กรุงเทพฯ, 11 มิถุนายน 2568 – กรีนพีซ ประเทศไทย กลุ่มศึกษาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC Watch) มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) และมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) ในฐานะขององค์กรภาคประชาสังคม ร่วมยื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร[1] โดยมีคุณพูนศักดิ์ จันทร์จำปี ประธานคณะกรรมาธิการ เป็นผู้รับมอบหนังสือด้วยตัวเอง กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมเรียกร้องให้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และผลักดันการปฏิรูประบบการจัดการอุบัติภัยน้ำมันรั่วในทะเลอย่างยั่งยืนและรอบด้าน หลังเกิดกรณีท่อรับน้ำมัน SBM-2 ของบริษัทไทยออยล์ รั่วไหลซ้ำในอำเภอศรีราชา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568
เหตุการณ์น้ำมันรั่วซ้ำสองในจุดเดิมภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี สะท้อนถึงจุดอ่อนของระบบความปลอดภัย การควบคุมกำกับ และการจัดการมลพิษ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเปราะบางทางนิเวศวิทยาและวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งต้องพึ่งพาทะเลเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญ จากข้อมูลของกรมเจ้าท่า ตั้งแต่ปี 2517 ถึงต้นปี 2567 ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลแล้วกว่า 200 ครั้ง แสดงถึงการขาดกลไกป้องกันที่เข้มแข็ง และระบบความรับผิดชอบที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหากยังไม่มีการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม ทรัพยากรทางทะเลอันล้ำค่าของไทยอาจเสียหายและเสื่อมโทรมลงอย่างไม่อาจฟื้นกลับได้
อัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า
“เหตุการณ์น้ำมันรั่วซ้ำซาก จากทุ่นกลางทะเล SBM-2 ของบริษัทไทยออยล์ ในเขตอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ไม่ใช่ความผิดพลาดทางเทคนิค แต่เป็นหลักฐานชัดเจนของความล้มเหลวเชิงระบบ ทั้งในด้านความปลอดภัย การกำกับดูแล และความรับผิดชอบจากภาคพลังงาน เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่เพียงทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างร้ายแรง แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนชายฝั่งที่ต้องพึ่งพาทะเลในการดำรงชีวิต
ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทย ต้องหยุดมองปัญหานี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ และหันมาทบทวนแผนพลังงานชาติอย่างจริงจัง เราต้องเร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานที่สะอาด เป็นธรรม และยั่งยืน พร้อมทั้งยุติการขยายกิจกรรมพลังงานฟอสซิลในพื้นที่เปราะบางโดยทันที หากเรายังปล่อยให้ระบบเดิมดำเนินต่อไป ทะเลไทยจะถูกทำลายจนไม่มีวันฟื้นคืนกลับมาได้อีก”
ดร.สมนึก จงมีวศิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย กลุ่มศึกษาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC Watch) กล่าวว่า “การเกิดน้ำมันดิบรั่วซ้ำในจุดเดิมเป็นครั้งที่สอง เป็นสัญญาณอันตรายที่เราไม่ควรมองข้าม และยิ่งน่ากังวลเมื่อพบมีการใช้สารเคมีสลายคราบน้ำมัน (Dispersant) ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ได้ขจัดน้ำมันให้หมดไป แต่เพียงเปลี่ยนสถานะของมันให้กลายเป็นละอองเล็ก ๆ จมลงสู่พื้นทะเล
หากใช้ในทะเลมีความลึกเพียงพอ ประกอบกับสภาพคลื่นลมเหมาะสม แบคทีเรียในธรรมชาติจะสามารถย่อยสลายคราบน้ำมันเหล่านี้ได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศมากนัก แต่หากใช้สารเคมีนี้ในบริเวณน้ำตื้นใกล้ชายฝั่งในระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตร การใช้สารสลายคราบน้ำมันอาจยิ่งซ้ำเติมปัญหา เพราะคราบน้ำมันที่จมลงจะกลายเป็นตะกอนน้ำมัน(sedimentation) สะสมในระบบนิเวศพื้นทะเล ปกคลุมแนวหญ้าทะเล ปะการัง และสิ่งมีชีวิตก้นทะเล อีกทั้งยังอาจพัดกลับขึ้นฝั่งในรูปของก้อนน้ำมันเหนียว (tar ball) ซึ่งส่งผลต่อชายหาด แหล่งท่องเที่ยว และสุขภาพของชุมชนชายฝั่งโดยตรง
ยิ่งไปกว่านั้นคราบน้ำมันที่ตกค้างยังอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร หากสัตว์น้ำวัยอ่อนหรือแพลงก์ตอนเผลอกินเข้าไป ก็อาจสะสมสารพิษต่าง ๆ เช่น โลหะหนัก สารกำมะถัน และสารก่อมะเร็งกลุ่ม PAHs (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons) ไว้ในร่างกาย ซึ่งอาจย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อมนุษย์ในที่สุด การใช้สารเคมีในทะเลจึงไม่ควรถูกมองว่าเป็น การจัดการ แต่ควรถูกตั้งคำถามว่าเป็นการ ซ้ำเติม ระบบนิเวศหรือไม่”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวเสริม
“การจัดการปัญหาน้ำมันรั่ว ไม่ใช่แค่จัดการให้คราบน้ำมันหายไปจากสายตา แต่ต้องมองลึกลงไปถึงการจัดการระบบเพื่อป้องกันเหตุซ้ำ และรับมือกับผลกระทบที่จะตามมาอย่างเป็นรูปธรรม ผู้ก่อมลพิษต้องมีความรับผิดชอบทั้งระบบนิเวศและประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ตามหลักการผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย ( Polluter Pays Principle) เราต้องยกระดับมาตรการควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาน้ำมันรั่วให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และมีความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพียงการจัดการปลายเหตุ แต่ต้องปฏิรูประบบตั้งแต่ต้นทาง เพื่อไม่ให้อุบัติภัยทางสิ่งแวดล้อมนี้กลายเป็นเรื่องปกติที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไร้ความเปลี่ยนแปลง”
การปกป้องทรัพยากรทางธรรมชาติ คือภารกิจพื้นฐานที่ทุกภาคส่วนต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด ภาครัฐจำเป็นต้องแสดงบทบาทเชิงรุกในการตรวจสอบ กำกับ และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งวางระบบความรับผิดทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างหลักประกันว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะไม่กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยอีกต่อไป
ข้อเรียกร้องถึงคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาและผลักดันมาตรการดังต่อไปนี้
มาตรการเร่งด่วน
- บริษัทฯ ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ ทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนความเสียหายต่อสุขภาพของประชาชน อย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว
- บริษัทฯ ต้องเร่งเสนอแผนและวิธีการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อสาธารณะ โดยต้องจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเร่งด่วน
- บริษัทฯ และหน่วยงานรัฐต้องชี้แจงสาเหตุของการรั่วไหลของน้ำมันดิบและปริมาณรั่วไหลที่แท้จริงต่อสาธารณะ รวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศและสุขภาพของประชาชนที่อาจได้รับจากน้ำมันดิบและสารเคมีที่ใช้ในการแก้ไขปัญหา
- หน่วยงานรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ต้องให้ข้อมูลต่อสาธารณะ เกี่ยวกับผลกระทบของน้ำมันดิบและสารเคมีที่ใช้ในการสลายน้ำมันดิบ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศและสุขภาพของประชาชน
- หน่วยงานรัฐต้องควบคุมตรวจสอบให้แผนและมาตรการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันดิบที่เกิดขึ้นของบริษัทฯ เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาการ และต้องควบคุมตรวจสอบให้บริษัทฯ เสนอมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาการรั่วไหลเกิดขึ้นอีก รวมทั้งเสนอแผนและมาตรการที่เป็นระบบในการจัดการปัญหาหากมีการรั่วไหลของน้ำมันดิบเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากคณะกรรมการที่ประกอบด้วยนักวิชาการอิสระที่หน่วยรัฐตั้งขึ้น ตลอดจนต้องควบคุมตรวจสอบให้มีการดำเนินการตามแผนอย่างเคร่งครัด
- หน่วยงานรัฐต้องเร่งประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน เพื่อดำเนินการให้บริษัทฯ ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวอย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว
- หน่วยงานรัฐต้องดำเนินการสืบสวนและสอบสวนถึงสาเหตุและปริมาณที่แท้จริงของน้ำมันดิบที่รั่วไหล เพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทั้งทางอาญาและทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องปรามมิให้การกระทำผิดเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
- หน่วยงานรัฐต้องจัดทำแผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันแห่งชาติตามที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์ พ.ศ. 2565 เพื่อใช้เป็นแผนแม่บทในการจัดการปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันโดยเร่งด่วน
มาตราการระยะยาว
- บังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด รัฐบาลต้องดำเนินการตรวจสอบและบังคับใช้บทลงโทษทางกฎหมายต่อผู้ก่อมลพิษอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในกรณีการรั่วไหลของสารพิษหรือสารอันตรายสู่สิ่งแวดล้อมทางทะเล และต้องกำหนดมาตรการติดตาม ตรวจสอบความปลอดภัยในกระบวนการขนถ่ายน้ำมันอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติภัยซ้ำซาก
- จัดทำและผลักดันร่างกฎหมายเฉพาะว่าด้วยการจัดการอุบัติภัยน้ำมันรั่วไหลทางทะเลเสนอกฎหมายที่มีเนื้อหาครอบคลุมถึงหลักเกณฑ์ความรับผิดและการชดใช้ค่าเสียหายจากมลพิษน้ำมันรั่ว บทบัญญัติที่กำหนดให้กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องต้องไม่ขัดแย้งกับกฎหมายฉบับนี้และมีมาตรการเชิงป้องกันและการขจัดมลพิษอย่างเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพ ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความรับผิดทางแพ่งสำหรับความเสียหายจากมลพิษของน้ำมัน ค.ศ. 1992 (International Convention on Civil Liability for Oil Pollution Damage 1992)
- ทบทวนแผนพลังงานชาติและยุติการขยายกิจกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลในพื้นที่เปราะบาง เร่งปรับแผนพลังงานของประเทศให้ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเป็นรูปธรรม โดยกำหนดเป้าหมายยุติการใช้น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในระยะยาว สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด เป็นธรรม ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero Emissions ของประเทศ ตลอดจนต้องยุติแผนขยายการขุดเจาะหรือพัฒนาโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลใหม่ในพื้นที่ที่มีความเปราะบางทางระบบนิเวศและมีความหลากหลายทางชีวภาพ
- จัดตั้งกองทุนสำรองภัยพิบัติทางทะเลตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” (Polluters Pay Principle) ผลักดันให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินทางสิ่งแวดล้อม โดยให้ผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงในการก่อมลพิษเป็นผู้สมทบทุน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบทางการเงินอย่างเต็มที่สำหรับความเสียหายทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงเจตนาหรือความประมาทเลินเล่อ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการขจัดมลพิษ การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างครอบคลุม ความเสียหายต่อทรัพย์สิน การสูญเสียรายได้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผลกระทบต่อสุขภาพ และเพื่อให้รัฐสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์รั่วไหลของน้ำมัน สารเคมี หรือของเสียอันตรายได้อย่างทันท่วงที
- ปรับปรุงกระบวนการแต่งตั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ควรกำหนดกระบวนการคัดเลือกและแต่งตั้งบุคคลเข้าเป็น “คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ” และ “คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงาน EIA” ให้เป็นระบบที่เข้มงวด โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยต้องมีตัวแทนจากภาควิชาการ องค์กรภาคประชาสังคม ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเข้าร่วมเป็นกรรมการ เพื่อให้การพิจารณามีความรอบด้าน เป็นธรรม และยึดหลักประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ
- ปรับปรุงระบบการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EIA/EHIA) ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ควรปรับปรุงระบบการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างมีความหมาย เปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนและภาคประชาสังคมสามารถเข้าร่วมตรวจสอบ วิเคราะห์ และให้ข้อเสนอแนะได้อย่างรอบด้าน และควรกำหนดให้มีการทบทวนมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในรายงาน EIA/EHIA ทุก 5 ปี และส่งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) รวมถึงคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณาและให้ความเห็นชอบ เพื่อให้มาตรการต่าง ๆ มีความทันสมัย และตอบสนองต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีประสิทธิภาพ
หมายเหตุ
[1] หนังสือถึงคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
มนูญ วงษ์มะเซาะห์ นักสื่อสารงานรณรงค์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ ประเทศไทย อีเมล [email protected] โทร. 091 745 0099