มาเนาส์, บราซิล, 4 พฤศจิกายน 2568 – รายงานล่าสุดของกรีนพีซ สากล เปิดเผยว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ใจกลางผืนป่าแอมะซอนกำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศรุนแรงกว่าผู้คนในมหานครอย่างเซาเปาโล ปักกิ่ง หรือแม้แต่ลอนดอน โดยสาเหตุหลักมาจากไฟป่าที่ถูกจุดขึ้นโดยเจตนา เพื่อเคลียร์พื้นที่ป่าทำปศุสัตว์ และเผาปรับสภาพทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์[1]

งานวิจัยที่ผ่านการทบทวนโดยนักวิชาการ ได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของระดับฝุ่นพิษ PM2.5 ซึ่งเป็นมลพิษที่เชื่อมโยงกับโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในหลายเมืองของภูมิภาคแอมะซอน ประเทศบราซิล โดยในฤดูไฟป่าปี 2567 และ 2568 พบว่าระดับฝุ่นพิษ PM2.5 ในเมืองปอร์โต เวลโญ่ (รัฐรอนโดเนีย) และลาบรียา (รัฐอามาโซนัส) มีค่าเฉลี่ยรายวันสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานด้านสุขภาพขององค์การอนามัยโลก (WHO) สำหรับระยะเวลา 24 ชั่วโมง มากกว่า 20 เท่า

แม้จำนวนไฟป่าในปี 2568 จะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2567 แต่ กรีนพีซ สากล ยังคงบันทึกค่าฝุ่นพิษ PM2.5 ในหลายพื้นที่ของแอมะซอนที่สูงเกินเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) มากกว่าถึง 6 เท่า ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะเป็นภูมิภาคที่อุดมไปด้วยผืนป่า แต่แอมะซอนกลับกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศรุนแรงที่สุดในโลก

ลิส คุนญา นักรณรงค์ของกรีนพีซ สากล กล่าวว่า

“ผืนป่าแอมะซอนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลของชีวิตบนโลก แต่ขณะนี้กำลังถูกปกคลุมด้วยควันจากไฟที่ถูกจุดขึ้นโดยเจตนาในอุตสาหกรรมปศุสัตว์  ไฟเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ทุกครั้งที่มีการเผาป่าเพื่อเคลียร์พื้นที่เลี้ยงวัว นั่นคือการสร้างภัยคุกคามต่อทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในผืนป่าแอมะซอน ตั้งแต่คนในเมืองไปจนถึงชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ และชุมชนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในป่า”

“ไฟเหล่านี้เผยให้เห็นต้นทุนที่แท้จริงของระบบเกษตรแบบอุตสาหกรรม มันไม่ใช่เพียงการทำลายป่า แต่คือเด็ก ๆ ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลจากปัญหาของระบบทางเดินหายใจ และผู้สูงอายุที่ต้องต่อสู้กับอากาศพิษทุกวัน ผืนป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์กำลังกลายเป็นควันเพื่อหล่อเลี้ยงการค้าเนื้อสัตว์ระดับโลก ในการประชุม COP30 กลุ่มล็อบบี้ของธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรจะพยายามอ้างว่าอุตสาหกรรมของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของทางออก แต่รัฐบาลต้องมองให้ทะลุการฟอกเขียว (greenwash) และลงมืออย่างจริงจังเพื่อหยุดยั้งการทำลายป่าและปกป้องสุขภาพของผู้คน รวมถึงต้องผลักดันให้บรรษัทที่อยู่เบื้องหลังต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น”

รายงานชี้ว่า ไฟป่าในพื้นที่แอมะซอนส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเขตเกษตรกรรม ข้อมูลจากดาวเทียมของพื้นที่ป่าแอมะซอน (Amazon biome) ระหว่างปี 2562 ถึง 2567 พบว่า มีพื้นที่กว่า 30 ล้านเฮกตาร์ ถูกเผาไหม้ภายในรัศมี 360 กิโลเมตร รอบสถานประกอบการของบริษัท JBS ผู้ผลิตเนื้อสัตว์รายใหญ่ที่สุดในโลกในพื้นที่แอมะซอน ซึ่งมีขนาดเทียบเท่ากับประเทศอิตาลี ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงความเสี่ยงสูงจากการใช้ไฟเผาโดยเจตนาของซัพพลายเออร์ ทั้งในห่วงโซ่อุปทานโดยตรงและทางอ้อม ที่บริษัทผู้ผลิตเนื้อสัตว์อย่าง JBS ต้องเผชิญ เนื่องจากยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการห้ามซัพพลายเออร์ใช้ไฟเพื่อเคลียร์พื้นที่ [2]

รายงานยังเผยให้เห็นผลกระทบทางสุขภาพที่รุนแรงจากมลพิษไฟป่า โรงพยาบาลท้องถิ่นในเมืองปอร์โต เวลโญ่ (Porto Velho) รายงานว่าจำนวนผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงฤดูไฟป่า โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ข้อมูลจากแบบจำลองด้านมลพิษในรายงานดังกล่าวประเมินว่า ควันไฟจากการเกษตรเป็นสาเหตุของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรกว่าหลายหมื่นรายในพื้นที่แอมะซอนของบราซิลตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา หากสามารถควบคุมคุณภาพอากาศให้อยู่ในระดับตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ อายุขัยของประชาชนในรัฐที่ได้รับผลกระทบรุนแรง เช่น รอนโดเนียและอามาโซนัส อาจเพิ่มขึ้นได้ถึง 2.9 ปี [3]

กรีนพีซเรียกร้องให้รัฐบาลที่เข้าร่วมการประชุม COP30 ณ เมืองเบเลง (Belém) เห็นชอบ “แผนปฏิบัติการเพื่อป่าไม้” (Action Plan for Forests) เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ในการยุติและฟื้นฟูการสูญเสียป่าและการเสื่อมโทรมของพื้นที่ป่าภายในปี 2573 พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลและสถาบันการเงินทั่วโลกยุติความเชื่อมโยงกับบริษัทผู้ผลิตเนื้อสัตว์และอาหารสัตว์ที่อยู่เบื้องหลังการทำลายป่า และหันมาลงทุนในระบบอาหารที่เป็นมิตรต่อป่าและเป็นธรรมต่อผู้คน รวมถึงสนับสนุนการจัดสรรเงินทุนที่เข้าถึงได้โดยตรงสำหรับชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ และชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นแนวหน้าในการปกป้องผืนป่า

หมายเหตุ

[1] การวิเคราะห์โดยกรีนพีซ สากล อ้างอิงข้อมูลค่าฝุ่นพิษPM2.5 จาก ดัชนีคุณภาพอากาศต่ออายุขัย (Air Quality Life Index) ของ สถาบันนโยบายพลังงานแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (Energy Policy Institute at the University of Chicago: EPIC)

[2] ตามข้อมูลของ Imazon โรงฆ่าสัตว์ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออก เช่น โรงงานแปรรูปเนื้อของบริษัท JBS มีรัศมีพื้นที่จัดซื้อวัวเฉลี่ยประมาณ 360 กิโลเมตร รอบสถานประกอบการของตน กรีนพีซ สากลได้นำระยะรัศมี 360 กิโลเมตรนี้มาใช้ประเมิน “เขตจัดซื้อวัวที่มีศักยภาพของบริษัท JBS” โดยอ้างอิงจากตำแหน่งพิกัดทางภูมิศาสตร์ของโรงงานแต่ละแห่งของบริษัท

[3] ข้อมูลจาก ดัชนีคุณภาพอากาศต่ออายุขัย (Air Quality Life Index) ของ สถาบันนโยบายพลังงานแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (Energy Policy Institute at the University of Chicago: EPIC)

  • รายงานฉบับเต็ม “Toxic Skies: How Agribusiness is Choking the Amazon” ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับระเบียบวิธีการศึกษาอย่างครบถ้วน สามารถอ่านได้ที่นี่ 
  • ภาพถ่ายและวิดีโอประกอบรายงาน
  • ชุดข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาจัดทำขึ้นจากระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศสองระบบที่กรีนพีซ บราซิลติดตั้ง ได้แก่ AirGradient OpenAir และ Atmotube รวมถึงข้อมูลสาธารณะจากแหล่งอื่น ๆ เช่น PurpleAir Network, NASA และ MapBiomas Fire Monitor Collection โดยมีคำอธิบายระเบียบวิธีการเก็บข้อมูลอย่างละเอียดในรายงานฉบับเต็ม

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ

สมฤดี ปานะศุทธะ นักสื่อสารงานรณรงค์ กรีนพีซ ประเทศไทย

โทร. 081 929 5747 อีเมล. [email protected]

โต๊ะข่าว กรีนพีซ สากล โทร. +31 (0)20 718 2470 (ตลอด 24 ชั่วโมง) 

อีเมล. [email protected]