
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ประเทศไทยได้ยื่น ข้อกำหนดและเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDC) ฉบับที่ 3.0 ต่อกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของประเทศไทยที่จะให้คำมั่นสัญญาบนเวที COP30 ที่จะจัดขึ้น ณ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ระหว่างวันที่ 10-20 พฤษจิกายนนี้ เพื่อประกาศเจตจำนงของประเทศในการเร่งรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ทั้งด้าน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัว (Adaptation) ในทิศทางระยะยาว
ภายใต้ NDC 3.0 ประเทศไทยประกาศยกระดับความทะเยอทะยานครั้งใหญ่ ตั้งเป้าบรรลุ Net Zero ภายในปี 2050 เร็วขึ้นถึง 15 ปี จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ใน NDC 2.0 และ LT-LEDS (ฉบับปรับปรุง ที่ยื่นใน COP27 ปี 2565) ซึ่งเคยระบุว่า ประเทศไทยจะบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065
กล่าวได้ว่า แผน NDC 3.0 กำลังถูกนำเสนอในฐานะ “ความทะเยอทะยานด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย” โดยมีเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือ 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ภายในปี 2035 จากระดับการปล่อยในปี 2019 ที่อยู่ที่ประมาณ 379.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e) ซึ่งหมายถึงการลดลงราว 135.2 ล้านตัน CO₂e หรือประมาณร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับระดับการปล่อยสุทธิในปีฐาน 2019
รัฐบาลระบุว่าการยกระดับ NDC ครั้งนี้จะทำให้ประเทศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงร้อยละ 60 โดยมีฐานจาก แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกจากปี 2564–2573 พร้อมพึ่งพา “การสนับสนุนจากต่างประเทศในเทคโนโลยีคาร์บอนต้นทุนสูง” ได้แก่ เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) และการใช้กลไกตลาดคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้มาร่วมด้วย การผลักดันให้เป็นความหวังใหม่ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ทว่าเบื้องหลังเป้าหมายที่ดูรวดเร็วนั้น กลับมีคำถามใหญ่ด้านความเสี่ยงของ “วิกฤตินโยบายทับซ้อน (policycrisis)” เพราะมาตรการที่ใช้เพื่อให้ไปถึงตัวเลขดังกล่าว อาจยิ่งซ้ำเติมปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น
กลไกชดเชยคาร์บอน หรือใบอนุญาตให้ยักษ์ใหญ่ฟอสซิลปล่อยต่อ?
ในวันที่คนทั้งโลกเรียกร้องการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม “เพื่อให้หยุดการใช้ฟอสซิล” แต่อุตสาหกรรมฟอสซิลกลับดูเหมือนจะได้รับ “ทางรอด” ใหม่ในชื่อของ กลไกชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset Mechanism) แนวคิดที่ฟังดูเหมือนจะช่วยสิ่งแวดล้อม เพราะใครปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็สามารถ “ชดเชย” ได้ ด้วยการปลูกป่า ซื้อคาร์บอนเครดิต หรือสนับสนุนโครงการสีเขียวต่าง ๆ แต่ในอีกมุมหนึ่ง หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า กลไกนี้กำลังช่วยลดการปล่อยจริง ๆ หรือแค่เปิดช่องให้บริษัทน้ำมันและพลังงานฟอสซิลขนาดใหญ่ยังคงเดินหน้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปได้โดยไม่ต้องเร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดที่เป็นธรรม
เมื่อ “คาร์บอนเครดิต” กลายเป็นสินค้าซื้อขายได้ในตลาดโลก สิ่งที่ควรจะเป็นทางออกของวิกฤติภูมิอากาศ อาจกลายเป็นเพียงเครื่องมือ “การฟอกเขียว” ให้กับอุตสาหกรรมที่ยังคงพึ่งพาฟอสซิลอย่างหนัก
หนึ่งในหัวใจสำคัญของ NDC 3.0 คือเป้าหมายที่รัฐบาลประกาศว่า จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงร้อยละ 60 ภายในปี 2035 ซึ่งถือเป็นการยกระดับความทะเยอทะยานด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศอย่างมาก มาตรการที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายนี้ มาจากการขยายผลของแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก พ.ศ. 2564–2573 โดยเน้นการดำเนินการภายในประเทศควบคู่กับการขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ ในเทคโนโลยีที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง เช่น เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors: SMR)
เทคโนโลยีเหล่านี้ถูกโฆษณาว่า “ทันสมัย ปลอดภัย ประหยัด และเป็นอนาคตของพลังงานสะอาด” แต่ในทางปฏิบัติกลับมีข้อถกเถียงมากมาย ทั้งด้านความคุ้มค่า ความปลอดภัย และความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
CCS ในไทย: นโยบายสะอาดหรือกับดักฟอสซิล?

ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 บทความเผยแพร่โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ในงาน Thailand Climate Action Conference 2568 (TCAC 2025) เวทีเสวนา “Technology Transition: การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีสู่สังคมที่ยั่งยืน” ตัวแทนจาก ปตท. ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ โครงการดักจับคาร์บอน (CCS) คุณเมธ์ลดา ชยวัฒนางกูร จาก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. ระบุว่า “CCS เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งต้องมีความพร้อมทั้งด้านเทคนิค กฎหมาย และการลงทุน เพื่อพัฒนาไปสู่ศูนย์กลางการดำเนินงาน CCS ในอนาคต การขับเคลื่อนโครงการ CCS ถูกกำหนดเป็น โครงการนำร่อง (sandbox) ภายใต้แผนปฏิบัติการ NDC พร้อมพื้นที่ทดลองจริง โดยอยู่ภายใต้การสนับสนุนของ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และกฎหมายปิโตรเลียม เพื่อกำหนดนโยบายต่อยอดในระยะยาว”
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจคือ โครงการนี้ดำเนินการอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ไม่ใช่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง ซึ่งสะท้อนว่า การพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนกำลังถูกผูกโยงเข้ากับผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมฟอสซิลโดยตรง ขณะเดียวกัน ยังมีโครงการอีกหนึ่งที่ถูกพูดถึงคือ Thailand’s Eastern CCS Hub ซึ่งตั้งอยู่ในภาคตะวันออก และมีแนวโน้มว่าจะถูกผลักดันอย่างจริงจัง หากร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการพิจารณา
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ NDC 3.0 จะถูกนำเสนอเป็นความหวังใหม่ของไทยต่อการลดคาร์บอน แต่ในความเป็นจริง อาจกำลังเปิดทางให้เกิด “วิกฤตินโยบายทับซ้อน” ที่เป้าหมายการลดคาร์บอนกลับกลายเป็นแรงหนุนให้กับอุตสาหกรรมฟอสซิลเดินหน้าต่อภายใต้ชื่อของเทคโนโลยีสะอาด
ความเสี่ยงที่โครงการ CCS ในประเทศไทยอาจต้องเผชิญ

หนึ่งในความท้าทายใหญ่ของการผลักดันเทคโนโลยี ดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ในประเทศไทย คือ ภาระต้นทุนที่สูงมหาศาล และความเสี่ยงที่เงินภาษีของประชาชนอาจต้องกลายเป็นแหล่งอุดหนุนให้กับผู้ก่อมลพิษ แม้ CCS จะถูกนำเสนอว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ในทางปฏิบัติ เทคโนโลยีนี้มีต้นทุนการก่อสร้างและการดำเนินงานที่สูงมาก ทำให้ภาคอุตสาหกรรมมักเรียกร้องเงินสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านรูปแบบต่าง ๆ เช่น เครดิตภาษี การค้ำประกันเงินกู้ และเงินทุนวิจัยจากงบประมาณแผ่นดิน ผลลัพธ์คือภาครัฐต้องทุ่มงบจำนวนมหาศาล เพื่อช่วยให้ผู้ก่อมลพิษ “ฝังคาร์บอนบางส่วนใต้ดิน” แทนที่จะมุ่งลดการปล่อยตั้งแต่ต้นทาง
กรณีที่สะท้อนภาพนี้ได้ชัดคือ โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย ของบริษัท ปตท.สผ. (PTTEP) ซึ่งตั้งเป้าดักจับและกักเก็บคาร์บอนประมาณ 1,000,000 ตันต่อปี ภายใต้แผน Net Zero ของประเทศไทย ที่คาดว่าจะใช้ทั้งเทคโนโลยี CCS และ BECCS เพื่อดักจับรวมกว่า 61.3 ล้านตันภายในปี 2608 หากคำนวณจากต้นทุนเฉลี่ย 100–200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การดำเนินโครงการในระดับนี้จะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึงราว 200,000–400,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่อาจกลายเป็นภาระทางการคลังมหาศาล หากไม่มีการประเมินความคุ้มค่าอย่างรอบด้าน
คำถามจึงอยู่ที่ว่า ในขณะที่ประเทศไทยยังมีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนและการลดคาร์บอนจากระบบต้นน้ำ เราจำเป็นต้องทุ่มงบมหาศาลให้เทคโนโลยีที่ยังไม่พิสูจน์ความคุ้มค่าจริงหรือไม่?
ท้ายที่สุด ความเสี่ยงจากการลงทุนในโครงการ CCS ไม่ได้เป็นเพียงประเด็นด้านเทคนิคหรือการเงินเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงทิศทางของนโยบาย Net Zero ของประเทศไทยว่า กำลังเดินไปในเส้นทางที่ “ลดคาร์บอนจริง ๆ” หรือเพียง “ชดเชยคาร์บอนเพื่อรักษาระบบฟอสซิลเดิมไว้” หากการดำเนินนโยบายยังคงมุ่งอุดหนุนเทคโนโลยีราคาแพงที่พึ่งพากับอุตสาหกรรมฟอสซิล เราอาจกำลังสร้าง “กับดักคาร์บอน” ที่ทำให้ประเทศติดอยู่กับการพึ่งพาพลังงานรูปแบบเดิมไปอีกหลายทศวรรษ
การมุ่งสู่ Net Zero อย่างยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่คือ การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ พลังงาน และความคิดทางนโยบาย ให้ตั้งอยู่บนความเป็นธรรม โปร่งใส และให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยตั้งแต่ต้นทาง มากกว่าการ “ซ่อนคาร์บอนไว้ใต้พื้นดิน”

