ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทั่วโลกกำลังประสบกับวิฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศอย่างสุดขั้ว สาเหตุหลักมาจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งกว่าร้อยละ 70 เป็นภาคพลังงานและอุตสาหกรรมที่เป็นตัวการเร่งให้เกิดวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ดังนั้น การปลดระวางถ่านหินหรือ Phase-out Coal จึงเป็นวาระสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังพูดถึง ทั้งในมิติของรัฐที่จะต้องพิจารณาแผนการผลิตและวางทิศทางของพลังงานที่สะอาดกว่าเดิม มิติทางวิชาการที่จะต้องประเมินผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบที่จะเกิดขึ้น มิติทางเศรษฐกิจที่ต้องรองรับสู่การขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ และมิติทางสิทธิมนุษยชนที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับประชาชน
กลไกระหว่างประเทศที่สำคัญ คือ ความตกลงปารีส (Paris Agreement) อันเป็นความตกลงที่จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกในศวรรษนี้ให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม และพยายามชะลอการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยครอบคลุมทั้งในเรื่องโครงสร้างทางการเงิน กลไกสร้างความโปร่งใส การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ การสนับสนุนด้านการพัฒนาและเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ ประเทศที่เป็นภาคีต้องมีการจัดทำแผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) ซึ่งแต่ละประเทศต้องนำเสนอแผนดังกล่าวในทุก ๆ 5 ปี เพื่อเป็นการให้คำมั่นสัญญาที่จะต้องขับเคลื่อนให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศตามเป้าหมายที่กำหนด

จากกลไกระหว่างประเทศดังกล่าว ส่งผลให้หลายประเทศพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายโดยการปลดระวางถ่านหิน ถ่านหินเป็นกระบวนการที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งมีหลายประเทศที่สามารถทำได้สำเร็จ เช่น ประเทศเบลเยียมที่ประกาศปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินได้อย่างสมบูรณ์ในปี 2559 และประเทศสวีเดนในปี 2563 นอกจากนี้ ประเทศสโลวาเกีย ที่แม้ว่าจะเผชิญกับวิกฤตทางพลังงานจากเหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ด้วยการสนับสนุนจากกองทุนสหภาพยุโรปเพื่อเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของภูมิภาคที่พึ่งพาถ่านหิน (Just Transition Fund) จึงยังคงเดินหน้าตามแผนการหยุดการใช้ถ่านหินต่อ จะเห็นได้ว่า ณ ช่วงเวลานี้ เป็นยุคที่โลกกำลังหันหลังให้กับพลังงานฟอสซิลที่ล้าหลังอย่างถ่านหิน และเริ่มเดินหน้าไปที่พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรม หรือเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ในขณะที่ประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในภาคีความตกลงปารีสพร้อมทั้งประกาศผ่านแผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ที่ยกระดับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 30 – 40 ภายในปี 2573 และให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 แต่ ณ ปัจจุบัน จากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าประเทศไทยปี 2567 (Power Development Plan: PDP 2024) จะพบว่ามีการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าอยู่ร้อยละ 20 จนถึงปี 2580 ก็ยังคงมีการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าอยู่มากถึงร้อยละ 7 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่ไม่มากพอของภาครัฐที่จะเดินหน้าตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในเวทีนานาชาติเพื่อบรรลุเป้าหมาย
นอกจากนี้ ถ่านหินไม่ได้ถูกใช้แค่ในการผลิตไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ซึ่งโครงการเหมืองถ่านหินแม่ทะ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ที่บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด หรือ SCG ยื่นขอประทานบัตรดำเนินโครงการ ก็ได้สร้างความกังวลต่อพี่น้องในชุมชนแม่ทะ เพราะยังไม่มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า โครงการดังกล่าวได้ยกเลิกการขอประทานบัตรไปแล้วหรือไม่ ในหลายครั้งที่รัฐหรือภาคธุรกิจ มักทำให้ประชาชนต้องสงสัยในความโปร่งใสในสิ่งที่ภาคส่วนเหล่านี้กำลังดำเนินการอยู่ เช่นเดียวกับพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ที่ยังคงตกอยู่ในความเสี่ยงที่ไม่ชัดเจนต่อการเดินหน้าโครงการเหมืองถ่านหินที่ถูกยื่นขอประทานบัตรโดยบริษัท 99 ธุวานนท์ จำกัด เพราะ ณ ช่วงนี้เวลานี้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองจังหวัดเชียงใหม่ ยังไม่ใช่คำตอบที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องในชุมชนได้อย่างเต็มที่ และไม่แน่ชัดว่า คำตัดสินของศาลจะออกมาในทิศทางเชิงบวกหรือเชิงลบ

อีกทั้ง จากการประชุมคณะกรรมาธิการศึกษาปรับลดถ่านหินและปลดระวางถ่านหินเพื่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศ ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ได้มีผู้แทนจากสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (Thai Cement Manufactures Association: TCMA) เข้าร่วมประชุม ซึ่งบริษัท SCG ที่เป็นผู้ดำเนินการโครงการเหมืองถ่านหินแม่ทะ และมีชื่อเป็นผู้รับซื้อถ่านหินในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA ของโครงการเหมืองถ่านหินอมก๋อย เป็นสมาชิกในสมาคม ทั้งนี้ ผู้แทนจากสมาคมฯก็ได้ตอบข้อซักถามถึงประเด็นโครงการเหมืองถ่านหินทั้ง 2 แห่ง โดยมีใจความ คือ ได้ยกเลิกโครงการเหมืองถ่านหินที่แม่ทะ จังหวัดลำปางแล้ว และไม่ได้มีการรับซื้อหรือเป็นคู่ค้าใด ๆ กับบริษัท 99 ธุวานนท์ จำกัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ได้มีการประชุมอีกครั้งกับกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และรายงานสถานการณ์ล่าสุดของโครงการเหมืองถ่านหินทั้ง 2 แห่ง ที่ยังคงอยู่ในสถานะการยื่นขอประทานบัตร จากเสียงคัดค้านของพี่น้องชุมชนในพื้นที่ทั้งแม่ทะและอมก๋อย ส่งผลให้ทั้ง 2 โครงการถูกส่งกลับไปยังสำนักงานอุสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ของทั้งจังหวัดลำปางและจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงความย้อนแย้งในการตอบคำถามจากทางสมาคมและความไม่ชัดเจนในดำเนินการของภาคธุรกิจ
ดังนั้น สิ่งที่จะสามารถสร้างความมั่นใจและความชัดเจนให้กับพี่น้องชุมชนทั้งที่แม่ทะและอมก๋อย คือ ต้องทำให้เกิดการชี้แจ้งของภาคธุรกิจที่ต้องปฏิบัติภายใต้ความรับผิดชอบตามบริบทด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ซึ่งหนึ่งในหลักการสำคัญที่ภาคธุรกิจควรต้องทำ คือ หลักการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) และแนวปฏิบัติในการตรวจสอบของธุรกิจสำหรับการดำเนินธุรกิจที่ต้องมีความรับผิดชอบ
หลังจาก กรีนพีซ ประเทศไทยส่งจดหมายเปิดผนึกเพื่อทวงถามถึงประเด็นเหมืองถ่านหินทั้ง 2 แห่ง คำตอบที่ได้รับมีความสอดคล้องกับคำตอบของสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในการประชุมกมธ.ปรับลดถ่านหินและปลดระวางถ่านหินฯเมื่อเดือนตุลาคม ซึ่งเราได้ตั้งข้อสังเกตว่า การตอบกลับของ SCG ยังมีความไม่ชัดเจนและคลุมเครือต่อชุมชน ปราศจากการสื่อสารโดยตรงต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมทั้งการละเลยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธินุษยชน ซึ่งขัดต่อหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principle on Business and Human rights: UNGP) ในข้อ 17 – 21 โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นหลัก
ประเด็นแรก โครงการเหมืองถ่านหินอมก๋อย แม้จะดำเนินการโดยเอกชนรายอื่นซึ่งบริษัทไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่ SCG ละเลยข้อเท็จจริงที่ว่าในรายงาน EIA ฉบับปี 2563 ที่จัดทำโดยบริษัท 99 ธุวานนท์ ได้ระบุชัดเจนว่า ถ่านหินที่ขุดได้เกือบทั้งหมดจะใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงงานปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) จ.ลำปาง ดังนั้น SCG กำลังละเลยหลักการข้อที่ 17 ที่บริษัทต้องมีการประเมินผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นที่บริษัทอาจมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะที่บริษัทดำเนินการเองหรือการทำธุรกิจร่วมกับบริษัทอื่นที่ทำให้เกิดการผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน อย่างสิทธิชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ SCG จะต้องรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนกำลังโดนละเมิดสิทธิ

ประเด็นที่ 2 คือ บริษัทได้ชี้แจ้งถึงนโยบายที่ไม่มีการรับซื้อวัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตจากแหล่งที่ไม่ได้ดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมและไม่ถูกต้องตามกฏหมาย อย่างไรก็ตาม หาก SCG มีการดำเนินการที่เข้มงวดตามนโยบายดังกล่าว บริษัทจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรับผิดต่อสังคม (Corporate Social Responsibility) และต้องปฏิบัติตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติด้านธุรกิจกับมนุษยชนตามข้อที่ 21 ที่ภาคธุรกิจต้องมีความพร้อมในการสื่อสารเรื่องนี้ต่อสาธารณชน บุคคลภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่อมก๋อย เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นและเพิ่มความโปร่งใส ไม่ให้เกิดความกังวลต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ซึ่งการที่ SCG ไม่สื่อสารต่อสาธารณะและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ถือเป็นการละเลยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
และประเด็นสุดท้าย คือ โครงการเหมืองถ่านหินแม่ทะ ที่ SCG มีสถานะเป็นเจ้าของโครงการโดยตรง ในการจัดทำรายงาน EIA โดยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนปี 2548 ระบุให้มีการเผยแพร่รายละเอียดของโครงการ เปิดให้มีการรับฟังและการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมทั้งจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบผลกระทบทางสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตั้งแต่การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลำปางครั้งที่ 1 ปี 2562 ชุมชนที่อาจได้รับผลกระทบคัดค้านการทำโครงการเหมืองถ่านหินนี้ จากการตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อวิถีชีวิต สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ทั้งการปักหลักต้านโครงการเหมืองถ่านหิน ติดป้ายประท้วงตามสถานที่ต่าง ๆ และการสร้าง Facebook Page “คนแม่ทะไม่เอาเหมืองแร่” รวมถึงการร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงความเดือดร้อนของชุมชน ดังนั้น ตามหลักการข้อที่ 18 SCG ต้องระบุและประเมินผลกระทบเชิงลบด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้นให้ชัดเจน

ดังนั้น ข้อเสนอจาก กรีนพีซ ประเทศไทย ต่อ SCG โดยตรง คือ SCG ต้องสื่อสารต่อสาธารณะโดยทันที
- SCG ต้องเร่งประกาศโครงการเหมืองถ่านหินแม่ทะ จังหวัดลำปางโดยทันทีและประกาศว่าจะไม่มีการรับซื้อถ่านหินจาก บริษัท 99 ธุวานนท์ จำกัด อย่างไม่มีเงื่อนไข เพื่อให้มั่นใจถึงหลักธรรมาภิบาลกับการดำเนินธุรกิจสินค้าหรือบริการของบริษัท ซึ่งเป็นการทำธุรกิจร่วมกับบริษัทอื่นนั้นต้องระบุผลกระทบและแนวทางแก้ไขด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งสื่อสารข้อมูลต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างครบถ้วน
- SCG ต้องสื่อสารผลการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านของโครงการเหมืองถ่านหินอมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และโครงการเหมืองถ่านหินแม่ทะ จังหวัดลำปาง ต่อสาธารณะและบุคคลภายนอกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อด้านสิทธิมนุษยชนและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
- SCG ต่อสื่อสารต่อสาธารณะถึงแผนการปลดระวางถ่านหินตามประกาศเป้าหมายของบริษัท เพื่อบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2583 (Energy Transition Solutions: ETS) และตามความมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามขอบเขต 1 และ 2 ลงร้อยละ 25 ภายในปี 2573 ตั้งแต่ปีฐาน 2563 ตามประกาศ Net Zero Cement & Concrete Roadmap
สุดท้ายแล้ว การปลดระว่างถ่านหิน คือ ความพยายามที่ต้องการไม่ให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศรุนแรงมากขึ้น ลดการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปสู่พลังงานหมุนเวียนที่สะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มันคือความรับผิดชอบที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันเพื่อหนทางการอยู่รอดของเราทุกคนในอนาคต ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถละเลยประเด็นทางสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชนในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตประเพณี และสิทธิการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เพราะพวกเราทุกคนล้วนเป็นผู้อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกัน ไม่อาจที่จะทิ้งใครคนใดคนหนึ่งไว้ข้างหลังเพียงลำพังได้ ดังนั้น ความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะต้องร่วมมือกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่สะอาดและเป็นธรรมกับทุกคนในสังคม