พยุง มีสบาย นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม จังหวัดระยอง ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อแก้ปัญหาไฟตกบ่อย เพราะสามีของเธอเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา หากต้องพึ่งพาไฟฟ้าของรัฐอย่างเดียว นั่นหมายถึงความเป็นความตายของสามีที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้หากไฟตกหรือไฟฟ้าดับ 

บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาบ้านตัวเองที่สมุทรสงคราม เพราะต้องการสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริง และเพื่อยืนยันถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงพลังงานที่เป็นธรรม ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัย ‘เสียดายแดด’ และ ‘อย่าบังแดด’ที่เธอทำงานร่วมกับอาจารย์ประสาท มีแต้ม กรรมการนโยบายด้านบริการสาธารณะพลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ชี้ให้เห็นถึงนโยบายของรัฐที่เป็นกำแพงขวางการเข้าถึงพลังงานสะอาดมายาวนาน

ส่วน ขวัญกนก กษิรวัฒน์ คือเจ้าของร้านลันตา มาร์ท ซูเปอร์มาร์เก็ตบนเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ผู้เคยร่วมคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ เธอนำศักยภาพของแสงแดดภาคใต้ ดินแดนที่ถูกเรียกว่า ‘ฝนแปดแดดสี่’ มาผลิตไฟฟ้าใช้ และผลประกอบการในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง ก็ได้ลบข้อสงสัยถึงความเสถียรของไฟฟ้าที่ได้มาจากพลังงานแสงอาทิตย์ไปอย่างหมดสิ้น

เรื่องราวของเธอทั้งสามที่ปรากฏอยู่ในหนังสารคดีขนาดสั้น ‘ฉากหน้ามั่นคง ฉากหลังมั่งคั่ง’ สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมของระบบพลังงานไทย แต่ในทางกลับกันก็ได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของพลังงานที่ทุกคนเป็นเจ้าของได้อย่างมั่งคั่ง แม้ในวันที่นโยบายของรัฐยังไม่เป็นใจ ทั้งยังจุดประกายและเป็นแรงผลักให้คนที่สนใจแต่ยังไม่รู้จะเริ่มดีไหม เพราะยังมีข้อกังวลใจอยู่หลายประเด็น ไม่ว่าเรื่องความคุ้มทุน ความเสถียรของกระแสไฟฟ้า ฯลฯ ได้คลายความกังวลจาก ‘มายาคติ’ ที่เคยได้ยินมา 

เรามาลองจินตนาการดูว่า จะเป็นเรื่องดีแค่ไหนหากไฟฟ้าที่ส่องสว่างจากแสงบนหลังคาบ้านของต้นเรื่องทั้งสาม ที่อยู่ในภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคใต้ คือจุดเล็ก ๆ ที่กลายเป็นต้นแบบให้คนในชุมชนได้เชื่อมจุดต่อกันออกไปจนขยายครอบคลุมได้ทุกพื้นที่ แล้วโรงไฟฟ้าฟอสซิลหรือโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่ได้รับสิทธิในการผลิตอย่างผูกขาดมายาวนาน จะยังจำเป็นอีกไหม สำหรับประเทศที่ร่ำรวยทรัพยากรแสงแดด ซึ่งเป็นต้นทุนที่ทุกคนมีสิทธิและเป็นเจ้าของร่วมกันอยู่นี้

คำถามแบบปลายเปิดถูกทิ้งท้ายเอาไว้ในใจผู้ชมหลังได้ชมสารคดี ก่อนที่จะได้ฟังเรื่องเล่าจากเจ้าของเรื่องตัวจริงอย่าง ขวัญกนก กษิรวัฒน์ และผู้ใช้พลังงานโซลาร์ตัวจริงอย่าง อัลลิยา เหมือนอบ หนึ่งในเครือข่ายผลักดันด้านพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรม ผู้ร่วมก่อตั้ง โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานโซลาร์ภาคประชาชน เพื่อให้ทุกคนได้ติดตั้งโซลาร์อย่างมั่นใจในต้นทุนที่ต่ำลง และ มารีญา พูลเลิศลาภ CEO แห่ง Siam Sun ธุรกิจบริการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ในวงสนทนา ‘ติดก่อน ไม่รอ(รัฐ)ล้าววววน้า’ วงสนทนาที่มีชื่อหัวข้อแบบ ‘ทีเล่น’ แต่ ‘ทำจริง’ จากผู้ใช้จริง เพื่อย้ำคำตอบให้ชัด ๆ อีกครั้งว่า การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานสะอาดที่เป็นธรรมและยั่งยืนที่แท้จริง เกิดขึ้นในประเทศไทยได้ หากประชาชนได้รับการสนับสนุนการติดโซลาร์รูฟท็อปอย่างจริงจังจากรัฐ

ในฐานะหนึ่งในผู้คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ และต่อสู้นานหลายปีจนโครงการยุติ ขวัญกนก เล่าว่า เมื่อตนเองคัดค้านถ่านหิน ก็ต้องหาอะไรมาทดแทนเพื่อยืนยันการปฏิเสธพลังงานฟอสซิลและเป็นทางเลือกที่ให้ผลประจักษ์ จึงเริ่มติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในสถานประกอบการของตนเอง ตั้งแต่ปี 2558 ที่การใช้พลังงานโซลาร์ยังไม่อยู่ในกระแส แม้เวลานั้นต้นทุนการติดตั้งจะสูงลิ่ว ที่นอกจากต้นทุนของแผงโซลาร์และการติดตั้งแล้ว ยังต้องปรับเปลี่ยนหลังคา สายไฟ และอื่น ๆ เพื่อให้สามารถประหยัดพลังงานได้อย่างเต็มที่ 

9 ปีของการใช้พลังงานโซลาร์ ไม่เพียงแต่คุ้มกับการลงทุนเท่านั้น แต่เธอยังได้เรียนรู้จนเข้าใจถึงระบบไฟฟ้าและสามารถเอามาปรับใช้กับการใช้งานของตัวเองได้

“ตอนที่ติดโซลาร์ ร้านเรายังไม่ได้ขยายใหญ่ขนาดนี้ ตอนนั้นจ่ายค่าไฟเดือนละ 1.2 แสน พอติดแล้วเราจ่ายแค่ 4 หมื่นในช่วงโลว์ซีซัน ช่วงไฮซีซันก็ประมาณ 7 หมื่น ตอนกลางวันเราจะพยายามไม่ให้ไฟพีค เพราะถ้าพีควันเดียว จะกลายมาเป็นตัวคูณค่าไฟของเราเลย เราเลยต้องหัดดูกราฟไฟให้เป็นเพื่อวางแผนการใช้ไฟ ช่วงไหนพีคเกินไปแล้วเราก็ต้องลด ซึ่งคนที่มีหม้อแปลงขนาดใหญ่สามารถดูกราฟได้หมด อย่างของเราใช้ไฟสูงสุดช่วงค่ำ เราใช้แบตเตอรี่เก็บไฟที่ผลิตได้กลางวันเพื่อมาใช้ทดแทนในเวลานั้น ค่าไฟก็จะไม่สูง แต่ด้วยระบบที่ร้านของเรามันใหญ่ แบตเตอรี่สิบลูกก็ไม่พอ ก็ต้องบริหารจัดการอย่างอื่นด้วย อย่างการปิดห้องเย็น หรือไม่ต้องเปิดแอร์หมดทุกตัว ไม่ต้องถึงขนาดเย็นฉ่ำ แค่เย็นก็พอแล้ว”

มารีญา เห็นด้วยว่าการอ่านกราฟการใช้ไฟเป็นเรื่องที่ควรเรียนรู้ “เราสามารถดูการใช้งานได้แบบเรียลไทม์ ทั้งการใช้ไฟจากโซลาร์และไฟจากการไฟฟ้า ถ้าเราใช้มากเกิน เราอาจโดนค่าปรับถึง  25-50 เปอร์เซ็นต์ของค่าไฟ การที่เราอ่านกราฟเป็นทำให้เราสามารถปรับปรุงการใช้พลังงานในการทำธุรกิจ และประหยัดได้เยอะมาก”

เธอให้ความเห็นต่อว่า หากประเทศไทยหันเหทิศทางมาสนับสนุนการใช้พลังงานโซลาร์ จะตอบเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต้องการจะไปถึง “อุตสาหกรรมพลังงานเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบต่อ climate change หรือภาวะโลกรวนมากที่สุด เพราะการเผาพลังงานฟอสซิลปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด ในขณะที่พลังงานโซลาร์มีต้นทุนถูกที่สุดเป็นอันดับสอง และประเทศไทยมีแสงแดดให้เราผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอตลอดเวลา แต่การใช้พลังงานโซลาร์บ้านเราปัจจุบันยังมีอยู่แค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่เยอรมนีที่ไม่ได้มีแดดดีเท่าเราใช้โซลาร์กันกว่า 40 เปอร์เซ็นต์” 

มารีญา ตั้งข้อสังเกต ก่อนจะเล่าถึงเหตุผลที่เธอหันมาจับธุรกิจพลังงานโซลาร์ว่า “เราเห็นทั้งคนทั่วไป SME หรือบริษัทใหญ่ ยังไม่พร้อมที่จะใช้โซลาร์ด้วยเหตุผลในการลงทุน เราเลยสร้าง business model ขึ้นมา โดยเราเป็นผู้ลงทุนให้ เพื่อให้การเข้าถึงพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์เป็นไปได้ง่ายและเร็วขึ้น การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเป็นเรื่องสำคัญมากและเป็นวาระสำคัญที่สุดของโลกเวลานี้ ถ้าเราอยากจะอยู่ต่อบนโลกนี้ได้อย่างสบายและมีทรัพยากรเพียงพอ เราต้องช่วยกันผลักดัน”

ในมุมของคนทั่วไปที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อใช้ในครัวเรือน อัลลิยา แชร์ประสบการณ์ถึงขั้นตอนอันเยอะและยุ่งยาก “คนทั่วไปเข้าถึงการติดโซลาร์ได้ยาก ขนาดเราทำงานขับเคลื่อนเรื่องพลังงาน พอจะมีข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง ก็ยังต้องถามเยอะมาก ต้องมาเรียนรู้ว่าเทคโนโลยีไม่ได้มีแต่แผงโซลาร์นะ มันต้องมีอินเวอร์เตอร์แปลงไฟ ขนาดสายไฟก็ต้องเลือกให้ถูก เล็กไปก็จะไหม้ มันมีเรื่องเทคนิค เรื่องช่าง ยังไม่รวมถึงปัญหาการคัดกรองช่างที่ไว้ใจได้อีก ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมีเยอะมากแต่ก็ทำให้สับสนได้ เลยเป็นที่มาให้เรารวมกลุ่มกับเพื่อนทำแคมเปญ ‘ก๊วนหิวแสง’ เราเป็นเหมือนเพื่อนที่เป็นที่ปรึกษา แนะนำคนที่จะติดโซลาร์เซลล์โดยอาศัยประสบการณ์จากพวกเราเองมาบอกต่อ” 

ต่อข้อสงสัยถึงความมั่นคงของไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ขวัญกนก ซึ่งอยู่ในดินแดนฝนแปดแดดสี่ ยืนยันอีกครั้งว่า แสงแดดเมืองไทยมีเพียงพอ และโซลาร์ไม่ได้ต้องการความร้อนของแสงแดด ในทางกลับกัน หากร้อนมากเกินไปจะไม่ดีต่อการผลิตไฟฟ้าเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นขอเพียงแค่มีแสง ก็สามารถผลิตพลังงานได้แล้ว 

“จากที่ตัวเองสัมผัสมา การติดโซลาร์ปัจจุบันนี้ไม่ยากเท่า 9 ปีที่แล้วที่เราเริ่มต้นโดยไม่มีความรู้ แล้วราคาถูกลงมาก จากแผงขนาด 310 วัตต์ ราคาแผงละ 10,700 บาท เดี๋ยวนี้ขนาด 610 วัตต์ แผงละ 4,500 บาท ซึ่งเป็นแผงคุณภาพดีด้วย อยากแนะนำว่าในการติดให้เลือกอุปกรณ์คุณภาพดีไว้ก่อน เพื่อจะได้ไม่เป็นกังวลในระยะยาว 

“โซลาร์เซลล์ดีมากสำหรับคนใช้ไฟกลางวัน สถานที่ราชการอย่างโรงพยาบาลหรือหน่วยงานที่ใช้ไฟกลางวันเยอะควรติดโดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ เพราะต้นทุนไม่สูงแล้ว คุณภาพดีขึ้น น้ำหนักเบาลง อุปสรรคน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก แต่สำหรับภาคครัวเรือน เงินทุนก็ยังเป็นเรื่องสำคัญอยู่ ถ้ารัฐมีนโยบายให้ความช่วยเหลือให้ชาวบ้านเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ มีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ก็จะดีสำหรับประชาชนทั่วไป”

เรื่องต้นทุนการติดตั้งยังเป็นอุปสรรคทำให้คนเข้าไม่ถึงพลังงานโซลาร์ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิด ‘ก๊วนหิวแสง’ ขึ้นมา ไอเดียการเหมาซื้อถูกกว่า ทำให้ อัลลิยา รวมตัวกับเพื่อนที่จะติดโซลาร์เซลล์เพื่อซื้อและต่อรองราคา ไม่นับเรื่องขั้นตอนการขออนุญาตที่ยุ่งยาก เรื่องเอกสารที่ทำให้คนสับสนจนถอดใจไปก่อน ทั้งยังมีเรื่องโควต้าของ Net Metering และ Net Billing ที่ถูกดับฝันลงไปตรงหน้า 

“เคยลองยื่นกู้ธนาคารที่มีสินเชื่อสีเขียว แต่สิ่งที่เราพบคือนโยบายของธนาคารส่วนใหญ่มีให้เฉพาะผู้ประกอบการ ในฐานะประชาชนทั่วไปแทบไม่มีสินเชื่อนี้เลย หรือกระทั่งนโยบายภาษีที่เอื้อกับประชาชนที่หันมาลดคาร์บอน ก็มีแต่งดภาษีนำเข้าสำหรับผู้ประกอบการ แล้วเมื่อไรจะมาถึงประชาชน ประชาชนก็คาดหวังเหมือนกันว่าถ้าติดโซลาร์เซลล์แล้วจะเอาไปลดหย่อนภาษีได้บ้าง 

“หรือเรื่อง Net Billing ก่อนหน้านี้รัฐมีการเปิดโควต้ารับซื้อไฟจากประชาชนในราคาหน่วยละ 2.2 บาท เราคาดหวังว่าติดโซลาร์เซลล์แล้วจะได้เข้าร่วมโครงการนี้ แต่หลังประกาศไปแค่สัปดาห์เดียว รัฐก็ออกมาประกาศว่าโควต้าเต็ม ทั้งที่เราคิดว่าจะได้เอาไฟส่วนที่ผลิตเกินขายคืนการไฟฟ้า เพื่อการไฟฟ้าจะได้เอาไปขายกับเพื่อนบ้านเราต่อ มันน่าเสียดายที่ทำให้การคุ้มทุนในการติดโซลาร์ของเราต้องยืดเวลาไปอีก จากที่เราคำนวณไว้ว่าถ้าขายไฟคืนได้ เราอาจจะคุ้มทุนภายใน 3 ปี ก็อาจกลายเป็น 4-5 ปี

“จากการทำแคมเปญก๊วนหิวแสง มีเพื่อน ๆ หลายคนมาพูดคุยกันเยอะว่าอยากติดโซลาร์เซลล์ ครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มคนทำงานที่ไม่ได้อยู่บ้านช่วงกลางวัน เขามีความต้องการและเงินทุนที่จะติดแล้ว แต่พอไม่มีโควต้าก็คิดว่าอาจจะยังไม่คุ้มค่าที่จะติดตอนนี้ เพราะนโยบายของรัฐไม่ได้เอื้อให้คนกลุ่มนี้เข้ามามีส่วนร่วม ตอนนี้เครือข่ายเรามีนโยบายผลักดันเรื่อง Net Metering เราคาดหวังว่าช่วงไหนที่เราผลิตไฟฟ้าได้เกิน จะขอเอาไปฝากไว้กับการไฟฟ้าได้ แล้วกลางคืนเราเอากลับมาใช้แบบหักลบกันไป มันจะเป็นการช่วยเหลือกลุ่มคนที่กลางวันไม่ค่อยอยู่บ้าน และอยากจะมีอิสระด้านพลังงาน”

มารีญา เสริมว่า “ถ้าเปิดตลาดให้ทุกคนสามารถผลิตพลังงานได้ และสามารถขายคืนให้รัฐ หรือเก็บเอามาไว้ใช้เองตอนกลางคืน ก็จะสร้างแรงจูงใจและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้สูงสุด แต่มันกลับเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด กับอีกเรื่องหนึ่งคือการลงทุนในกริดเพื่อขยายการรองรับพลังงานที่จะถูกขายคืน สองสิ่งนี้เป็นเรื่องที่อยากให้รัฐสนับสนุนเพื่อเปิดโอกาสและเปิดตลาดให้กับทุกคน

“ตอนนี้นอกจากประเทศไทยเราจะผลิตพลังงานเพียงพอ เรายังนำเข้าพลังงานอีก 50 เปอร์เซ็นต์จากต่างประเทศ นั่นหมายความว่าเงินเราออกไปนอกประเทศ แต่ถ้าเราสามารถผลิตพลังงานและใช้พลังงานที่เราผลิต เงินของเราก็จะอยู่ในประเทศเช่นกัน มันช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจด้วย อีกเรื่องหนึ่งที่ควรถูกพูดถึง คือเรือที่เรานำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ก๊าซฟอสซิลเหลวและ ถ่านหิน ซึ่ง 50 เปอร์เซ็นต์เดินทางมาด้วยน้ำมันฟอสซิล ถ้าเราหยุดการนำเข้าถ่าหิน และก็าซฟอสซิลเหลว(LNG) ได้ เราจะลดการรั่วไหลของน้ำมันในทะเลลงได้”

“เราอยู่ในยุคที่ต้องระวังกับทุกสิ่งที่เราทำ เราไม่มีเวลาลองผิดลองถูกอีกแล้ว เรามีเวลาเหลือน้อยในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน สำหรับการลงทุนที่ยังเป็นเรื่องติดขัดสำหรับคนทั่วไป ตอนนี้มีบริษัทต่าง ๆ รวมถึง Siam Sun ที่สามารถเข้ามาช่วยในการลงทุนติดตั้ง อยากให้คนที่สนใจได้ลองศึกษาดู หรือหากมีโอกาสก็สามารถร่วมรณรงค์ คัดค้าน เป็นปากเป็นเสียง หรือส่งเสียงไปถึงรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบาย เชื่อว่าการร่วมมือกันจะทำให้เกิดพลังที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง”

สำหรับคนทั่วไปที่สนใจจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ อัลลิยา ชวนให้เปิดใจและหาข้อมูลให้มาก “ข้อมูลเดี๋ยวนี้ไม่ยากแล้ว อุปกรณ์ก็ค่อนข้างสำเร็จรูปมาระดับหนึ่ง ถ้าคำนวณแล้วว่าติดแล้วคุ้มเพราะกลางวันมีคนอยู่บ้านก็แนะนำว่าลงทุนเถอะ  3-4 ปีก็คืนทุนแล้ว หรือถ้าติดภายใต้โครงการก๊วนหิวแสง เราจะได้ราคาพิเศษลงมาอีก คำนวณแล้วสามารถคืนทุนภายใน 3 ปีด้วยซ้ำ ถ้ายังไม่แน่ใจก็ติดต่อกับก๊วนหิวแสงได้ เรายินดีให้คำปรึกษาทุกอย่าง”

เรื่องเล่าจากวงเสวนา แสดงให้เห็นแล้วว่า หากจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ เราไม่จำเป็นต้องรอรัฐให้ล่าช้าอีกต่อไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม รัฐก็ยังมีหน้าที่ในการผลักดันนโยบายและกลไกต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานโซลาร์ได้อย่างเป็นธรรม และสร้างความมั่นคงทางพลังงานร่วมกันได้ 

ทั้งนี้ กรีนพีซ ประเทศไทย ยังยืนยันในข้อเรียกร้อง 3 ประเด็น คือ (1) ประเทศไทยต้องหยุดการใช้ก๊าซฟอสซิลที่นำเข้าจากต่างประเทศมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งต้นทุนนี้ได้กลายเป็นภาระหนี้สินที่คนไทยต้องแบกรับ (2) ต้องกระจายศูนย์อำนาจในการผลิตไฟฟ้าไปสู่ประชาชน ไม่ควรให้การผลิตไฟฟ้ากระจุกอยู่เพียงกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง และ (3) รัฐต้องส่งเสริมนโยบาย Net Metering และ Net Billing เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาติดโซลาร์รูฟท็อป เพื่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานสะอาดที่เป็นธรรมและยั่งยืนอย่างแท้จริง