ฮ่องกง – บริษัท Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบชิปเอไอ (AI) รายใหญ่ของโลก และผู้ทำสถิติเป็นบริษัทมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐรายแรก กำลังตามหลังบรรดายักษ์ใหญ่เอไอรายอื่นอย่างมีนัยสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะในห่วงโซ่การผลิตฮาร์ดแวร์เอไอ ตามรายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่โดยกรีนพีซ เอเชียตะวันออก

รายงาน Supply Change: Tracking AI Giants’ Decarbonization Progress ได้ประเมินความก้าวหน้าในการลดการปล่อยคาร์บอนของ 10 บริษัทเอไอรายใหญ่ที่สุดของโลก[1] ซึ่งประกอบด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ (Cloud Computing) อย่าง Amazon, Apple, Google, Microsoft และ Meta ตลอดจนผู้นำด้านการออกแบบเซมิคอนดักเตอร์สำหรับส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์อย่าง AMD, Broadcom, Intel, Nvidia และ Qualcomm โดยผลการศึกษาพบว่าแม้หลายบริษัทชั้นนำส่วนใหญ่จะประกาศเป้าหมายการลดคาร์บอน แต่ความคืบหน้ายังคงล่าช้า โดยเฉพาะในส่วนของการปล่อยมลพิษในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งอาจคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 98 ของการปล่อยทั้งหมดในบางบริษัท

แคทริน วู หัวหน้าโครงการห่วงโซ่อุปทานกรีนพีซเอเชียตะวันออก กล่าวว่า

“บริษัทอย่าง Nvidia ที่เติบโตจากการเกาะกระแสเอไอ (AI) สร้างรายได้เพิ่มขึ้นมหาศาลถึงระดับหลายพันล้านดอลลาร์ และกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดของโลก บริษัท Nvidia มักอ้างว่าสินค้านวัตกรรมของตนสามารถช่วยโลกจากวิกฤตโลกเดือดได้ อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมเหล่านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างภาระมลพิษในห่วงโซ่อุปทาน และผลักความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมไปยังส่วนอื่นของโลก โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออก ซึ่งขณะเผชิญกับความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านพลังงานในภูมิภาคอยู่แล้ว และมีความเปราะบางต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างยิ่ง”

ผลการศึกษาพบว่า มีเพียงไม่กี่บริษัทที่กำหนดเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียนในห่วงโซ่อุปทานอย่างจริงจัง หรือแผนมีแผนปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานสู่พลังงานหมุนเวียนในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งกลายเป็นความท้าทายสำคัญต่อความก้าวหน้าในการลดคาร์บอนในระดับโลก นอกจากนี้แม้บริษัทในรายงานฉบับนี้จะมีฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่โรงงานการผลิตฮาร์ดแวร์เอไอซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานสูงกลับกระจุกตัวอย่างมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ประเด็นนี้น่ากังวลอย่างยิ่งเนื่องจากภูมิภาคนี้ยังคงใช้พลังงานฟอสซิลเป็นหลัก โดยเอเชียตะวันออกเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์เพื่อเป็นส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ประมาณร้อยละ 75  และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบร้อยละ 60 ของโลก ดังนั้นกลยุทธ์ที่อ่อนแอในการลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทยังซ้ำเติมให้ความเหลื่อมล้ำอันเกิดจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น

รายงานฉบับนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกครั้งแรก[2] ด้านการลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมเอไอ ท่ามกลางการเติบโตของเอไอทั่วโลก ซึ่งกำลังต่องให้เกิดความต้องการใช้พลังงานมหาศาล และสร้างความกังวลด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม รายงานฉบับนี้ยังเป็นงานต่อเนื่องจากการวิเคราะห์ฉบับสำคัญของกรีนพีซ เอเชียตะวันออกที่เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน โดยได้ตรวจสอบการใช้พลังงานไฟฟ้าระดับโลกและการปลดปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมผลิตเซมิคอนดักเตอร์เอไอ

ข้อค้นพบสำคัญ:

  • บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเอไอของโลกยังล้มเหลวในการลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งสำหรับบริษัท Nvidia, Qualcomm และ Broadcom มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าร้อยละ 80 ก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินการทั้งหมด และสูงถึงร้อยละ 98 สำหรับบริษัท AMD จากการรายงานของบริษัทในปี 2567 โดยบริษัท Nvidia และ Broadcom ติดอันดับรั้งท้ายด้านการลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากขาดการกำหนดเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลดก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน ความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานที่น้อย และการดำเนินการลดการปล่อยมลพิษในกระบวนการผลิตที่ยังไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่าบริษัท Apple จะครองอันดับหนึ่งด้วยคะแนน B+ ก็ตาม ในการจัดอันดับนี้มีบริษัทถึง 6 ใน 10 แห่งที่ได้รับเกรด F ซึ่งชี้ให้เห็นถึงช่องว่างสำคัญที่บริษัทเอไอต้องเร่งแก้ไขเพื่อยกระดับผลงานด้านความยั่งยืนของตน
  • จากบรรดาบริษัททั้งหมดที่อยู่ในการศึกษาของรายงาน มีเพียงบริษัท Apple เท่านั้นที่กำหนดเจตนารมณ์ว่าจะเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ครอบคลุมทั้งในการดำเนินการและห่วงโซ่อุปทานภายในปี 2573 โดยกลุ่มบริษัทผู้ออกแบบชิปคือกลุ่มแสดงความมุ่งมั่นน้อยที่สุด กล่าวคือ บริษัท Nvidia ยังไม่มีการกำหนดเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนสำหรับห่วงโซ่อุปทาน ขณะที่ บริษัท Qualcomm และ Broadcom นั้นยังไม่ได้กำหนดแม้แต่เป้าหมายทั้งการดำเนินการและห่วงโซ่อุปทานของตน นอกจากนี้ บริษัท Nvidia, Broadcom และ AMD ยังไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ต่อเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) หรือเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon-neutral) ไม่ว่าจะในส่วนของการดำเนินการหรือห่วงโซ่อุปทาน
  • ในจำนวนบริษัท 9 จาก 10 แห่งที่ได้รับการประเมิน รวมถึงบริษัท Microsoft, Google และ Nvidia ได้รับการจัดอันดับต่ำสุด (เกรด F) ในด้านความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานเนื่องจากขาดการเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับการใช้พลังงานไฟฟ้าของห่วงโซ่อุปทานและการใช้พลังงานหมุนเวียนของผู้จัดหาสินค้า ขณะที่ Apple ได้รับอันดับสูงสุดในด้านความโปร่งใสทั้งในด้านการดำเนินการและในห่วงโซ่อุปทาน
  • ในปี 2567 การปล่อยมลพิษในห่วงโซ่อุปทานของบริษัท AMD, Qualcomm, Nvidia และ Broadcom คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 80 จากมลพิษทั้งหมดของบริษัทเหล่านี้ ที่น่าตกใจที่สุดคือ บริษัท Nvidia มีปล่อยก๊าซในหมวด Scope 3 เกือบสองเท่าจากที่กำหนดไว้ โดยเพิ่มขึ้นจาก 3,514,763 ตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tons of CO2e) ในปี 2565 เป็น 6,912,577 ตันในปี 2567 แต่บริษัทกลับยังไม่ได้เริ่มลงทุนในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนจากผู้จัดหาในห่วงโซ่การผลิตของตน
  • แม้บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเอไอหลายแห่งจะประกาศสนับสนุนการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน แต่บางบริษัทซึ่งรวมถึง Google, Microsoft และ Nvidia กลับส่งเสริมให้พลังงานนิวเคลียร์ขยายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นทางออกที่ผิดในการตอบโจทย์ความต้องการทางพลังงานท่ามกลางวิกฤตโลกเดือด บริษัท Nvidia และ Broadcom ไม่ได้แสดงหลักฐานใด ๆ ที่แสดงถึงการสนับสนุนนโยบายพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ บริษัท Nvidia ยังเป็นบริษัทเดียวในการประเมินของรายงานนี้ซึ่งยังไม่ได้ริเริ่มโครงการใด ๆ ที่จะมีส่วนร่วมโดยตรงกับผู้จัดหาในห่วงโซ่การผลิตของตนเพื่อเร่งการลดคาร์บอนและการสรรหาพลังงานหมุนเวียนใช้ในการผลิต นอกเหนือจากเพียงแค่การตั้งเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ

กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเรียกร้องให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเอไอแสดงเจตนารมณ์และให้คำมั่นว่าจะเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานภายในปี 2573 เพื่อเสริมสร้างภาระรับผิดและป้องกันการฟอกเขียวของบริษัท โดยบริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องเพิ่มความโปร่งใสในความพยายามลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทานของตน การจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพสามารถทำได้ผ่านกลไกการจัดซื้อจัดจ้างที่ให้ผลลัพธ์สูง เช่น สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA)[3] และการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเอไอควรมีบทบาทเชิงรุกในการสนับสนุนผู้จัดหาโดยตรงด้วยการพัฒนาศักยภาพของผู้จัดหาเพื่อขยายการจัดหาพลังงานหมุนเวียนที่มีคุณภาพสูง นอกจากนี้บริษัทต่าง ๆ สามารถมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับผู้กำหนดนโยบายเพื่อผลักดันมาตรการที่ส่งเสริมการขยายตัวของพลังงานหมุนเวียน

“ภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกประสบความสำเร็จในการแข่งขันด้านเอไอ บริษัทอย่าง Nvidia, AMD และอื่น ๆ จำเป็นจะต้องลงมือลดการปล่อยมลพิษในห่วงโซ่อุปทานอย่างเร่งด่วน โดยเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานหมุนเวียนในการขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของตน เป้าหมายนี้อาจดูท้าทาย แต่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การเริ่มต้นสามารถทำได้ด้วยการเพิ่มการหันมาลงทุนในแหล่งพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค หากบริษัท Apple สามารถตั้งมาตรฐานการดำเนินการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกได้ บริษัทเอไอรายอื่นก็ย่อมสามารถทำได้เช่นเดียวกัน” วู กล่าว

ภาพ 1 : ภาพรวมการจัดอันดับความก้าวหน้าโดยรวมด้านการลดคาร์บอนของบริษัทยักษ์ใหญ่เอไอทั้ง 10 แห่ง

ภาพ 2: รายละเอียดผลการจัดอันดับการลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทยักษ์ใหญ่เอไอทั้ง 10 แห่ง

หมายเหตุ

สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่ Supply Change: Tracking AI Giants’ Decarbonization Progress

[1] บริษัททั้ง 10 แห่งในการจัดอันดับถูกคัดเลือกโดยใช้เกณฑ์ตามมูลค่าตลาดของบริษัท ณ เดือนกรกฎาคม 2025

[2]  รายงานฉบับนี้ใช้กรอบการประเมินหลัก 4 ประการ ได้แก่ การกำหนดเป้าหมาย (Commitment) ความโปร่งใส (Transparency) การดำเนินการ (Action) และการมีส่วนร่วมและการผลักดันเชิงนโยบาย (Engagement and Advocacy) เพื่อประเมินผลการลดคาร์บอนของการดำเนินงานและห่วงโซ่อุปทานของแต่ละบริษัท การจัดอันดับของรายงานวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงานด้านความยั่งยืนประจำปีงบประมาณ 2567 ของแต่ละบริษัท รวมถึงเอกสารประกอบที่เผยแพร่บนเว็บไซต์บริษัท และคำตอบของพวกเขาต่อแบบสอบถามของโครงการเปิดเผยข้อมูลคาร์บอน (Carbon Disclosure Project Corporate Questionnaire-CDP) ในรอบการเปิดเผยข้อมูลปี 2567 สำหรับข้อมูลของบริษัท Nvidia จะอ้างอิงปีงบประมาณ 2568 ซึ่งครอบคลุมระหววันที่ 29 มกราคม 2567  ถึง 26 มกราคม 2568 นอกจากนี้ ยังมีการติดต่อบริษัทในรายงานเพื่อยืนยันข้อมูล และผลการจัดอันดับได้พิจารณาจากคำตอบล่าสุดจากบริษัทแล้วในกรณีที่เกี่ยวข้อง

[3] สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement หรือ PPA) คือสัญญาระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้ากับผู้ที่ทำการซื้อไฟฟ้า ซึ่งระบุเงื่อนไขทางการค้าสำหรับการขายและการซื้อไฟฟ้าของโครงการ

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ:

Yujie Xue ผู้ประสานงานฝ่ายสื่อสารสากล กรีนพีซเอเชียตะวันออก (ฮ่องกง) 

+852 5127 3416, [email protected]