ผู้นำภาคประชาสังคมยังเรียกร้องความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมมากขึ้น ในการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่กำลังจะถึง
กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 23 สิงหาคม 2567 — ภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อมเรียกร้องให้มีการกำหนดเกณฑ์ที่เข้มงวดเพื่อยุติผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ก่อมลพิษและสารเคมีที่เป็นพิษในการผลิต ในระหว่างที่สมาชิกสหประชาชาติและผู้เชี่ยวชาญมารวมตัวกันที่กรุงเทพฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับสนธิสัญญาพลาสติกโลก
นักรณรงค์ชี้ให้เห็นว่าการประชุมที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่สุดในการจัดการวิกฤตพลาสติกที่ก่อปัญหา เช่น พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและซองพลาสติก หรือที่เรียกว่า “ซองซาเช่” (sachet) เป็นซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกขนาดเล็กที่จำหน่ายสินค้าแบบแบ่งปริมาณ (ขนาดทดลอง) ซึ่งทำให้ระบบการจัดการขยะล้นเกินและส่งผลให้เกิดมลพิษทางทะเลและไมโครพลาสติก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา
“มลพิษจากพลาสติกเป็นวิกฤตระดับโลก ที่เกิดจากการพึ่งพาพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทางแก้ไขคือการกำจัดผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นเหล่านี้และนำระบบการใช้ซ้ำ (Reuse) และการเติม(Refill) กลับมาใช้ ซึ่งเคยมีอยู่ก่อนที่สังคมของเราจะเต็มไปด้วยซองและพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง การผลิตซองซาเช่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และระบบการจัดการขยะของเราก็ล้นเกินอยู่แล้ว เราจำเป็นต้องเปลี่ยนไปสู่ระบบการใช้ซ้ำและการเติมโดยด่วน” วอน เฮอร์นานเดซ ผู้ประสานงานระดับโลกของ Break Free From Plastic (BFFP) กล่าว
ซองซาเช่ ได้เข้ามาแทนที่ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทข้ามชาติในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (Fast-moving Consumer Goods – FMCG) ได้ส่งเสริมการใช้ซองซาเช่ในประเทศกำลังพัฒนา ส่งผลให้เกิดปัญหาขยะล้นและมลพิษทางทะเลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การตรวจสอบแบรนด์ที่ดำเนินการโดย BFFP พบว่าซองซาเช่เป็นหนึ่งในประเภทของขยะพลาสติกที่พบมากที่สุดในแอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นักรณรงค์ยังเรียกร้องให้บริษัทและรัฐบาลนำเอานโยบาย มาตรฐาน โครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนทางการเงินที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
“การลดปริมาณพลาสติกสามารถทำได้โดยการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการใช้ซ้ำอย่างจริงจัง และนำแนวปฏิบัติการใช้ซ้ำมาใช้อย่างแพร่หลาย สนธิสัญญาพลาสติกโลกครั้งนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษในการสร้างกรอบงานระดับโลกที่เข้มแข็ง ซึ่งให้ความสำคัญกับการใช้ซ้ำ โดยการกำหนดเป้าหมายทางกฎหมายที่ชัดเจนและบังคับใช้ได้จริง สนธิสัญญานี้จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นในด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย และแนวปฏิบัติเพื่อสนับสนุนระบบการใช้ซ้ำ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหามลพิษจากพลาสติกตั้งแต่ต้นทางด้วยการลดความต้องการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและลดปัญหาที่ตามมาในการจัดการขยะ” ศลิษา ไตรพิพิศิริวัฒน์ นักรณรงค์อาวุโสและผู้จัดการโครงการพลาสติกแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก Environmental Justice Foundation กล่าว
ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย เรียกร้องถึงรัฐบาลไทยว่า “เราควรใช้โอกาสนี้ในการยุติวิกฤตมลพิษพลาสติก โดยผลักดันสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลกที่จำกัดการผลิตและการห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เราไม่ควรเชื่อข้ออ้างของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งมีเป้าหมายในการแสวงหาผลกำไรมากกว่าสวัสดิภาพส่วนรวมในการใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม เช่น พลาสติกเครดิต และการรีไซเคิลทางเคมี เราจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยผ่านกฎหมายการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน จัดทำแผนการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตอย่างครบถ้วน แผนลดการใช้และผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เป็นปัญหาและไม่จำเป็น และส่งเสริมการลดปริมาณพลาสติก การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และการใช้ซ้ำ รัฐบาลไทยจำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้ให้ถูกต้อง เพราะสุขภาพ สภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อมของเรากำลังอยู่ในความเสี่ยง”
ดร.ชาห์เรียร์ ฮอสเซน ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมการประชุมที่กรุงเทพฯ เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีสนธิสัญญาพลาสติกโลก เพื่อยุติการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายและสนับสนุนการพัฒนาทางเลือกที่ไม่เป็นพิษว่า “สารเคมีมากกว่า 13,000 ชนิดถูกใช้ในพลาสติก โดยมีมากกว่า 3,200 ชนิดที่ถูกจัดประเภทเป็นสารอันตราย ซึ่งหมายความว่าสารเหล่านี้มีความเป็นพิษ มีความคงทน หรือมีคุณสมบัติที่น่ากังวลอื่นๆ หากไม่แก้ไขปัญหานี้ พลาสติกจะทำให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษรุนแรงขึ้น”
ความสำเร็จของสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลกตามที่ อนา โรชา ผู้อำนวยการองค์กรกายา ซึ่งเป็นโครงการพลาสติกของพันธมิตรระดับโลกเพื่อทางเลือกอื่นแทนการเผาขยะ (Global Alliance for Incinerator Alternatives-GAIA) กล่าวว่า “กลไกทางการเงินที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สนธิสัญญาสามารถบรรลุเป้าหมายในการยุติมลพิษพลาสติก นอกจากนั้น กลไกทางการเงินต้องสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมและสร้างโครงการเพื่อสนับสนุนให้มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดเพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญานี้ด้วย”
องค์กรภาคประชาสังคมยังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการขาดผู้สังเกตการณ์ และการขาดการมีส่วนร่วมในกระบวนการระหว่างการประชุม และได้ส่งจดหมายถึงสำนักเลขาธิการ INC เพื่อเรียกร้องให้มีการเผยแพร่การประชุมสู่สาธารณะ
“ภาคประชาสังคม ผู้ถือสิทธิ รวมถึงชนพื้นเมือง ต้องได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญ เรารู้สึกผิดหวังอย่างมากที่สำนักเลขาธิการ INC และ UNEP ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงท่าทีต่อการมีส่วนร่วมของผู้สังเกตการณ์ แม้ว่าภาคประชาสังคมและกลุ่มผู้ถือสิทธิจะได้เรียกร้องประเด็นนี้แล้วหลายครั้ง การขาดการมีส่วนร่วมของกลุ่มเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนพื้นฐานในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิทธิที่สำคัญ โดยเฉพาะต่อกลุ่มผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด”
ธรเมศ ชาห์ จากพันธมิตรภาคประชาสังคมและผู้ถือสิทธิในสนธิสัญญาพลาสติกกล่าว
การประชุมที่กรุงเทพฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุเกณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติก สารเคมี และการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตลอดจนแหล่งที่มาที่เป็นไปได้และวิธีการดำเนินการสนธิสัญญาพลาสติก รวมถึงกลไกทางการเงิน โดยผลลัพธ์จะถูกพิจารณาในการเจรจารอบสุดท้ายของสนธิสัญญา (INC-5) ที่ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 2567
หมายเหตุ:
- สมาชิกสหประชาชาติและผู้เชี่ยวชาญจะมาประชุมกันระหว่างวันที่ 24-28 สิงหาคม 2567 เพื่อการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคที่จะช่วยพัฒนางานของคณะกรรมการที่มีหน้าที่พัฒนาข้อตกลงที่มีผลผูกพันระหว่างประเทศเพื่อยุติมลพิษจากพลาสติก
- กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมี 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมีการประชุมเพื่อระบุและวิเคราะห์แนวทางที่มีเกณฑ์ชัดเจนและแนวทางที่ไม่อิงเกณฑ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พลาสติก สารเคมีที่น่ากังวล และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เน้นการนำกลับมาใช้ซ้ำและรีไซเคิลได้ (Reusability and Recyclability) ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอีกกลุ่มจะเน้นการพัฒนาการวิเคราะห์แหล่งที่มาที่เป็นไปได้และวิธีการดำเนินการสนธิสัญญาพลาสติก รวมถึงกลไกทางการเงินที่เป็นไปได้
- ซองซาเช่ เป็นซองหรือห่อบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งมักทำจากพลาสติกและ/หรือวัสดุผสม เช่น กระดาษและโลหะที่ได้แพร่หลายในตลาดในเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาแทนที่ระบบผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิม
- ประมาณการณ์ว่าในปี 2562 มีการขายซองซาเช่ประมาณ 855 พันล้านซองทั่วโลก (Greenpeace, 2562)
- ภาพถ่ายและคำบรรยายภาพสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ เครดิตภาพ: Ezra Acayan, on assignment for Break Free From Plastic
- ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกที่นี่
เกี่ยวกับ Break Free From Plastic
#BreakFreeFromPlastic เป็นขบวนการระดับโลกที่อยากเห็นอนาคตที่ปราศจากมลพิษจากพลาสติก ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2559 มีองค์กรมากกว่า 3,500 แห่งซึ่งเป็นตัวแทนของผู้สนับสนุนหลายล้านคนทั่วโลกได้เข้าร่วมขบวนการนี้ เพื่อเรียกร้องให้ลดปริมาณพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและผลักดันการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนต่อวิกฤตมลพิษจากพลาสติก องค์กรสมาชิกและบุคคลของ BFFP มีค่านิยมร่วมกันในด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อมและความยุติธรรมทางสังคม และทำงานร่วมกันผ่านแนวทางขององค์รวมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบ ซึ่งหมายถึงการแก้ไขปัญหามลพิษจากพลาสติกในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่าพลาสติก ตั้งแต่การสกัดจนถึงการกำจัด โดยเน้นการป้องกันมากกว่าการแก้ไขและการเสนอทางออกที่มีประสิทธิภาพ
ติดต่อสื่อมวลชน
ศลิษา ไตรพิพิศิริวัฒน์ (Environmental Justice Foundation Thailand): [email protected]
สแกนเพื่อรับชุดข้อมูลสื่อดิจิทัล: https://bit.ly/BFFPpresskitintersessionals