หลังภาคประชาสังคมร่วมกดดันให้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยร่างรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ฉบับสมบูรณ์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องในโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง โดยเร็วที่สุด ในที่สุดร่าง EHIA ดังกล่าวก็ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะก่อนเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 3 (ค.3) เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568

กลุ่ม Beach for Life มูลนิธิภาคใต้สีเขียว มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม กรีนพีซ ประเทศไทย และเครือข่ายนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมจับตาและวิพากษ์ EHIA ท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง วิเคราะห์ ตั้งข้อสังเกต และนำเสนอข้อห่วงกังวลในประเด็นหลากหลาย พร้อมลงความเห็นว่าร่าง EHIA ฉบับนี้สอบตก! ประเด็นต่อไปนี้เป็นเพียงบางส่วนของเหตุผลที่ว่า ทำไมร่างฉบับนี้จึงไม่ได้ไปต่อในสายตาของนักวิชาการ 

1.นักวิชาการหลายคนเห็นตรงกันว่าข้อมูลในร่าง EHIA ฉบับนี้ ไม่ได้ลงไปศึกษาผลกระทบในพื้นที่จริง แต่เป็นเพียงการ copy paste ข้อมูลแบบทุติยภูมิ

ในประเด็นการวิพากษ์การประเมินผลกระทบเชิงสุขภาพ โดย นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อยให้ความเห็นโดยสรุปว่า รายงาน EHIA ฉบับนี้รวบรวมการประเมินมาเพียงข้อมูลทุติยภูมิ การกำหนดขอบเขตมีปัญหา ระเบียบวิธีวิจัยมีปัญหา และการมีส่วนร่วมของชุมชนก็มีปัญหา

จุดที่น่าสังเกตหลักของร่าง EHIA เล่มนี้ คือการกำหนดขอบเขตการประเมินผลกระทบ ซึ่งกำหนดขอบเขตผลกระทบด้านสุขภาพไม่รอบด้าน นำมาสู่ความล้มเหลวของทั้งกระบวน ยกตัวอย่าง เช่น การกำหนดขอบเขตการศึกษาจากบริเวณที่ตั้งโครงการรัศมีเพียง 5 กิโลเมตร แต่ความจริงแล้วผลกระทบด้านสุขภาพต้องประเมินไปไกลกว่านั้น ดังนั้น เกาะพยายามที่ไม่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ก็จะไม่ถูกรวมเข้ามาในการศึกษาเลย 

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย

นพ.สุภัทรยังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า รายงานฉบับนี้เลือกใช้เพียงแค่ข้อมูลทุติยภูมิ คาดว่าไม่มีการลงไปทำการประเมินในพื้นที่จริง มีการนิยามด้านสุขภาพค่อนข้างแคบ อ้างอิงถึงโรคภัยไข้เจ็บทั่วไป อุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังมีจุดที่ต้องอัพเดทข้อมูล เช่น ข้อมูลจำนวนบุคลากรทางการแพทย์สวนทางกับขนาดและจำนวนเตียงของโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลกะเปอร์ในรายงาน EHIA ระบุว่ามี 30 เตียง และมีแพทย์ 68 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง 

“แทนที่จะรายงานให้ชี้ชัดว่า ผลกระทบด้านสุขภาพของผู้คนในพื้นที่จะเป็นอย่างไรหากเกิดโครงการฯ แต่รายงาน EHIA ฉบับนี้กลับเป็นรายงานแบบก็อปแปะ (Copy Paste) ไม่ได้เข้าไปศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพจากโครงการฯ รวมทั้งยังไม่ประเมินให้ไกลเกินกว่ารัศมี 5 กิโลเมตร”

ไฟล์นำเสนอวิพากษ์ EHIA โครงการท่าเรือน้ำลึกระนอง – ชุมพร โดย นพ.สุภัทร

หลังจากอ่านร่างรายงาน EHIA เล่มนี้แล้ว นพ.สุภัทร มองว่าร่างรายงานฉบับนี้สอบตก เพราะข้อมูลไม่เพียงพอและมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง คลาดเคลื่อน ขาดการตรวจสอบ รวมทั้งตั้งคำถามเพิ่มเติมว่ารายงานฉบับนี้เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน

“สำหรับความเห็นของผม ผมอยากให้ถอนร่างรายงานนี้เนื่องจากการกำหนดขอบเขตการประเมินผลกระทบมีปัญหา ระเบียบวิธีวิจัยมีปัญหา และการส่วนร่วมของภาคประชาชนก็มีปัญหา ดังนั้นต้องถอนร่างรายงานฉบับนี้ ยกเลิกเวที ค.3 และทำการประเมินกันใหม่”

© Roengchai Kongmuang / Greenpeace

นอกจากในเชิงสุขภาพแล้ว ปัญหาการกำหนดขอบเขตของร่างรายงานยังเป็นปัญหาต่อการนำเสนอผลกระทบต่อชุมชนประมงพื้นบ้านอีกด้วย อภิศักดิ์ ทัศนี กลุ่ม Beach for Life วิพากษ์ประเด็นนี้ไว้ว่า การกำหนดขอบเขตพื้นที่โครงการ ไม่ครอบคลุมกลุ่มคนผู้ได้รับผลกระทบจริง ๆ โดยยกตัวอย่างการประเมินผลกระทบโดยการกำหนดขอบเขตใน จ.ระนอง ซึ่งกำหนดเพียงแค่ 5 กิโลเมตรจากรัศมีตัวโครงการ ซึ่งหากพิจารณาแล้วจะมีชุมชนที่ได้รับผลกระทบในรัศมี 6 ชุมชน แต่ในความเป็นจริงแล้วโครงการนี้ต้องถมทะเลราว 7,000 ไร่

โดยในร่างรายงาน EHIA ประเมินว่ามีชุมชนประมงเพียง 10 กลุ่มเท่านั้นที่อาศัยและทำประมงในบริเวณดังกล่าว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการทำข้อมูลวิทยาศาสตร์พลเมืองที่ปรากฎผลในรายงาน Landbridge Effect ก่อนหน้านี้ โดยอภิศักดิ์ร่วมเก็บข้อมูลผลกระทบกับชุมชนประมงและพบว่าบริเวณใกล้กับโครงการฯมีชุมชนมากมายอาศัยอยู่กระจายรอบ ๆ พื้นที่จำนวนมาก ซึ่งแม้จะอาศัยอยู่นอกรัศมี 5 กิโลเมตร แต่ชุมชนเหล่านี้ต่างต้องพึ่งพิงทรัพยากรในบริเวณโครงการฯ รวมถึงกลุ่มชาวมอแกนด้วย

ส่วน ดอนตาแพ้ว เป็นพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากโครงการแลนด์บริดจ์ เป็นดอนขนาดใหญ่ราว 2,000-3,000 ไร่ ตั้งอยู่ด้านหลังของเกาะพยาม ที่นี่เป็นที่ที่ชุมชนเรียกว่า ‘ขุมทรัพย์กลางทะเลระนอง’ เพราะมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่เยอะมากและมีความหลากหลายทางชีววิทยาและระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ ชุมชนประมงพื้นบ้าน และชุมชนชาติพันธุ์ ชาวไทยพลัดถิ่น ชาวมอแกนอีกกว่า 400 คนที่พึ่งพาทรัพยากรบริเวณนี้เป็นหลัก ทั้งในการดำรงชีวิตและเพื่อเลี้ยงชีพ แม้ว่าจะอาศัยอยู่นอกรัศมี 5 กิโลเมตรก็ตาม

แผนที่ทรัพยากรในระนอง – ชุมพร จากรายงาน Landbridge Effect

2.ข้อมูลสำคัญที่ควรมีแต่ไม่มีในร่าง EHIA โครงการแลนด์บริดจ์

อมรินทร์ สายจันทร์ ทนายความจากมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม ให้ข้อมูลว่า ไทยมีกฎหมายที่ว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำเป็นต้องมีการทำการศึกษาประเมินผลกระทบและให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางความคิดเห็น และต้องระมัดระวังให้เกิดผลกระทบให้น้อยที่สุดต่อประชาชน สังคม และความหลากหลายทางชีวภาพ

อมรินทร์ให้ความเห็นกับร่าง EHIA ดังกล่าวว่า ในอุดมคติแล้ว เป้าหมายของการทำรายงานประเมินผลกระทบจะต้องมุ่งศึกษากับกลุ่มผู้ที่อาจได้รับผลกระทบทางลบให้ได้มากที่สุด หากเปรียบเทียบร่างรายงาน EHIA ฉบับนี้ กับรายงาน Landbridge Effect ซึ่งประเมินผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจไว้อย่างละเอียด เราพบว่าร่าง EHIA ไม่มีข้อมูลการศึกษาเหล่านี้เลย

“เราคาดหวังว่ารายงานจะมีข้อมูลในระยะการก่อสร้างและระยะที่โครงการเริ่มดำเนินการ อย่างไรก็ตามผลกระทบถูกประเมินไว้ในแค่ในช่วงการก่อสร้างโครงการ แต่ไม่ได้พูดถึงผลกระทบในช่วงที่โครงการดำเนินการไปแล้ว เราจึงไม่ทราบว่าข้อมูลการเดินเรือขนาดใหญ่ จะส่งผลกระทบอีกมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องประมงพื้นบ้าน ซึ่งใน ค.1 มีคำถามจากชุมชนในลักษณะนี้เช่นกัน บริษัทผู้ดำเนินโครงการชี้แจงว่าจะประเมินมาให้ทราบหลังจากนี้ อย่างไรก็ตามในรายงาน EHIA ฉบับนี้ก็ยังไม่มีการกล่าวถึงหรือมีการชี้แจงข้อมูลใดๆ”

รายงานนำเสนอวิพากษ์ EHIA ประเด็นสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน โดย อมรินทร์ สายจันทร์

“นอกจากนี้ยังไม่มีมิติของผลกระทบแฝง เช่น ผลกระทบด้านวิถีชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม มีเพียงการประเมินผลกระทบด้านตัวเลขทางเศรษฐกิจ”

อย่างไรก็ตาม มีคำถามที่น่าสนใจจากชุมชนว่า ในเมื่อร่าง EHIA นี้มีความคลาดเคลื่อน มีจุดที่อาจเป็นจุดบกพร่องแล้วชุมชนสามารถฟ้องร้องอะไรได้ไหม โดยอัมรินทร์อธิบายเพิ่มเติมว่า ในไทยมีการฟ้องร้องเกี่ยวกับรายงานประเมินผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมาหลายกรณีแล้ว เช่น กรณีเหมืองถ่านหินที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งหาก ร่าง EHIA ฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เป็นรายงานฉบับจริง และชุมชนเห็นถึงความไม่ชอบธรรมในรายงานก็สามารถฟ้องร้องได้ 

3.ถ้าเลือกแลนบริดจ์ต้องทิ้งมรดกโลก

อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลยคือ พื้นที่ระนองและชุมพรนั้นมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากเรียกได้ว่ามีชีวภูมิศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ อย่างระนองนั้นขึ้นชื่อเรื่องป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อ.ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นักวิจัยทางทะเล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยว่าพื้นที่จังหวัดฝั่งอันดามันเป็นพื้นที่ที่ทั้งคณะกรรมการ IUCN หรือทีมที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลมองว่ามีศักยภาพสูงมากที่จะเป็นพื้นที่มรดกโลกทางทะเล ระนองเองที่อยู่ในฝั่งอันดามันตอนบนมีศักยภาพสูงมาก เพราะเป็นพื้นที่ที่มีระบบนิเวศทางทะเลเขตร้อนครบถ้วน

อ.ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นักวิจัยทางทะเล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

“ในปี 2564 เราได้ส่งข้อมูลเพื่อยื่นเสนอให้ระนองเป็นพื้นที่ Tentative List ตอนนั้นคณะรัฐมนตรีเห็นชอบและศูนย์มรดกโลกก็รับเรื่อง ขณะที่เรากำลังทำเรื่องต่อก็มีโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์เข้ามา หลังจากนั้นเราจำเป็นต้องพักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวจนถึงปัจจุบัน เพราะคณะรัฐมนตรีไม่ส่งเรื่องเข้า ครม. ส่วนในรายงาน EHIA ก็ไม่ระบุว่าระนองอยู่ใน Tentative List”

อ.ศักดิ์อนันต์ อธิบายเพิ่มเติมว่า มรดกโลกทางทะเลจะไม่เหมือนมรดกโลกทางบก เพราะมรดกโลกทางทะเลจะอนุรักษ์ทรัพยากรไปพร้อม ๆ กับการจัดการทรัพยากรทางทะเล นั่นหมายถึงชุมชนสามารถเข้าถึงทรัพยากรและพื้นที่มรดกโลกต้องเอื้อประโยชน์ให้กับชุมชนชายฝั่ง 

ภาพมุมสูงของ อ่าวอ่าง อ.ราชกูด จ.ระนอง

“หากไทยเลือกไปสร้างโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนบริดจ์ เราไม่สามารถพาระนองไปเป็นพื้นที่มรดกโลกทางทะเลได้”

ด้าน เกตน์สิรี ทศพลไพศาล นักรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ ประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า สิ่งที่เราเห็นว่า EHIA ไม่ค่อยกล่าวถึงคือ พื้นที่แหล่งอนุรักษ์อันดามันอยู่ใน UNESCO World Heritage Tentative List ระนองมีนิเวศภูมิภาคป่าชายเลนและกลุ่มเกาะชายฝั่ง ประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนองอุทยานแห่งชาติแหลมสน พื้นที่สงวนชีวมณฑลระนองและป่าชายเลน จังหวัดระนอง 

เกตน์สิรี ทศพลไพศาล นักรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ ประเทศไทย

รายงานที่จัดทำเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกบอกว่า พื้นที่แหล่งอนุรักษ์ฝั่งอันดามันมีความโดดเด่นสำหรับทะเลเขตร้อนซึ่งยังไม่ค่อยพบในโลก อุทยานแห่งชาติ 6 แห่ง ครอบคลุมจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต และป่าชายเลนผืนใหญ่ที่ยังอุดมสมบูรณ์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ป่าในระนองสมบูรณ์มาก ๆ เมื่อเทียบกับป่าในเมียนมา และอินโดนีเซีย 

ส่วนจุดที่น่าสังเกตในร่างรายงาน EHIA ส่วนที่เป็นการประเมินผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลชายฝั่งนั้น อ.ศักดิ์อนันต์ ชี้ไปที่ประเด็นการเก็บตัวอย่างการวิเคราะห์นิเวศวิทยาทางทะเล

ในรายงาน EHIA ไม่บอกวิธีการเก็บตัวอย่างการวิเคราะห์นิเวศวิทยาทางทะเลบริเวณโครงการว่าใช้วิธีการใด บอกแค่ว่า ‘จะใช้วิธีการที่ดีที่สุด’ โดยผลวิเคราะห์ระบุพบแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ในพื้นที่ระนองเพียงไม่กี่ชนิด ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเมื่อเปรียบเทียบกับการลงพื้นที่เก็บตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินโดยนักวิจัยและกรมอุทยานที่พบสัตว์ทะเลหน้าดินกว่าหลายร้อยชนิด เช่นเดียวกับฝั่งชุมพรที่ร่างรายงาน EHIA ระบุพบสัตว์ทะเลหน้าดินค่อนข้างน้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับงานที่นักวิจัยทางทะเล ชุมชนชายฝั่ง และกรีนพีซร่วมกันเก็บข้อมูลที่ อ.ปะทิว จ.ชุมพร พบสัตว์ทะเลหน้าดินมากถึง 242 ชนิด

The Rainbow Warrior Thailand Ship Tour: Research in Chumphon. © Baramee  Temboonkiat / Greenpeace
กรีนพีซ ประเทศไทย ทำงานร่วมกับอาสาสมัคร ชุมชน ภาคประชาสังคม องค์กร และหน่วยงานต่าง ๆ ในการทำวิจัยเพื่อผลักดันเขตคุ้มครองระบบนิเวศที่ชุมชนมีส่วนร่วม โดยมีการเก็บตัวอย่างตะกอนและหน้าดิน การทำวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Rainbow Warrior Ship Tour 2024: Ocean Justice ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการอภิปรายถกเถียงอย่างกว้างถึงนโยบายสาธารณะด้านสิทธิของชุมชนในการมีส่วนร่วมในกำหนดเขตพื้นที่และบริหารจัดการทรัพยากร เพื่อปกป้องทรัพยากรสิ่งแวดล้อมแนวชายฝั่งทะเลไปพร้อมกับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน © Baramee Temboonkiat / Greenpeace

ทั้งนี้ เกตน์สิรี เสริมว่า ในร่างรายงาน EHIA คาดว่าจะเกิดผลกระทบต่อทรัพยากรทางชีวภาพในระดับสูง สูญเสียสัตว์หน้าดินไปถาวรประมาณ 885 ล้านตัว เนื่องจากการขุดลอกร่องน้ำและถมทะเล ตะกอนจากการขุดลอกร่องน้ำทำให้แพลงก์ตอนพืชลดลง เนื่องจากตะกอนแขวนลอยในน้ำไปบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องแสงลงไปในทะเลลึกทำให้ประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนบางชนิดลดลง อาจกระทบต่อสัตว์หน้าดินและสัตว์น้ำวัยอ่อนที่กินแพลงก์เหล่านี้เป็นอาหาร กลุ่มชาวประมงจะได้รับผลกระทบสูง เนื่องจากความชุกชุมของแพลงก์ตอนลดลง การสูญเสียสัตว์หน้าดินและสัตว์น้ำวัยอ่อน และคุณภาพน้ำที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านสูญเสียที่ทำกิน สูญเสียรายได้

ในร่างรายงานระบุว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นในระยะสั้น เมื่อโครงการเสร็จสิ้นและดำเนินการจะมีการทดแทนของประชากรสัตว์น้ำในเวลาต่อมา 

“แต่ร่าง EHIA ฉบับนี้สำรวจศึกษา ประเมินเพียงแค่ในช่วงที่โครงการก่อสร้าง ไม่ได้ประเมินผลกระทบหลังโครงการเสร็จ เมื่อมีการเดินเรือขนส่งสินค้า และอุตสาหกรรมหลังท่าที่อาจจะเกิดขึ้น จึงทำให้ไม่มีการการันตีว่าจะมีการทดแทนของประชากรสัตว์น้ำในเวลาต่อมาจริงหรือไม่”

4.ร่าง EHIA ฉบับนี้ไม่ตอบคำถามและข้อห่วงกังวลของชุมชนในพื้นที่

อีกประเด็นที่สำคัญนั่นคือ การประเมินผลกระทบด้านสมุทรศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงชายฝั่ง ซึ่งวิพากษ์โดย รศ.ดร.สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

“EHIA ควรต้องตอบคำถามพื้นฐานที่อยู่ในใจคน อย่างคำถามจากคนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบหรือมีส่วนได้ส่วนเสีย โครงการนี้คือการถมทะเลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการขุดร่องน้ำอีก 11 กิโลเมตร และมีการขุดจากจุดอื่นมาถมอีก อย่างน้อยร่างรายงานฉบับนี้ตอบคนในชุมชนที่อ่าวอ่างและแหลมริ่วได้หรือไม่”

รศ.ดร.สมปราถนาแบ่งกลุ่มคำถามที่ชุมชนต้องตั้งคำถามกับโครงการออกเป็น 5 คำถาม 

คำถามที่ 1 : เมื่อมีโครงการที่ถมทะเลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หน้าบ้านชาวบ้านจะหายไปไหมนะ ? โครงการนี้จะกระทบกับชายฝั่งบ้านเรามากน้อยแค่ไหน ? โครงสร้างท่าเรือเปลี่ยนกระแสทิศของน้ำไหม?

“เราจะตอบได้ก็ต่อเมื่อทำแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่ง แต่ร่างรายงานฉบับนี้ตอบไม่ได้ เพราะไม่มีการศึกษาประวัติการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งและไม่มีการจำลองและประเมินสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มีเพียงข้อมูลทุติยภูมิทั่วไปที่ดึงมาจากกรมทรัพยากรชายฝั่ง ซึ่งโครงการใหญ่ขนาดนี้ต้องตอบคำถามให้ได้แบบเชิงลึกเพราะส่งผลกระทบเยอะมาก”

คำถามที่ 2 : ทะเลหน้าบ้านยังทำมาหากินได้หรือไม่ ?

“เพราะการขุดลอกไม่ใช่การขุดครั้งเดียวแต่เป็นการขุดร่องน้ำระยะยาว ถ้าน้ำขุ่น สัตว์ ปะการัง หญ้าทะเลก็อยู่ไม่ได้ น้ำตื้นก็เอาเรือออกไม่ได้ ชาวบ้านจะได้รับผลกระทบทันที และจำเป็นต้องใช้แบบจำลองในการคำนวนการตกตะกอนที่มาจากการขุดลอกร่องน้ำ คือแบบจำลองน้ำคลื่นน้ำลง และ คลื่น แต่รายงานฉบับนี้ไม่มีแบบจำลองที่วิเคราะห์คลื่น ทำให้ไม่มีการประเมินว่าตะกอนจะพัดไปในทิศทางไหน และทำให้การวิเคราะห์การกระจายตัวของตะกอนน้ำและน้ำขึ้นน้ำลงต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งทำให้การประเมินผลกระทบต่ำกว่าความเป็นจริง”

“การวิเคราะห์คลื่นสำคัญต่อการประเมินโครงสร้างชายฝั่ง แต่โครงการถมทะเลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ไม่มีการทำแบบจำลองคลื่น ได้เหรอ?”

คำถามที่ 3 : ถ้ามีโครงการนี้เกิดขึ้น เรือประมงกระทบไหม ชาวบ้านเดินเรือได้ไหม ?

“หนึ่งในจุดบกพร่องหนึ่งของร่าง EHIA ฉบับนี้คือ ในร่างฉบับสมบูรณ์ไม่แสดงตำแหน่งสะพานเข้าท่าเรือ ซึ่งแบบจำลองที่ EHIA ฉบับนี้ใช้ไม่สามารถจำลองตำแหน่งสะพานเข้าท่าเรือ ทำให้ชาวบ้านไม่รู้ว่าสิ่งปลูกสร้างนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อชุมชนบ้าง”

คำถามที่ 4 : ที่ทำกินไม่ได้อยู่ในขอบเขตการศึกษาผลกระทบ จะเป็นยังไง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยคือดอนตาแพ้วที่ไม่ได้อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร แต่เป็นแหล่งทำกินของชุมชนประมางหลายแห่ง ถ้าการศึกษาประเมินทำอย่างรอบด้านก็จะทราบเลยว่าจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง 

“ประเด็นแหล่งทำกินอย่างดอนตาแพ้วที่ชุมชนเป็นห่วงกันว่าอาจได้รับผลกระทบ แม้ว่าจะอยู่นอกรัศมี 5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเรื่องที่คุยกันตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มทำการศึกษาประเมินโครงการ แต่ในร่างฉบับนี้ก็ยังไม่มีการระบุข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งก็ยังตอบคำถามชุมชนไม่ได้อยู่ดี”

คำถามที่ 5 : ถ้ามีพายุเข้ามา สึนามิ จะส่งผลกระทบอะไร

รศ.ดร.สมปราถนาสิ่งที่น่ากังวลคือรายงานฉบับนี้ไม่มีการประเมินต่อภัยพิบัติสุดขั้ว (Extreme Weather Event) หรือภัยพิบัติรุนแรงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) มีเพียงการประเมินในระดับภัยพิบัติทั่วไป ซึ่งตอบคำถามชาวบ้านไม่ได้ 

อย่าง จ.ระนองมีสึนามิ ซึ่งก็คือภัยจากคลื่น หรือใน จ.ชุมพร มีพายุ พายุก็สร้างคลื่นอีก แต่ร่างนี้ไม่มีการจำลองคลื่นดังนั้น EHIA ฉบับนี้ก็ให้คำตอบต่อความห่วงกังวลของชุมชนไม่ได้ EHIA นี้ยังบกพร่องหลายประเด็น แล้วคาดการณ์จากอะไรว่าโครงการนี้จะส่งผลกระทบในระดับกลาง แม้แต่แบบจำลองคลื่นก็ไม่มีเลย แล้วคุณใช้เกณฑ์อะไรประเมิน”

5.ร่าง EHIA ละเลยสิทธิมนุษยชนและสิทธิชนพื้นเมืองชาติพันธุ์

รสิตา ซุ่ยยัง เครือข่ายรักษ์ระนอง กล่าวในฐานะของคนในพื้นที่ที่ทำงานขับเคลื่อนด้านสิทธิร่วมกับพี่น้องชาวมอแกนและกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นมาอย่างยาวนานว่า เดิมทีปัญหาในพื้นที่ก็มีอยู่แล้วมากมาย พอจะมีโครงการเข้ามาก็ยิ่งมีปัญหาเข้ามากดทับ ไม่มองถึงสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ เช่น การสื่อสารกับพี่น้อง การเข้ามาของโครงการอาจทำลายวิถีชีวิต แหล่งอาหาร และที่อยู่อาศัยของพี่น้องที่อยู่ที่นี่ทั้งชาวมอแกนและคนไทยพลัดถิ่น

“ใน EHIA ระบุเพียงว่ามีกลุ่มมอแกนอาศัยอยู่บริเวณนี้”

รสิตาตั้งคำถามต่อรัฐว่า ทำไมหน่วยงานรัฐมองไม่เห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เช่น พื้นที่อ่าวอ่างที่จะทำท่าเรือบริเวณนั้นมีกลุ่มพี่น้องชาวมอร์แกนอาศัยอยู่ พวกเขาใช้ภาษาเฉพาะถิ่น พวกเขาอาศัยอยู่ในเกาะพยามมากว่าร้อยปีแล้ว กลุ่มมอแกนมีภูมิปัญญาท้องถิ่นในการดำรงชีวิต เช่น การดำน้ำจับปลาและสัตว์ทะเลเพื่อยังชีพ เขาประเมินได้ว่ามรสุมจะเข้ามายังเกาะเมื่อไหร่ บริเวณไหน และพวกเขาสามารถหลบภัยได้ที่ไหน นี่คือมิติสิทธิมนุษยชนชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ที่ไทยยังเพิกเฉย

ที่ผ่านมา รสิตาทำงานกับกลุ่มพี่น้องมอแกน เธอพยายามบอก สนข. มาตลอดว่าต้องเชิญคนกลุ่มนี้มารับรู้เรื่องโครงการแลนด์บริดจ์ด้วย แต่พี่น้องมอแกนก็ไม่เคยได้รับเชิญ แล้ววิถีชีวิตของมอแกนแอบอิงกับการประมงและการใช้ชีวิตกับทะเลมาตลอด แต่ถ้าโครงการแลนด์บริดจ์เข้ามาแล้วพวกเขาต้องได้รับผลกระทบไม่สามารถทำมาหากินหรือออกเรือเพื่อจับกุ้ง หอย ปู ปลา ได้ หลายคนยังมีปัญหาเรื่องบัตรประชาชนซึ่งก็ทำให้เขาออกจากพื้นที่ไม่ได้อีก แล้วพวกเขาจะอยู่อย่างไร

ชายชาวมอแกนหลังกลับจากจับปลา เกาะพยายาม จ.ระนอง

“โครงการต้องมีการขุดเจาะเพื่อก่อสร้างและพื้นที่ดังกล่าวก็ทับซ้อนกับแหล่งทำมาหากินของกลุ่มมอแกน เรานำแผนที่ท่าเรือไปให้พี่น้องดูเขาหนักใจเลย”

“ถ้าทั้งพี่น้องมอแกนและพี่น้องไทยพลัดถิ่นต้องออกจากพื้นที่เพราะจะได้รับผลกระทบจากโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ แต่หลายคนยังไม่ได้บัตรประชาชน พวกเขาออกจากพื้นที่ไม่ได้ ทำงานอะไรในระบบได้ไหม ก็ทำไม่ได้ ปัญหาเก่ายังไม่ได้แก้แต่นำปัญหาใหม่เข้ามาอีก”

สิ่งที่สรุปได้จากเวทีนี้ นอกจากความไม่รอบด้านของการประเมินผลกระทบทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของโครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ระนอง – ชุมพร แล้ว ร่างรายงาน EHIA ฉบับนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามซ้ำแล้วซ้ำอีกในการนำเอาระบบ EIA/EHIA มาเป็นเครื่องมือในการอ้างสิทธิ์ให้กับโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยไม่ได้นำเอาไปใช้วัดประเมินผลกระทบต่อผู้คนในพื้นที่นั้น สุดท้ายกลุ่มคนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือชุมชน

จากประเด็นทั้งหมดที่เรารวบรวมมา ยังมีประเด็นด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจในเวที “วิพากษ์ EHIA ท่าเรือเเลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง” ชม Live ย้อนหลังได้ ที่นี่ แล้วมาลองพูดคุยกันค่ะว่าพื้นที่ระนอง – ชุมพร คุ้มค่าหรือไม่ที่จะเอาไปแลกกับแลนบริดจ์