ทุกๆ ปี พื้นที่กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษทางอากาศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะมลพิษ PM 2.5 ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชน งานวิจัยล่าสุด [1] ชี้ให้เห็นถึงถึงบทบาทสำคัญของโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลที่มีส่วนทำให้เกิดมลพิษโดยเฉพาะการปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) และออกไซด์ของไนโตรเจนอื่นๆ (NOₓ) บทความนี้จะสำรวจแหล่งกำเนิดหลักของมลพิษ PM 2.5 ในกรุงเทพฯ โดยให้ความสำคัญกับละอองลอยอินทรีย์ขั้นทุติยภูมิ (Secondary Organic Aerosols-SOAs) และผลกระทบจากโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล

บทบาทของละอองลอยอินทรีย์ขั้นทุติยภูมิ(Secondary Organic Aerosols-SOAs)

ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่วไป สาเหตุหลักของมลพิษ PM 2.5 ไม่ใช่การเผาไหม้โดยตรง แต่เป็นละอองลอยอินทรีย์ขั้นทุติยภูมิ (SOAs) ซึ่งเกิดจากการปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์(NO₂) และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล มลพิษเหล่านี้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ซับซ้อนในชั้นบรรยากาศจนกลายเป็นฝุ่นละอองจิ๋ว

ผลการศึกษาล่าสุดโดย ดร. วิภู รุโจปการ รองผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(สดร.) หรือ NARIT ซึ่งทำงานร่วมกับ NASA โดยใช้ Aerosol Chemical Speciation Monitor(ACSM) ในการวิเคราะห์ตัวอย่างอากาศที่เก็บรวบรวม พบว่า ในช่วงที่มลพิษทางอากาศของเชียงใหม่รุนแรงที่สุดในเดือนมีนาคม 2567 การเผาไหม้ชีวมวลโดยตรงมีส่วนก่อให้เกิดมลพิษ PM 2.5 ในอากาศไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณ PM 2.5 ทั้งหมด [2]

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 ประเทศไทยได้รับเครื่องตรวจวัด ACSM จำนวนสามเครื่อง ซึ่งจะถูกติดตั้งในเชียงใหม่ กรุงเทพฯ และสงขลา เพื่อวิเคราะห์ตัวอย่างอากาศที่มีมลพิษ PM 2.5 และระบุแหล่งที่มาของมลพิษ ก่อนหน้านี้ มีการวิเคราะห์ลักษณะเดียวกันในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งมีลักษณะมลพิษคล้ายกับกรุงเทพฯ และเชียงใหม่

ผลการศึกษาพบว่า 58% ของมลพิษ PM 2.5 ในมิลานมาจากละอองลอยอินทรีย์ขั้นทุติยภูมิ(SOAs) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสารตั้งต้น เช่น ออกไซด์ของไนโตรเจนและซัลเฟอร์ (ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก) ทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ข้อมูลนี้สอดคล้องกับข้อค้นพบที่ว่าภาคใต้ของไทยยังคงมีระดับ PM 2.5 สูง แม้จะไม่มีการเผาไหม้ชีวมวลมากนัก

น่าสังเกตว่า หากเชียงใหม่ในช่วงที่มลพิษ PM 2.5 รุนแรงที่สุดพบว่าการเผาไหม้ชีวมวลก่อให้เกิดมลพิษไม่ถึงครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าบทบาทของละอองลอยอินทรีย์ขั้นทุติยภูมิ (SOAs) ต่อมลพิษ PM 2.5 ในกรุงเทพฯ จะยิ่งมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

จากข้อมูลการปล่อยมลพิษของกระทรวงพลังงานและกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งแสดงในรูปที่ 1 ด้านล่าง (รวบรวมโดย Greenpeace [3]) พบว่า ภาคขนส่ง การผลิตไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอาจไม่ได้ปล่อยมลพิษ PM 2.5 โดยตรงในปริมาณมาก หากแต่ปล่อยไนโตรเจนออกไซด์(NOx) และซัลเฟอร์ออกไซด์ (SOx) ในระดับสูงจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิด แอโรซอลอินทรีย์ทุติยภูมิ (SOAs) ซึ่งคาดว่าเป็นองค์ประกอบหลักของมลพิษ PM 2.5 ในกรุงเทพฯ

ลักษณะทางเคมีของไนโตรเจนไดออกไซด์(และซัลเฟอร์ไดออกไซด์)ในชั้นบรรยากาศ

ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และแอมโมเนีย (NH₃)  เป็นสารตั้งต้นหลักในการเกิดมลพิษ PM 2.5 โดยเฉพาะ ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซึ่ง NASA ระบุว่าเป็น “ตัวบ่งชี้หลักของการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง” [4] เมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศ ก๊าซเหล่านี้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีและกลายเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดย ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ทำปฏิกิริยากับอนุมูลไฮดรอกซิล (OH) เพื่อสร้างกรดไนตริก (HNO₃) ซึ่งสามารถควบแน่นและก่อตัวเป็นอนุภาคไนเตรตได้

ในทำนองเดียวกัน ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) จะถูกออกซิไดซ์จนกลายเป็นกรดซัลฟิวริก(H₂SO₄) ซึ่งสามารถนำไปสู่การก่อตัวของอนุภาคซัลเฟต (sulfate particles) ปฏิกิริยาทางเคมีทุติยภูมิเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเข้มข้นของ PM 2.5 ในเขตเมือง

ในเขตเมืองอย่างกรุงเทพฯ แหล่งกำเนิดหลักของสารตั้งต้นเหล่านี้มักมีที่มาดังนี้:

  • ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ถูกปล่อยออกมาเป็นหลักจากไอเสียของยานพาหนะและกิจกรรมทางอุตสาหกรรม รวมถึงโรงไฟฟ้า
  • ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหินและน้ำมัน แม้แต่โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฟอสซิลก็มีส่วนปล่อยมลพิษนี้เช่นกัน
  • แอมโมเนีย (NH₃) มักถูกปล่อยออกมาจากไอเสียของยานพาหนะและโรงงานบำบัดของเสีย ในกรณีที่พื้นที่นั้นไม่มีกิจกรรมทางการเกษตรมากนัก
รูปที่ 2 แสดงการกระจายตัวเฉลี่ยของ NOx โดยพื้นที่ที่มีความเข้มข้นสูง (แสดงเป็นสีแดง) อยู่บริเวณที่มีโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล อุตสาหกรรม และกิจกรรมขนส่งหนาแน่น ได้แก่ แม่เมาะ (ลำปาง) ทางภาคเหนือ, สระบุรี, กรุงเทพมหานคร และพื้นที่อุตสาหกรรมฝั่งตะวันออก เช่น ชลบุรี และระยอง

โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล แหล่งกำเนิดมลพิษ PM2.5 ที่ถูกมองข้าม

ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งครอบคลุม กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี มีโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซฟอสซิลรวมประมาณ 4,700 เมกะวัตต์ (MW) รายชื่อทั้งหมดของโรงไฟฟ้าเหล่านี้สามารถดูได้ใน ตารางที่ 1 

โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งอาจมีระดับการปล่อยมลพิษที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการออกแบบโรงไฟฟ้า เทคโนโลยีการเผาไหม้ และประสิทธิภาพของระบบควบคุมมลพิษ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีข้อมูลการปล่อยมลพิษที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ในที่นี้ จึงใช้สมมติฐานว่า โรงไฟฟ้าเหล่านี้ปฏิบัติตามมาตรฐานการปล่อยมลพิษ และปล่อยมลพิษในระดับสูงสุดที่ได้รับอนุญาต (เพื่อช่วยลดต้นทุนในการควบคุมมลพิษ และการผลิตไฟฟ้า)

นอกจากนี้ ยังใช้สมมติฐานว่า โรงไฟฟ้าเหล่านี้ดำเนินการที่กำลังการผลิตสูงสุด โดยอ้างอิงจากการคำนวณใน Box 2 คาดการณ์ว่า ปริมาณการปล่อยไนโตรเจนออกไซด์ (NOₓ) จากโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลอยู่ที่ประมาณ 127.24 ตันต่อวัน

เปรียบเทียบการก่อมลพิษ PM2.5 ระหว่างโรงไฟฟ้าและการขับขี่ยานยนต์

เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบเชิงเปรียบเทียบของโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลต่อมลพิษ PM 2.5 จำเป็นต้องเปรียบเทียบปริมาณการปล่อยมลพิษของโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลกับมลพิษจากยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ข้อมูลจากการสำรวจของ UNESCAP ในปี 2561 พบว่า เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีปริมาณการเดินทางโดยยานพาหนะประมาณ 32 ล้านเที่ยวต่อวัน โดย 70% เป็นการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว

หากใช้สมมติฐานว่า ระยะทางเฉลี่ยต่อเที่ยวในเขตเมืองอยู่ที่ 10 กิโลเมตร จะทำให้ ระยะทางรวมที่ยานพาหนะเดินทางในแต่ละวัน (Vehicle Kilometers Traveled – VKT) เท่ากับ224 ล้านกิโลเมตรต่อวัน

อัตราการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ต่อกิโลเมตรของยานพาหนะ ขึ้นอยู่กับประเภทของรถและเชื้อเพลิงที่ใช้ โดยสำหรับกรุงเทพฯ สามารถประมาณการได้ดังนี้ : รถยนต์นั่งส่วนบุคคล (ส่วนใหญ่ใช้น้ำมันเบนซิน) ปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) 0.6 กรัม/กิโลเมตร รถจักรยานยนต์ปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) 0.2 กรัม/กิโลเมตร รถบรรทุกและรถโดยสารที่ใช้ดีเซลปล่อย NOx สูงกว่าประเภทรถอื่น ๆ ที่ 3.5 กรัม/กิโลเมตร

สัดส่วนของยานพาหนะในกรุงเทพฯ (โดยประมาณ) : รถยนต์นั่งส่วนบุคคล 80% รถจักรยานยนต์ 15% รถบรรทุกและรถโดยสาร 5% ตามสมมติฐานนี้ ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์(NOx) ทั้งหมดจากยานพาหนะบนถนนในเขตกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ประมาณ 153 ตันต่อวัน ปริมาณนี้ใกล้เคียงกับ (สูงกว่าประมาณ 20%) การปล่อย NOx จากโรงไฟฟ้าก๊าซรอบกรุงเทพฯ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง โรงไฟฟ้าก๊าซขนาด 700 เมกะวัตต์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) หนึ่งแห่ง ปล่อย NOx ในปริมาณเทียบเท่ากับรถยนต์จำนวน 3,160,000 คัน!

การคำนวน

โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลขนาด 700MW หนึ่งแห่งปล่อย NOₓ เทียบเท่ากับรถยนต์ 3,160,000 คันได้อย่างไร?

โรงไฟฟ้าก๊าซขนาด 700MW ปล่อย NOₓ ประมาณ 19 ตันต่อวัน ดังนั้นเราต้องคำนวณว่าจำนวนรถยนต์เท่าใดที่จะปล่อย NOₓ ในปริมาณเดียวกัน

ขั้นตอนที่ 1: แยกสัดส่วนการปล่อย NOₓ จากรถยนต์

  • ปริมาณ NOₓ ที่ปล่อยจากยานพาหนะทั้งหมด = 153 ตัน/วัน
  • รถยนต์นั่งส่วนบุคคลคิดเป็น 80% ของการปล่อยทั้งหมด → ปล่อย NOₓ 107.52 ตัน/วัน

ขั้นตอนที่ 2: คำนวณจำนวนรถยนต์ที่ปล่อย NOₓ 1 ตัน/วัน

  • ปริมาณการเดินทางของยานพาหนะทั้งหมด = 224 ล้านกิโลเมตร/วัน
  • รถยนต์นั่งส่วนบุคคลคิดเป็น 80% ของการเดินทางทั้งหมด → 179.2 ล้านกิโลเมตร/วัน
  • สมมติว่าแต่ละคันเดินทาง 10 กิโลเมตร/วัน จะมีรถยนต์บนถนน = 179.2 ล้านกม. ÷ 10 กม./คัน = 17.92 ล้านคัน
  • รถยนต์ทั้งหมด 17.92 ล้านคัน ปล่อย NOₓ รวมกัน 107.52 ตัน/วัน
  • ดังนั้น 1 ตันของ NOₓ เกิดจากรถยนต์ 0.167 ล้านคัน (167,000 คัน)

ขั้นตอนที่ 3: แปลงปริมาณ NOₓ จากโรงไฟฟ้าเป็นจำนวนรถยนต์

โรงไฟฟ้าขนาด 700MW ปล่อย NOₓ 19 ตัน/วัน

จำนวนรถยนต์ที่ต้องใช้ในการปล่อย NOₓ 19 ตัน =19 × 0.167 ล้านคัน/ตัน = 3.167 ล้านคัน หรือ 3,160,000 คัน

คำนวณการปล่อย NOₓ จากปล่องไอเสียของโรงไฟฟ้า

  • โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ Combined Cycle (CCGT) ปล่อยไอเสีย 7,000–8,000 นิวตันลูกบาศก์เมตร (Nm³) ต่อ MWh
  • โรงไฟฟ้า 700MW ที่ทำงานเต็มกำลัง: 700 × 7,500 Nm³ = 5,250,000 Nm³/ชั่วโมง
  • การปล่อย NOₓ (มิลลิกรัม/ชั่วโมง) = 150.4 × 5,250,000 = 789,600,000 มก./ชั่วโมง = 789.6 กก./ชั่วโมง

สรุป : โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลขนาด 700MW หนึ่งแห่งปล่อย NOₓ ประมาณ 19 ตัน/วัน ซึ่งเทียบเท่ากับ NOₓ ที่ปล่อยจาก รถยนต์ 3,160,000 คัน ที่วิ่งในกรุงเทพฯ ทุกวัน

หมายเหตุ: สามารถ อ่านข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับ มลพิษจากภาคอุตสาหกรรม ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อลดมลพิษ PM 2.5 จากโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล

1. ยกเลิกแผนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซฟอสซิลที่โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ และพระนครใต้

ปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีแผนขยายกำลังผลิตที่โรงไฟฟ้าพระนครใต้เพิ่มขึ้นอีก 2,100 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าสองเท่าของกำลังผลิตเดิม นอกจากนี้ แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) 2024 ยังเสนอให้เพิ่มกำลังผลิต 1,400 เมกะวัตต์ที่โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ซึ่งหากโครงการเหล่านี้ดำเนินต่อไป จะยิ่งทำให้วิกฤตมลพิษ PM 2.5 รอบกรุงเทพฯ รุนแรงขึ้นนำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นและรายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลง

ขณะนี้ ประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองเกินความต้องการ และมีโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้วเพียงพอสำหรับอนาคต ดังนั้น ควรมีการปรับปรุงแผน PDP ใหม่ให้โปร่งใสมากขึ้น ใช้ต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและคำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพและสภาพภูมิอากาศ

2. กำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้นสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่และที่มีอยู่

เมื่อจีนเผชิญกับมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะมลพิษ PM 2.5 รัฐบาลจีนได้ออกมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้น โดยในพื้นที่ที่มีมลพิษสูงที่สุด มีการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดกว่าพื้นที่อื่น ๆ รวมถึงการบังคับใช้กับโรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม ไม่เพียงแต่โรงไฟฟ้าใหม่เท่านั้น ซึ่งช่วยให้จีนสามารถต่อกรกับวิกฤตมลพิษทางอากาศได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

รัฐบาลไทยสามารถนำแนวทางเดียวกันมาใช้ได้ โดยกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้นสำหรับทั้งโรงไฟฟ้าใหม่และที่มีอยู่เดิม ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลในไทยได้รับอนุญาตให้ปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ได้สูงถึง 80 ppm ซึ่งยังสูงมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานของเกาหลีใต้ที่กำหนดไว้เพียงแค่ 10 ppm ดังนั้น ควรบังคับใช้มาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องเผยแพร่ข้อมูลการปล่อยมลพิษทั้งแบบเรียลไทม์และทำเนียบข้อมูลการปล่อยมลพิษ(emission inventory) เพื่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ

3. ลดกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล

โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและพระนครใต้มีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ การลดกำลังผลิตควรทำในระดับที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา(rooftop solar) สูงมาก แต่ยังถูกจำกัดด้วยนโยบาย “zero export” ที่ห้ามส่งไฟฟ้าส่วนเกินเข้าสู่โครงข่าย

ดังนั้น แทนที่จะปล่อยให้ไฟฟ้าจากโซลาร์ถูกใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ควร อนุญาตให้ไฟฟ้าส่วนเกินจากพลังงานหมุนเวียนสามารถแทนที่ไฟฟ้าที่มีต้นทุนสูงและก่อมลพิษจากโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล โดยโรงไฟฟ้ายังสามารถทำหน้าที่รักษาความมั่นคงของระบบและความสมดุลพลังงานต่อไป การยกเลิกนโยบาย “zero export” จะไม่เพียงช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน แต่ยังช่วยลดมลพิษทางอากาศอีกด้วย 

นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าเอกชนที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ. ควรได้รับแรงจูงใจให้ลดการผลิตลงเมื่อคุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่เป็นอันตราย รวมถึงเปิดโอกาสให้มีการเจรจาแก้ไขสัญญาเพื่อให้โรงไฟฟ้าเหล่านี้ได้รับค่าตอบแทนจากการให้บริการสนับสนุนระบบไฟฟ้า(ancillary services) แทนที่จะเป็นค่าพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว

หากดำเนินการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ภาคพลังงานของไทยจะสามารถรองรับพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น และเดินหน้าสู่ตลาดไฟฟ้าที่แข่งขันได้มากขึ้นในอนาคต

4. เร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดให้เร็วขึ้น

ปัจจุบัน ต้นทุนของพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงาน (energy storage) ลดลงอย่างรวดเร็ว และไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ มีราคาถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซฟอสซิลแล้ว

อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังไม่สนับสนุนการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนอย่างเต็มที่ ขณะที่ แผน PDP 2024 ยังคงให้ความสำคัญกับโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลที่มีต้นทุนสูง รวมถึงโครงการพลังน้ำและนิวเคลียร์ใหม่ ความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เท่านั้น แต่ยังทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าแพงขึ้นและซ้ำเติมวิกฤตมลพิษทางอากาศในประเทศ

บทสรุป

โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดมลพิษ PM 2.5 ที่สำคัญ โดยเฉพาะจากการปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) และซัลเฟอร์ไดออกไซด์(SO₂) การทำความเข้าใจกระบวนการทางเคมีในชั้นบรรยากาศของมลพิษเหล่านี้และแหล่งที่มานั้นถือเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดมลพิษทางอากาศและปกป้องสุขภาพประชาชน

หากรัฐบาลไทยสามารถลดการปล่อยมลพิษจากโรงไฟฟ้าเหล่านี้และเปรียบเทียบผลกระทบกับแหล่งมลพิษอื่นๆ ผู้กำหนดนโยบายจะสามารถ ออกมาตรการที่มีเป้าหมายชัดเจนในการลดมลพิษ PM 2.5 และยกระดับคุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้เขียน : ชื่นชม สง่าราศี กรีเซน เป็นนักวิจัยอิสระด้านพลังงาน


ข้อมูลอ้างอิง

[1] https://earthobservatory.nasa.gov/images/152616/grappling-with-thailands-seasonal-haze และ https://airbornescience.nasa.gov/content/NASA_conducts_air_quality_mission_over_Chiang_Mai

[2] https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/241564

[3] https://www.thaiclimatejusticeforall.com/?p=4184

[4] https://espo.nasa.gov/sites/default/files/documents/Draft%20Planning%20Document%20for%20ASIA-AQ_20230720.pdf 

[5] https://enviliance.com/regions/southeast-asia/th/report_11012?utm

[6] https://www.unescap.org/sites/default/d8files/knowledge-products/SUTI_and_COVID-19_Impact_Bangkok_0.pdf?utm 

[7] Using data from Europe as a guide: https://www.itf-oecd.org/sites/default/files/docs/real-word-vehicle-emisions.pdf?utm 

[8] https://www.egat.co.th/home/20230419-mis01/

[9] EPPO 2024, https://drive.google.com/file/d/1AZ9KMbRAevKTmp9QNYFHY-cWCGnv8fIy/view?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR2Q_vr4owkOtfsH1y2J2RgDb4jCq8mb1L-vXXjZY7PS0DR1GPgVjzkKD1Y_aem_dShUZIDOSCL9eFknFOm3zw

[10] https://www.airclim.org/acidnews/china-new-emission-standards-power-plants?utm

[11] https://energyandcleanair.org/wp/wp-content/uploads/2021/12/SFOC-Air-Quality_Health-Impacts_Gas-Power_.pdf