แนวปะการังนิงกาลู ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลีย เป็นแนวปะการังชายฝั่งที่ยาวที่สุดในโลก และมีระบบนิเวศทางทะเลที่โดดเด่นเฉพาะตัว ที่นี่เป็นแหล่งอาศัยของปะการังหลากสีสัน ปลาอีกนานาชนิด รวมถึงสัตว์ทะเลที่ถูกคุกคามอย่างฉลามวาฬ เต่าตนุ และวาฬปิ๊กมี่สีน้ำเงิน (pygmy blue whale)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางฤดูหนาวของซีกโลกใต้มีรายงานระบุว่าพื้นที่แนวปะการังนิงกาลูที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ต้องเผชิญกับปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ความร้อนจากน้ำทะเลได้ทำลายสีสันสดใสของปะการังจนกลายเป็นสีขาวโพลน
ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์การขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของสาหร่าย (algal blooms) ได้คุกคามชายฝั่งตอนใต้ของออสเตรเลียอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบนิเวศทางทะเล เพียงไม่กี่สัปดาห์และไม่กี่เดือนหลังจากนั้น สัตว์ทะเลจำนวนมากทั้งฉลาม กระเบน ม้าน้ำ และปลาหลากหลายสายพันธุ์ ถูกพัดขึ้นมาเกยตื้นที่ชายฝั่ง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยวและประมงซึ่งพึ่งพาความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร ใต้ท้องทะเลที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาด้วยสาหร่ายทะเล ปะการัง และฟองน้ำ บัดนี้กลับกลายเป็นพื้นที่ที่ปราศจากชีวิต

อุณหภูมิที่สูงขึ้นของมหาสมุทรรอบออสเตรเลียนั้นก่อให้เกิดคลื่นความร้อนทางทะเลอันสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ ตัวการสำคัญของอุณหภูมิใต้ทะเลที่สูงขึ้นนี้คือการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล ความเสียหายจากหายนะทางสิ่งแวดล้อมครั้งนี้อาจมีมูลค่าสูงถึงหลายสิบล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย แต่ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมฟอสซิลในออสเตรเลียยิ่งเร่งเดินหน้าขยายการผลิตพลังงานถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล เพียงเพื่อผลกำไร
แนวปะการังนิงกาลูกำลังฟอกขาวและตายลง
การได้เดินจากชายหาดสู่ชายฝั่งแล้วปล่อยให้กระแสคลื่นพัดพาให้ล่องไปอย่างแผ่วเบาเหนือแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ คือหนึ่งในประสบการณ์ที่พิเศษที่สุดในชีวิตของฉัน และคงเป็นประสบการณ์ที่ชาวออสเตรเลียและนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนนิงกาลูต่างรู้สึกเหมือนกัน เพราะที่แห่งนี้คือแนวปะการังริมฝั่งที่ยาวที่สุดในโลก พบได้เพียงที่ชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลียเท่านั้น
หากได้ชมความสวยงามอย่างใกล้ชิดจะยิ่งแทบจะลืมหายใจ มหาสมุทรแห่งนี้เป็นมุมหนึ่งของโลกที่ยังเงียบสงบและอุดมสมบูรณ์ราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำลับ ชายฝั่งที่นี่ได้รับการดูแลโดยชนพื้นเมืองท้องถิ่นบนสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับท้องทะเลที่มีมายาวนานกว่า 6 หมื่นปี ชนพื้นเมืองที่นี่เรียกแนวปะการังนี้ว่า ‘Nyinggulu’ แต่ขณะนี้ ‘Nyinggulu’ กำลังใกล้จะตายลง นี่เป็นข่าวที่สร้างความสะเทือนใจให้กับนักดำน้ำ นักวิทยาศาสตร์ และชุมชนท้องถิ่นเป็นอย่างมาก

คลื่นความร้อนทางทะเลขนาดใหญ่นี้คุกคามชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลียเป็นเวลาหลายเดือน เร่งให้ปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แนวปะการังที่ใช้เวลาก่อตัวหลายร้อยปีต้องฟอกขาวและตายลง เหลือเพียงเศษซากอันไร้สีสัน ขณะนี้ยังยากที่จะจินตนาการได้ว่าการสูญเสียแนวปะการังนิงกาลูจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้คือศูนย์รวมความหลากหลายทางชีวภาพที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตนานาสายพันธุ์ แนวปะการังที่ก่อตัวมานับหมื่นปีนี้ กำลังถูกทำลายลงด้วยความละโมบของบริษัทอุตสาหกรรมฟอสซิลในช่วงเวลาเพียงไม่กี่สิบปี
ท้องทะเลกำลังส่งสัญญาณเตือน
การฟอกขาวของแนวปะการังรอบมหาสมุทรออสเตรเลีย ตั้งแต่เกรท แบริเออร์รีฟ แนวปะการังนิงกาลู ไปจนถึงมหาสมุทรทางใต้ ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ควรดังก้องไปทั่วโลก แต่เรากำลังรับฟังอยู่หรือไม่? เรารู้ดีว่าหายนะภัยกำลังทวีความรุนแรงและเกิดถี่มากขึ้น นี่คือผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตโลกเดือด ส่วนต้นเหตุน่ะหรือ? บริษัทอุตสาหกรรมฟอสซิลนั่นเอง
บริษัทอุตสาหกรรมฟอสซิลที่กระหายผลประโยชน์ทั้งในออสเตรเลียและทั่วโลกกำลังขุดเจาะมหาสมุทรของเราเพื่อก๊าซฟอสซิลและน้ำมัน ส่งผ่านท่อขึ้นฝั่ง และเผาผลาญเป็นพลังงาน หรือส่งออกไปยังต่างประเทศ ขณะที่ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่แท้จริงนั้นตกอยู่ที่มหาสมุทร บรรดาสัตว์ และชุมชน
มหาสมุทรคือแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตบนโลก ควบคุมสมดุลของภูมิอากาศ และเป็นแหล่งอาหารสำคัญที่เกื้อหนุนวิถีชีวิตของผู้คนนับพันล้านทั่วโลก แต่ทุกสิ่งเหล่านี้กำลังถูกคุกคามเพราะอุตสาหกรรมที่แสวงหากำไรยังคงเดินหน้าขุดเจาะและทำลายมหาสมุทร เพียงเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท

ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องกำหนดให้ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย
บริษัทในอุตสาหกรรมฟอสซิลกอบโกยผลกำไรมหาศาลหลายพันล้านดอลลาร์ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ในขณะที่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมกลับต้องเป็นฝ่ายแบกรับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยที่ปัจจุบันนี้ผลกระทบทางเศรษฐกิจและชีวิตมนุษย์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากภัยพิบัติที่เกิดถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนทางทะเล น้ำท่วม ไฟป่า หรือคลื่นความร้อนรุนแรงบนแผ่นดิน
ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำรัฐบาลทั่วโลกจะต้องกำหนดให้อุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษต้องมีภาระรับผิด เป็นผู้ชดใช้และชดเชยให้กับผลกระทบจากการทำลายสภาพภูมิอากาศที่อุตสาหกรรมก่อขึ้น
#MakePollutersPay ร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงจุดยืนและกำหนดมาตรการอย่างชัดเจนว่า อุตสาหกรรมฟอสซิลผู้เป็นต้นตอของวิกฤตโลกร้อน ต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งในด้านผลกระทบและการเยียวยาอย่างเป็นธรรม