทุนที่มากเกินไป อย่างเช่น โครงการ Gorgon บนเกาะ Barrow ในออสเตรเลีย บริษัทเชฟรอนซึ่งเป็นผู้ดำเนินการนั้นล้มเหลวที่จะกักเก็บคาร์บอนให้เป็นไปตามเป้าหมายอันเนื่องมาจากปัญหาการจัดการแรงดันของในระบบโครงการนี้เริ่มดำเนินงานในปี พ.ศ. 2559 โดยกำหนดมีเงื่อนไขให้แยก CO₂ ออกจากก๊าซธรรมชาติให้ได้ร้อยละ 80 ภายใน 5 ปี แต่ทำได้เพียงร้อยละ 50 ของเป้าหมายเท่านั้น โครงการจึงต้องจ่ายค่าชดเชยจากการปล่อยเกินกว่าเป้า 5.23 ล้านตัน CO₂ ซึ่งสร้างความเสียหายทางการเงินประมาณ 100–184 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

มนูญตั้งข้อสังเกตว่า โครงการ CCS ที่กำลังเริ่มดำเนินการโดย ปตท. สผ. กำลังสร้างความท้าทายใหม่เกี่ยวกับความรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่าย ว่าใครจะเป็นผู้แบกรับต้นทุนจากการลงทุนที่อาจไม่คุ้มค่าประชาชนผู้เสียภาษีหรือไม่ เนื่องจาก ปตท. สผ. เป็นรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 50 หากเกิดปัญหาขึ้นก็มีโอกาสสูงที่ประชาชนต้องควักภาษีมาชดเชย ด้วยเหตุนี้ การอนุญาตทำโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล จึงไม่อาจละเลยการให้ข้อมูลอย่างโปร่งใส และการรับฟังเสียงประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมีความหมาย

Protest at the Fossil Gas Platform in the Gulf of Thailand. © Greenpeace
นักกิจกรรมจากเรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์ซึ่งเป็นเรือธงของกรีนพีซทำการประท้วงอย่างสันติ ณ แท่นขุดเจาะก๊าซฟอสซิลแหล่งอาทิตย์ คัดค้านโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Offshore Carbon Capture And Storage : CCS) ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของอ่าวไทย เพื่อเปิดโปงการฟอกเขียวของอุตสาหกรรมฟอสซิล © Greenpeace

ในขณะเดียวกัน รัฐและภาคธุรกิจควรมองข้ามการชดเชยคาร์บอนเพื่อขุดเจาะฟอสซิลเพิ่ม และมุ่งลดการปล่อยก๊าซตั้งแต่ต้นทางอย่างจริงจัง พร้อมหันมาลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรมต่อประชาชนทุกคน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม ตัวอย่างเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งตามรายงานของ Bloomberg พบว่ามีต้นทุนต่ำกว่าโครงสร้างพื้นฐานของโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลใหม่ ดังนั้น พลังงานหมุนเวียนควรถูกนำมาเป็นทางออกที่รัฐบาลสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที พร้อมกระจายการเป็นเจ้าของพลังงานไปสู่ประชาชนทุกคน แทนที่จะผูกขาดพลังงานไว้กับกลุ่มทุนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  

มนูญมองว่า วิกฤตโลกเดือดจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นและประชาชนก็จะยิ่งได้รับผลกระทบรุนแรง หากต้องการแก้วิกฤตนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐควรทำคือต้องยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งมากกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจจากการแสวงหาเพียงแค่ผลกำไรจากกลุ่มผู้ก่อมลพิษ หันกลับมามองและแก้ไขแผนพลังงานแห่งชาติที่ต้องไม่มุ่งเน้นในพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อวิกฤตโลกเดือด แต่ต้องเร่งไปสู่การเปลี่ยนผ่านนโยบายการใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรม

ระวัง! กลยุทธ์ฟอกเขียวผ่านการอ้างหลักการผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย เปิดทางนายทุนปล่อยมลพิษแบบอินฟินิตี้

ทั้งนี้ ยังมีมุมมองของ ดร.กฤษฎา บุญชัย Thai Climate Justice for All ซึ่งติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศมาตั้งแต่การเจรจาความตกลงปารีส (Paris Agreement)

ดร.กฤษฎา กล่าวว่า หลักการผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย เกิดจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ในช่วงปีพ.ศ. 2515 เพราะด้วยก่อนหน้านี้ต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรมจะไม่มีการคำนวนต้นทุนความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วย ซึ่งต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมกลายเป็นต้นทุนภายนอกที่ถูกผลักออกไป จึงมีความพยายามแก้ปัญหาว่าทำอย่างไรให้ต้นทุนเหล่านี้ถูกนำมาคิดคำนวนด้วย นำมาสู่หลักการคำนวนความเสียหายแล้วนำกลับมาให้ผู้ก่อรับผิดชอบ

แน่นอนว่าเจตนารมย์ดั้งเดิมของหลักการนี้คือ ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย จ่าย = รับผิดชอบ แต่เมื่อมีแนวคิดเรื่องการชดเชย (Offset) เข้ามา กลายเป็นว่าการที่อุตสาหกรรมต้องจ่ายคือจ่ายให้กับอะไรก็ตามที่ไม่จำเป็นต้องเป็นมลพิษของตัวเองก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือมลพิษอะไรก็ตาม ก็สามารถไปหาวิธีจ่ายให้กับสิ่งอื่นได้ ก็เลยเกิดโครงการ กิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ที่พยายามจะสร้างการนับมูลค่าทางสิ่งแวดล้อม

เช่น การปลูกป่าเพื่อสร้างกลไกตลาดคาร์บอนเครดิต การรณรงค์ให้ประหยัดพลังงาน หรือนวัตกรรมอะไรก็แล้วแต่เช่นเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน ทุกสิ่งทุกอย่างถ้านับได้ว่าสามารถลดคาร์บอนหรือลดมลพิษได้ก็เข้าหลักการชดเชย (Offset) 

“หลักการผู้ก่อมลพิษต้องจ่ายจึงเริ่มกลายพันธุ์จากการที่ผู้ก่อต้องรับผิดชอบต่อมลพิษของตัวเอง กลายเป็นไม่ต้องรับผิดชอบมลพิษของตัวเองก็ได้ตราบใดที่ยังมีเงินจ่าย นำไปสู่การแก้ปัญหาแบบผิด ๆ การฟอกเขียวที่ไม่ได้แก้วิกฤตโลกเดือดได้จริง อุตสาหกรรมน้ำมันทั่วโลกต่างประกาศว่าตัวเองจะเป็นบริษัท Net Zero โดยนำเอากลไกทางเศรษฐศาสตร์มาคิดคำนวนต่าง ๆ นานา เพื่อหักลบก๊าซเรือนกระจกที่ตัวเองปล่อย แต่ถามว่าพวกเขาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขุดเจาะฟอสซิลไหม ไม่เลยนะ ทุกอย่างยังเติบโตไปเรื่อย ๆ เหมือนเดิม สุดท้ายการใช้การชดเชยด้วยกลไกตลาดคาร์บอนเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ โครงการใหญ่ ๆ อย่าง CCS เพื่อเคลมว่าตนเองสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ในปริมาณมหาศาลจึงเริ่มเกิดขึ้น

หากเราปล่อยให้การปฏิบัติในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ โลกของเราจะกลายเป็นฐานการชดเชย (Offset) ให้กับนายทุนยักษ์ใหญ่ได้ มีป่า มีทะเล มีแม่น้ำอยู่ที่ไหน คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ก็จะเปรียบเสมือนแรงงานในโรงงานผลิตกิจกรรมชดเชย (Offset) ให้กับกลุ่มทุน

ยิ่งการใช้ป่าเป็นตลาดคาร์บอนเครดิตยิ่งทำให้เห็นภาพชัดว่าแทนที่จะเปลี่ยนผ่านระบบที่อุตสาหกรรมมีให้เป็นมิตรกับโลกมากขึ้น อุตสาหกรรมเลือกที่จะไปซื้อพื้นที่ป่าเพื่อทำคาร์บอนเครดิตเพราะมีต้นทุนถูกกว่า และพื้นที่ซีกโลกใต้นี่เองที่กำลังเป็นเป้าหมายเพราะเรามีพื้นที่ป่าไม้เยอะ นำไปสู่การล่าอาณานิคมแบบใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องนำทัพทหารมายึดครองแผ่นดิน แต่เป็นการครอบครองโดยมีสิทธิ์ในทรัพยากรดินแดนนั้น ๆ สุดท้ายคนที่ต้องเจ็บก็เป็นคน 99% อยู่ดี

เราอาจจะเห็นการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และกลุ่มประเทศร่ำรวยเร็วขึ้น แต่ความจริงแล้วโลกไม่ได้เดือดน้อยลงเลย

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือ กิจกรรมการชดเชย (Offset) เหล่านี้คือการฟอกเขียวหรือไม่ คำตอบก็คือ ใช่ และเป็นการฟอกเขียวที่ซับซ้อนมากกว่าแค่เรื่องภาพลักษณ์ แต่มันกลายเป็นกลไกที่ทำให้อุตสาหกรรมได้ผลกำไรเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดคาร์บอนเครดิต ประเทศไทยเคยประกาศตัวไว้ว่าจะเป็น Hub การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในอาเซียน นั่นหมายถึงการลงทุนจากบรรษัทข้ามชาติทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับปัญหาโลกร้อนแล้ว

สถานการณ์กฎหมายโลกร้อนกับการเมืองไทย

ด้าน ศนิวาร บัวบาน สส. พรรคประชาชน ผู้เสนอร่างกฎหมายโลกร้อน อธิบายถึงร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ว่าร่างที่พรรคประชาชนเสนอไปนั้นเน้นไปที่ การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Mitigation) ด้วยเครื่องมือและกลไกต่าง ๆ เช่น การกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรม หรือการใช้คาร์บอนเครดิตมาช่วยแบบมีการจำกัดปริมาณ และ การปรับตัวให้เข้ากับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) โดยรัฐมีหน้าที่ส่งเสริมศักยภาพให้ประชาชนสามารถรับมือกับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้ได้

ในช่วงของการร่าง ตัวร่าง พ.ร.บ.นี้  เราพยายามปรึกษากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายภาคส่วน ทั้งนักวิชาการ อาจารย์ด้านกฎหมาย รวมถึงภาคประชาสังคมและภาคเอกชนด้วย ร่าง พ.ร.บ.นี้จึงเป็นเรื่องท้าทายที่เราจะทำอย่างไรให้ออกแบบนโยบายที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละภาคส่วนมีจุดร่วมเดียวกันได้ ซึ่งจุดสำคัญที่จะช่วยการลดการปล่อยก๊าซตั้งแต่ต้นทางคือกลไกเพดานอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เราออกแบบมาให้อุตสาหกรรมต้องอยู่ใต้เพดานนั้นให้ได้เพื่อแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง

นอกจากนี้ร่างดังกล่าวยังมีกลไกกองทุนชดเชยความสูญเสียและเสียหายจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ภาคประชาสังคม ชุมชน ประชาชนสามารถเข้าถึงได้เพื่อเอาไปใช้ในการปรับตัวรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งนำไปสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และมีบทลงโทษเกี่ยวกับการฟอกเขียว

แม้พรรคประชาชนจะยื่นร่าง พ.ร.บ.โลกร้อนไปตั้งแต่ปี 2566 แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภา อีกทั้งยังถูกตีความว่าเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ทำให้ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีก่อน ซึ่งทางพรรคเองพยายามติดตามเรื่องนี้อยู่ตลอด ปัจจุบันมีร่าง พ.ร.บ.โลกร้อนถึง 4 ร่างที่ยื่นเสนอต่อรัฐสภา ประกอบไปด้วย ร่างของกรมการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ร่างของพรรคพลังประชารัฐ ร่างของพรรคประชาธิปัติย์ และร่างของพรรคประชาชน

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.โลกร้อนของพรรคประชาชนอาจยังไม่สมบูรณ์แบบแต่เราสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อยู่ตลอดผ่านการหารือจากหลาย ๆ ภาคส่วน

กฎหมายโลกร้อนต้องเคารพสิทธิมนุษยชน เพื่อคน 99% ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกเดือด

ในมุมมองของนักกฎหมายต่อร่าง พ.ร.บ.เหล่านี้ วัชลาวลี คำบุญเรือง ทนายความมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มองว่าตอนนี้ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหลักที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาภายใน 4 เดือน (ก.ย.-ธ.ค. 2568) จะเป็นร่างของกรมการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ (หรือที่เรียกว่า กรมลดโลกร้อน) ซึ่งเป็นร่างที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะเป็นร่างที่ละเลยการรับรองสิทธิเชิงเนื้อหาความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและกลุ่มผู้เปราะบาง อีกทั้งยังมีคำถามว่าสามารถควบคุมและตรวจสอบผู้ก่อมลพิษได้จริงหรือไม่

การรับรองสิทธิเชิงเนื้อหาความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศนั้นสำคัญตรงที่จะเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนรัฐเสมอว่ารัฐมีหน้าที่ปกป้องประชาชนทุกคนโดยไม่หลงลืมคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไว้ข้างหลัง การบัญญัติสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี หลักความรับผิดชอบร่วมแต่แตกต่างกัน หลักผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย ฯลฯ ทั้งหมดนี้สำคัญมากต่อการใส่ลงไปในร่าง พ.ร.บ. แต่เมื่ออ่านดูแล้วยังไม่เห็นเลย สิ่งที่เห็นในร่างดังกล่าวมีเพียงแค่สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล สิทธิในการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ไม่รู้ว่าจะมีความหมายมากพอไหมเพราะสัดส่วนการมีส่วนร่วมมีเพียงน้อยนิดหากต้องต่อกรกับอำนาจรัฐและนายทุน

ร่าง พ.ร.บ.ของกรมลดโลกร้อนโดยล่าสุด มีการเพิ่มเติมเนื้อหากล่าวโดยสรุปว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงสังคมไทยอย่างเป็นธรรมไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดคาร์บอน ภาษีคาร์บอน การชดเชยคาร์บอน ฯลฯ และนำพาให้ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำด้านตลาดคาร์บอนเครดิตในอาเซียน ซึ่งเนื้อหากว่า 90% จะกล่าวถึงประเด็นนี้ทั้งหมด สิ่งที่หายไปในร่าง พ.ร.บ.นี้คือ สิทธิที่จะได้อยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย สิทธิของคนรุ่นถัดไปที่จะสามารถใช้ พึ่งพาทรัพยากรได้ในอนาคต 

เนื้อหาสิทธิขั้นพื้นฐานสำคัญของประชาชนเหล่านี้ที่ไม่มีอยู่ในร่างฉบับนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ว่ารัฐจะอ้างถึงและใส่หลักการความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศลงไปในร่าง พ.ร.บ. แต่ในเนื้อหากลับไม่ได้พูดถึงความเป็นธรรมเลย

“ต่อให้เราจะมีกฎหมายที่ดีแค่ไหน แต่หากยังร่างกฎหมายโดยมีกรอบของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ใช้ธรรมชาติเป็นการแก้ปัญหาโลกร้อน อย่างเช่น การปลูกป่าดูดซับคาร์บอนและค้าคาร์บอนเครดิต ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาโลกเดือดจากต้นทางได้จริง ๆ เพราะเน้นผลักการแก้ปัญหาไปที่ธรรมชาติ ไม่ได้ควบคุมกำกับกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษ”

Climate March at the Environment Ministry in Bangkok. © Chittawan Limcharoen / Greenpeace
Around 200 people join the Climate Justice march to the Ministry of Natural Resource and Environment, calling on the Thai government to have a strong climate action which protects people from climate crisis and shall hold corporations accountable for their actions that contribute to the impacts of climate change. The activity is held ahead of the 2024 United Nations Biodiversity Conference (CBD COP16) and The 29th Conference of the Parties (COP29).
© Chittawan Limcharoen / Greenpeace

วัชลาวลี เน้นย้ำถึงหลักการผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่ายที่โดยหลักการแล้ว ผู้ก่อต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็นว่ารัฐจะเข้ามาคอยควบคุมดูแลเรื่องนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วหลักการนี้มี 2 ภาคส่วนที่ต้องมากำกับดูแลร่วมกันคือ ภาคธุรกิจผู้ก่อมลพิษที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และรัฐต้องมีหน้าที่กำกับดูแล ควบคุมและกำหนดมาตรการให้ภาคเอกชนต้องรับผิดชอบ

เราลองเปรียบเทียบกฎหมายโลกร้อนไทยกับกฎหมายของประเทศอื่น ๆ  ก็พบร่างกฎหมายหนึ่งที่น่าสนใจของประเทศฟิลิปปินส์ ชื่อ Climate Accountability ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภา ความน่าสนใจของร่างนี้ถูกร่างมาจากผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนในฟิลิปปินส์จริง ๆ ที่ต้องเผชิญกับพายุไห่เยี่ยนเกิดการสูญเสียหนักทั้งชีวิตและทรัพย์สิน แต่จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับการชดเชยจากกลุ่มอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ นำไปสู่การผลักดันร่างกฎหมายนี้ซึ่งมีการระบุถึงสิทธิด้านความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศดังที่กล่าวไปข้างต้นทั้งหมดแล้ว และยังกำหนดหน้าที่ของรัฐและผู้ก่อมลพิษไว้ชัดเจน อย่างหน้าที่ของรัฐก็จะต้องป้องกันและรับมือกับภาวะโลกร้อน ประกันการเยียวยาต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจจะต้องป้องกันผลกระทบจากภาวะโลกร้อนบนพื้นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน”

“นอกจากนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังวางกรอบความรับผิดชอบของภาคธุรกิจไว้อีกด้วย โดยจะต้องดำเนินการตามหลักการ Human rights Due Diligence หรือ การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบได้ภายใต้กรอบของหลักการชีแนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน UNGPs เพื่อให้ภาคธุรกิจต้องทำการตรวจสอบและพิจารณาให้รอบด้านว่าการทำธุรกิจจะไม่กระทบต่อสิทธิมนุษยชนหรือกระทบต่อใครคนใดคนหนึ่ง เปิดเผยข้อมูลการเงิน ข้อมูลก๊าซเรือนกระจกและการทำธุรกิจจะต้องได้รับการยินยอมจากชุมชนก่อน ตรงนี้ทำให้เห็นชัดว่ามันจะต่างจากการทำป่าคาร์บอนเครดิตของไทยที่เปิดช่องโหว่ให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าไปเป็นนายหน้ารับซื้อได้เลย

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจของร่างกฎหมายจากฟิลิปปินส์ คือการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างรอบด้าน พร้อมกำหนดบทลงโทษทางอาญา แพ่ง และปกครองไว้อย่างชัดเจน รวมถึงมีมาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก (SLAPP) และการฟอกเขียวโดยกลุ่มทุนเอกชนหรือหน่วยงานรัฐ นอกจากนี้ กฎหมายยังบัญญัติให้ผู้ตกเป็นเหยื่อหรือผู้รอดชีวิตจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมีสิทธิในการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ เพื่อเรียกร้องค่าชดเชยและการเยียวยาที่เหมาะสมได้โดยตรง ร่างกฎหมายดังกล่าวยังวางกรอบแนวคิดทางนิติศาสตร์เพื่อให้ศาลใช้เป็นหลักดุลยพินิจ เช่น “หลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Principle)” และ “หลักเพื่อป้องกันความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ” รวมถึง “หลักโอกาสสุดท้าย (Last Resort Principle)” เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณะในอนาคต

ความก้าวหน้าของร่างกฎหมายนี้จึงสะท้อนพัฒนาการสำคัญในการสร้างความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศ (Climate Justice) ผ่านกลไกทางกฎหมายที่วาง “เสาหลักความรับผิดชอบ” ของรัฐและภาคธุรกิจไว้อย่างชัดเจนและตรวจสอบได้ การวางกรอบด้านกฎหมายที่วางอยู่บนพื้นฐานความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศเช่นนี้จะทำให้การกู้ภาวะโลกเดือดไม่ได้ถูกมองแค่การลดการปล่อยก๊าซเพียงอย่างเดียว แต่ยังแก้ปัญหาวิกฤตสิทธิมนุษยชนที่เกิดระหว่างทางด้วย  และทำให้เราสามารถอยู่ด้วยกันได้โดยที่คนตัวเล็กตัวน้อยได้รับการปกป้อง เคารพ และส่งเสริมในการมีสิทธิอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และปลอดภัยท่ามกลางวิกฤตโลกเดือดนี้ ส่วนผู้ก่อมลพิษต้องถูกบังคับให้ให้เป็นหลักการที่ใช้ได้อย่างจริงจัง

เราทุกคนมีสิทธิที่จะได้อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย

ในช่วงท้ายของวงเสวนา มนูญ กล่าวถึงข้อเสนอของกรีนพีซ ประเทศไทย ที่เรียกร้องความรับผิดชอบของอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ และภาระหน้าของรัฐที่ต้องปกป้องประชาชนของตัวเอง กรีนพีซ ประเทศไทย ทำงานร่วมกับเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นและกรีนพีซทั่วโลกทวงถามความรับผิดชอบจากรัฐบาลไทยและบริษัท Carbon Majors ทั่วประเทศเหล่านี้ เรากำลังรณรงค์เรียกร้องให้พวกเขาต้องจริงจังต่อการหยุดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและสร้างความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศดังนี้ 

  1. รัฐบาลไทยต้องแสดงเจตจำนงในการยกเลิกและทบทวนกรอบนโยบายเดิมที่ยึดโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 รวมถึงร่างกฎหมายโลกร้อน แผนแม่บทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แผนพลังงานชาติ และแผนแม่บทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งเร่งจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมฉบับใหม่ให้สอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิในการพัฒนา (Declaration on the Rights to Development) โดยแผนใหม่ต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชน การมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย ความเท่าเทียม และความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศเป็นศูนย์กลาง
  1. กำหนดแนวนโยบายสภาพภูมิอากาศที่ไม่อิงกลไกตลาด เน้นแนวทาง Non-Market Approaches (NMAs) ภายใต้มาตรา 6.8 ของความตกลงปารีส เสริมสร้างขีดความสามารถของชุมชน และสนับสนุนการบรรลุ NDCs ของประเทศไทยเชื่อมโยงนโยบายอย่างสอดคล้องกับ UNFCCC, CBD และความตกลงพหุภาคีอื่น ๆ และหยุดการแสวงหาประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตและเทคโนโลยี CCS ที่นำไปสู่ Greenwashing หรือ “ทางออกปลอม (False Solutions)”
  1. ทำให้มั่นใจว่าภายใต้นโยบาย Non-Market Approaches ต้องไม่สนับสนุนกิจกรรมที่ทำลายหรือซ้ำเติมวิกฤตสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การสำรวจ ผลิต ขนส่ง หรือส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิลและชีวมวล การพัฒนาเทคโนโลยี geo-engineering หรือแนวปฏิบัติทางทะเลที่เป็นอันตราย การสร้างเขื่อนที่ทำลายระบบนิเวศและชุมชน การใช้พลังงานนิวเคลียร์ การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน CCS หรือ CCUS การผลิตพลังงานชีวมวลจากป่าและเกษตรเชิงเดี่ยว การละเมิดกฎหมายหรืออนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนและความหลากหลายทางชีวภาพ การตัดไม้ทำลายป่าหรือทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม รวมถึงต้องไม่เปิดช่องให้เกิดกลไกการชดเชยหรือซื้อขายคาร์บอนเครดิตในรูปแบบใหม่ให้กับภาคอุตสาหกรรมใช้เป็นเครื่องมือชดเชยคาร์บอน 
  1. บัญญัติและเร่งบังคับใช้หลักการสำคัญในการคุ้มครองประชาชนและสิ่งแวดล้อม คือ “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle: PPP) เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นธรรม และมีมาตรการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง การประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน (EIA/EHIA และ HIA) ต้องโปร่งใส ครอบคลุมมิติเพศสภาพ สิทธิมนุษยชน ความหลากหลาย และความเปราะบางห้ามใช้เป็น “ตรายาง” รับรองโครงการที่อาจะมีส่วนก่อให้เกิดหายนะทางสิ่งแวดล้อมและหยุดนโยบายหรือโครงการใดที่กำลังละเมิดสิทธิมนุษยชน วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม เช่น เขตพัฒนาเศรฐกิจพิเศษ
  1. เปิดโปงและยุติ “ตำราถ่วงเวลา” ของอุตสาหกรรมฟอสซิล รัฐต้องรับมือกับกลยุทธ์ที่ทำให้การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศล่าช้า เช่น การฟอกเขียว (Greenwashing), การบิดเบือนข้อมูล, การล็อบบี้, และการใช้ SLAPPs ปิดปากนักปกป้องสิทธิ
  1. เปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานที่ “สะอาดและเป็นธรรม” ถึงเวลาหยุดพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และเดินหน้าสู่ Just Energy Transition ระบบพลังงานหมุนเวียนที่ยึดหลักความเป็นธรรม ความเสมอภาค และสิทธิของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ

นอกจากนี้ กรีนพีซ ประเทศไทย ยังทำงานรณรงค์เรียกร้องภายในประเทศของเรา โดยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยต้องเปลี่ยนผ่านสู่การลงทุนและสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรม โดย

  • ปลดแอกจากเชื้อเพลิงฟอสซิล #StopFossilGas : หยุดการลงทุนและยุติการให้เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด และเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนที่กระจายศูนย์และเป็นของประชาชน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
  • พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดสำหรับทุกคน: รัฐต้องรับประกันว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดในราคาที่เข้าถึงได้และเป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและชุมชนในพื้นที่ห่างไกลเพื่อลดความเหลื่อมล่ำและยกระดับคุณภาพชีวิต

การแก้ปัญหาในแบบ ‘เริ่มที่ตัวเรา’ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป หากปราศจากการรับผิดชอบของกลุ่ม 1% ที่สร้างมลพิษอย่างต่อเนื่อง การเรียกร้องตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) อย่างแท้จริงจึงเป็นหลักการจำเป็น และรัฐจำเป็นต้องตระหนักรู้ถึงสิทธิ ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ เคารพสิทธิมนุษยชน และต้องนำกรอบแนวคิดผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่ายเพื่อนำมาดูแลกำกับ บังคับให้ Carbon Majors ต้องจ่ายต้นทุนที่แท้จริงของความเสียหาย และไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อวิกฤตโลกเดือดได้อีก