เอ็กซิเตอร์, สหราชอาณาจักร, 24 มิถุนายน 2568 – การสำรวจทางวิทยาศาสตร์ในสองพื้นที่เป้าหมายการทำเหมืองใต้ทะเลลึกในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยบริษัท The Metals Company ได้ยืนยันการพบเห็นวาฬและโลมาหลายชนิด รวมถึงวาฬสเปิร์ม หรือ วาฬหัวทุย ซึ่งจัดอยู่ในบัญชีแดงของ สหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (International Union for Conservation of Nature: IUCN) ว่าเป็นสายพันธุ์ที่เปราะบางและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ รายงานนี้เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลทั่วโลกกำลังจะรวมตัวกันอีกในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ณ สำนักงานใหญ่ขององค์กรพื้นท้องทะเลระหว่างประเทศ (ISA) ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้มีการระงับการทำเหมืองใต้ทะเลลึกที่กำลังดังขึ้นเรื่อย ๆ [1]

การสำรวจนี้ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Marine Science ดำเนินการโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์และห้องปฏิบัติการวิจัยจากเรือ Arctic Sunrise ของกรีนพีซ สากล นักวิจัยได้ศึกษาพื้นที่สำรวจสองแห่งที่บริษัท The Metals Company ถือครองในเขต Clarion-Clipperton Zone ของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ NORI-d และ TOML-e [2][3]

ดร.คริสเตน ยัง ผู้เขียนหลักของการศึกษา จากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ กล่าวว่า “เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเขต Clarion-Clipperton Zone เป็นถิ่นอาศัยของสัตว์จำพวกวาฬและโลมาอย่างน้อย 20 สายพันธุ์ แต่ตอนนี้สองพื้นที่ที่พวกมันอาศัยอยู่เป็นพื้นที่ที่บริษัท The Metals Company ตั้งเป้าไว้สำหรับการทำเหมืองใต้ทะเลลึก”

หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อนุมัติคำสั่งบริหารว่าด้วยการทำเหมืองทะเลลึก เมื่อเดือนเมษายน 2568 บริษัท The Metals Company ได้ยื่นคำร้องต่อรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อขออนุญาตให้บริษัทดำเนินโครงการขุดเหมืองเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ก้นทะเลสากลในพื้นที่ Clarion Clipperton Zone (CCZ) แต่เพียงผู้เดียว ตามรายงานการยื่นคำร้องนี้ครอบคลุมพื้นที่ NORI-d[4] การกระทำดังกล่าวเป็นการหลีกเลี่ยงและบ่อนทำลายอำนาจขององค์กรพื้นท้องทะเลระหว่างประเทศ (ISA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการทำเหมืองใต้ทะเลลึกของสหประชาชาติ และได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากรัฐบาลทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ได้เตือนถึงผลกระทบที่ “ยาวนานและไม่สามารถย้อนกลับได้” ของการทำเหมืองทะเลลึกต่อภูมิภาคนี้[5]

เป็นที่ทราบกันดีว่าสัตว์จำพวกวาฬและโลมามักได้รับผลกระทบจากมลภาวะทางเสียงที่เกิดจากการทำกิจกรรมของมนุษย์ และอาจได้รับผลกระทบจากเสียงที่รุนแรงในการดำเนินการทำเหมืองทะเลลึก การดำเนินงานเหล่านี้ยังก่อให้เกิดตะกอนฟุ้งกระจาย ซึ่งอาจก่อให้ผลกระทบเพิ่มเติมต่อประชากรของสัตว์จำพวกวาฬและโลมาโดยการรบกวนระบบนิเวศอาหารในมหาสมุทรลึก

ดร.คริสเตน ยัง กล่าวต่อว่า “แม้ว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อสร้างภาพที่สมบูรณ์ของผลกระทบจากมลภาวะทางเสียงและฟุ้งกระจายของตะกอนต่อสัตว์จำพวกวาฬและโลมา แต่ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการทำเหมืองใต้ทะเลลึกจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบนิเวศทางทะเลและมหาสมุทร ในพื้นที่ที่ห่างไกลออกไปในทะเล ซึ่งเป็นบริเวณที่มีข้อจำกัดอย่างมากในการติดตามและเฝ้าระวัง”

การสำรวจนี้ให้ภาพรวม 13 วันของกิจกรรมสัตว์จำพวกวาฬและโลมาในพื้นที่สำรวจการทำเหมืองใต้ทะเลลึกสองแห่งนี้ โดยใช้ไฮโดรโฟนในการตรวจจับเสียง ทีมวิจัยยืนยันการตรวจจับเสียงของวาฬและโลมาได้ 74 ครั้ง ซึ่งรวมถึงวาฬสเปิร์ม หรือ วาฬหัวทุย โลมาริสโซ และโลมาทั่วไป

ลุยซาร์ คาสสัน นักรณรงค์อาวุโสยุติด้านการทำเหมืองทะเลลึก กรีนพีซ สากล กล่าวว่า “การยืนยันการพบวาฬและโลมา รวมถึงวาฬสเปิร์มที่ใกล้สูญพันธุ์ ในพื้นที่ที่บริษัท The Metals Company ที่กำลังวางแผนดำเนินทำเหมืองทะเลลึก ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนอีกครั้งว่าอุตสาหกรรมอันตรายนี้ไม่ควรได้รับอนุญาตให้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ ทางเลือกที่สมเหตุสมผลเพียงหนึ่งเดียวสำหรับรัฐบาลต่าง ๆ ในการประชุมขององค์กรพื้นท้องทะเลระหว่างประเทศเดือนหน้า คือการเร่งผลักดันข้อตกลงเพื่อประกาศระงับทำเหมืองทะเลลึกทั่วโลก”

เสียงเรียกร้องให้มีการระงับการทำเหมืองทะเลลึกเพิ่มขึ้นในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยมหาสมุทร โดยมีสี่ประเทศใหม่เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนมาตรการการระงับดังกล่าว ส่งผลให้ขณะนี้มีประเทศที่สนับสนุนทั้งสิ้น 37 ประเทศ ขณะเดียวกันเลขาธิการสหประชาชาติยังได้เรียกร้องอย่างจริงจังให้หยุดอุตสาหกรรมอันตรายนี้ แรงผลักดันในการต่อต้านการทำเหมืองทะเลลึกจะถูกนำไปดำเนินการต่อในการประชุม ISA ในเดือนกรกฎาคมนี้

สามารถดาวน์โหลดภาพนิ่งและวิดีโอได้ที่นี่

Notes:

หมายเหตุ

[1] บัญชีแดง IUCN (IUCN Red List of Threatened Species) 

[2] Threatened cetaceans in a potential deep seabed mining region, Clarion Clipperton Zone, Eastern Pacific 

[2] https://www.frontiersin.org/journals/marine-science/articles/10.3389/fmars.2025.1511075/abstract

[3] This study in the Pacific is mirrored by another recent piece of research in the Arctic by Greenpeace Nordic and Greenpeace Germany. Researchers found cetaceans, including deep-diving and noise-sensitive sperm whales and northern bottlenose whales, in an area earmarked for future mining. If the Norwegian government proceeds with deep sea mining in the area, noise and pollution risk severe consequences. Greenpeace Nordic researchers are in the Arctic right now further documenting the presence of cetaceans in the area to expose the risks of deep sea mining and to champion the protection of the Arctic’s vulnerable marine life.

[3] ผลการวิจัยในแปซิฟิกเป็นไปในทิศทางเดียวกับงานวิจัยในภูมิภาคอาร์กติกของกรีนพีซ นอร์ดิก และ กรีนพีซ เยอรมนี โดยนักวิจัยพบว่าสัตว์จำพวกวาฬและโลมา รวมทั้งวาฬเสปิร์มและวาฬจมูกขวดตอนเหนือที่มักดำน้ำลงไปในทะเลลึกและมีความอ่อนไหวต่อเสียง หากรัฐบาลนอร์เวย์ยังคงเดินหน้าโครงการเหมืองทะเลลึกต่อในพื้นที่ดังกล่าว เสียงดังและความเสี่ยงด้านมลพิษอาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ตอนนี้ กรีนพีซ นอร์ดิกและกลุ่มนักวิจัยอยู่ที่ภูมิภาคอาร์กติกเพื่อสำรวจและบันทึกการปรากฎตัวของวาฬในพื้นที่เพื่อเปิดเผยความเสี่ยงของโครงการเหมืองทะเลลึกและแนวทางการปกป้องสิ่งมีชีวิตล้ำค่าในภูมิภาคอาร์คติก

[4] The Metals Company applies to mine seabed after Trump executive order 

[4] บริษัท The Metals Company ยื่นคำร้องต่อศาลในการดำเนินโครงการเหมืองทะเลลึกหลังจากคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

[5] บทความ Whale warning as clock ticks towards deep sea mining 

[6] https://deep-sea-conservation.org/solutions/no-deep-sea-mining/

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ

Sol Gosetti, Media Coordinator for the Stop Deep Sea Mining campaign, Greenpeace International: [email protected], +34 64686 3330

โต๊ะข่าวกรีนพีซ สากล โทร. : +31 (0)20 718 2470 (ตลอด 24 ชั่วโมง) อีเมล [email protected]