Henning Reinton, Greenpeace press officer on the MY Arctic Sunrise, sets the UN flag on an ice floe, symbolizing the need for global action to protect the Arctic. According to the National Snow and Ice Data Center, on September 16th the sea ice covered only 1.32 million square miles, or 24 percent, of the Arctic Ocean, the lowest amount ever recorded.

รายงานสหประชาชาติ A/HRC/59/42: ความจำเป็นเร่งด่วนในการยุติเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 รายงานเลขาธิการสหประชาชาติ A/HRC/59/42 ถูกเผยแพร่ในโอกาสการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยประชุมครั้งที่ 59 ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน ถึง11 กรกฎาคม 2568 ภายใต้ระเบียบวาระที่ 3 ว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ ทั้งสิทธิพลเมือง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิทธิในการพัฒนา

รายงานฉบับนี้จัดทำโดยผู้รายงานพิเศษโดย Elisa Morgera ที่ได้เน้นย้ำถึงพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของรัฐ และความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ ในการเร่งยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลภายในทศวรรษนี้ รายงานยังชี้ให้เห็นว่าผลกระทบจากวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นเป็นวัฏจักรข้ามรุ่นที่ส่งต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง พร้อมกับเปิดเผยการขัดขวางการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของกลุ่มผู้ถือครองอำนาจทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจมากว่า 60 ปี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเร่งด่วนในระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยกระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้ต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม มีประสิทธิภาพ และยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังเพื่อปกป้องภูมิอากาศ ธรรมชาติ แหล่งน้ำ และอาหาร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตและสุขภาพของผู้คนทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพราะวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เปราะบาง เช่น ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ ชุมชนชายฝั่ง และประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก

การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ยังคงเชื่อกันว่าเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลก ส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่เร่งเร้าภาวะโลกเดือดและก่อมลพิษในสิ่งแวดล้อมหลากหลายรูปแบบ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำลายระบบนิเวศแต่ยังสร้างความเสียหายทางสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมต่อผู้คนทั่วโลกอีกด้วย

ผลกระทบของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ซับซ้อนและขยายวงกว้าง

ผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นมีลักษณะเชื่อมโยงและซับซ้อนอย่างยิ่ง โดยสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศระดับโลก มลพิษจากสารพิษ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ มลพิษจากพลาสติกทั่วโลก รวมถึงผลกระทบจากการผลิตปิโตรเคมีที่เป็นอันตราย ผลกระทบเหล่านี้ครอบคลุมหลากหลายภาคส่วน (Intersectoral) และแสดงถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องจัดการกับเชื้อเพลิงฟอสซิลในภาพรวมที่กว้างกว่าเพียงแค่ภาคพลังงาน โดยต้องดำเนินการผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบโดยรวม (System-wide transformation)

Greenpeace Australia Pacific joined the People’s Blockade of the World’s Largest Coal Port in Mulubinba / Newcastle, NSW, organised by grassroots movement Rising Tide. Greenpeace provided safety boats to support the protest, which became the largest act of civil disobedience for climate justice in Australia to date. The protest sought to increase pressure on the Australian government to commit to a timeline for a fair and fast phase out away from all fossil fuels, starting with no more coal and gas. Australia is the world’s third largest exporter of fossil fuels, and the Newcastle Port is the world’s largest coal export port. On the final day of the “protestival”, 170 people were arrested while out in their kayaks blocking the channel to prevent coal ships from passing, successfully forcing one coal ship to turn around.

ขนาดและความรุนแรงของผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ได้รับการประเมินในบริบทของหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  • แนวปฏิบัติที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) และส่งเสริมการขยายกิจการเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • ความรู้ของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีมายาวนานหลายทศวรรษเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่รุนแรงและสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
  • ความพยายามอย่างเป็นระบบในการปิดบังข้อมูลสำคัญเหล่านี้จากสาธารณะ ทั้งในรูปแบบการครอบงำพื้นที่ทางนโยบายสาธารณะ และการโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ (Strategic Lawsuits Against Public Participation: SLAPPs)

ในขณะเดียวกัน บริษัทในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลกลับได้รับผลประโยชน์มหาศาล ทั้งในรูปของกำไรจำนวนมาก เงินอุดหนุนที่สูง การหลีกเลี่ยงภาษี และการคุ้มครองที่ไม่เหมาะสมภายใต้กฎหมายการลงทุนระหว่างประเทศ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการลดความเลื่อมล้ำและการผูกขาดกับกลุ่มนายทุน  หรือแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด

สาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเติบโตและทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันไม่ได้เป็นผลมาจากเพียงการดำเนินกิจกรรมของมนุษย์ในยุคสมัยใหม่เท่านั้น หากแต่เป็นผลสะสมของการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์อุตสาหกรรม โดยร้อยละ 81–91 ของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ล้วนมีต้นทางจากการใช้พลังงานจากฟอสซิล ซึ่งในปี 2566 ระดับการปล่อยดังกล่าวอยู่ในจุดที่สูงที่สุดในรอบสองล้านปี

Protest at the Fossil Gas Platform in the Gulf of Thailand. © Greenpeace
นักกิจกรรมจากเรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์ซึ่งเป็นเรือธงของกรีนพีซทำการประท้วงอย่างสันติ ณ แท่นขุดเจาะก๊าซฟอสซิลแหล่งอาทิตย์ คัดค้านโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Offshore Carbon Capture And Storage : CCS) ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของอ่าวไทย เพื่อเปิดโปงการฟอกเขียวของอุตสาหกรรมฟอสซิล © Greenpeace

ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซฟอสซิลยังคงเป็นตัวการสำคัญ โดยมีสัดส่วนการปล่อยคาร์บอนเท่ากับร้อยละ 41 32 และ 23 ตามลำดับ นอกจากนี้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจากการเผาไหม้เท่านั้น แต่ยังเกิดจากกระบวนการอื่น ๆ ตลอดวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น การสกัด การขนส่ง และการจัดการของเสีย โดยเฉพาะการปลดปล่อยก๊าซมีเทนในระหว่างวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ มีแหล่งที่มาหลักจากการผลิตและกระจายเชื้อเพลิงฟอสซิล คิดเป็นร้อยละ 35 ของการปล่อยมีเทนทั้งหมดทั่วโลก และเป็นสาเหตุของอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30 ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานฟอสซิลที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน หากยังคงใช้งานต่อไปจนหมดอายุการใช้งาน จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินขีดจำกัดที่ยังคงมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon budget) ที่สามารถปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้ 

แม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และความเสียหายที่เห็นได้ชัด การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลกลับยังคงสูง โดยในปี 2566 เชื้อเพลิงฟอสซิลคิดเป็นร้อยละ 80 ของพลังงานปฐมภูมิทั่วโลก และอุตสาหกรรมยังคาดการณ์ว่าจะเพิ่มการผลิตอีกกว่า 110% ภายในปี 2573 จากระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5°C

ผลกระทบจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ลุกลามให้เกิดวิกฤติสิทธิมนุษยชนทุกด้านทั้งสิทธิในการมีชีวิต การเข้าถึงทรัพยากรและการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ตลอดจนการกำหนดเจตจำนงตนเอง สิทธิในการเข้าถึงสุขภาพ อาหาร น้ำ การศึกษา ที่อยู่อาศัย และการทำงานที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ และประชาชนในรัฐหมู่เกาะขนาดเล็ก ที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบในระดับที่ไม่อาจย้อนคืนได้

องค์การสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศชี้ว่า ความเสี่ยงเหล่านี้มีความรุนแรงเพียงพอที่จะถือว่าสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ได้กลายเป็น “พันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ” ที่กำหนดให้รัฐต้องเร่งยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ ป่า น้ำจืด และมหาสมุทร ซึ่งเป็นรากฐานของระบบนิเวศที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์

Climbers from Greenpeace Central and Eastern Europe hang a six-by-eight-metre banner reading “End Fossil Crimes” on the European Gas Conference venue in Vienna. (the Vienna Marriott Hotel) in protest against the fossil fuel industry’s plans to “future-proof gas” in the face of climate disaster. Greenpeace is calling for fossil fuel companies to stop their climate-wrecking activities and be held accountable for their crimes.

ทั้งนี้ ข้อค้นพบจากวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยสนับสนุนอย่างชัดเจนว่า:

  • อย่างน้อย 60% ของแหล่งน้ำมันและก๊าซฟอสซิล และ 90% ของถ่านหินทั่วโลก ต้องถูกทิ้งไว้โดยไม่สกัดมาใช้
  • การจัดหาเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องลดลง 55% ภายในปี 2578 (เมื่อเทียบกับปี 2566)
  • การใช้ถ่านหินต้องลดลงถึง 100% ภายในปี 2593, น้ำมัน 90%, และก๊าซฟอสซิล 85%
  • ห้ามสร้างโรงไฟฟ้าพลังฟอสซิลแห่งใหม่ และต้องยุติการเผาหรือปล่อยก๊าซที่ไม่จำเป็นภายในปี 2573
  • โครงสร้างพื้นฐานเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมดควรถูกปลดระวางก่อนหมดอายุการใช้งานทางเทคนิค

แนวทางเหล่านี้สอดคล้องกับเสียงของชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ทั่วโลกที่เรียกร้องให้ยุติการสำรวจและพัฒนาเชื้อเพลิงฟอสซิลทุกรูปแบบ ภายในปี 2573 เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนระหว่างรุ่น ซึ่งจะส่งผลต่อทั้งคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตไปอีกนับพันปี

มองปัญหาสภาพภูมิอากาศให้ครอบคลุมกว่าการลดคาร์บอนเพียงอย่างเดียว

แม้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นองค์ประกอบสำคัญของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ แต่หากเราจำกัดมุมมองไว้เพียง “การลดคาร์บอน” ก็จะเป็นการมองปัญหาอย่างแคบเกินไป และเสี่ยงต่อการละเลยผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่กว้างขวางและลึกซึ้งกว่ามาก

Community volunteer rescuers struggle to wade through almost neck-deep floods and get evacuees to safety. The last time Manila and the surrounding provinces faced rains and flooding comparable to this week’s Typhoon Carina (international name: Gaemi) and the enhanced southwest monsoon was Super Typhoon Rolly (international name: Goni) and Tropical Storm Ondoy (international name: Ketsana). Such extreme “once-in-a-decade” rains are getting more common because of heating ocean waters due to climate change. The Philippines has joined the UN Loss and Damage Fund Board, and starting this year, will be its host. We urge the Marcos administration to not stop there. The government must hold oil and gas companies accountableor causing the climate crisis and make climate polluters pay.

ทุกขั้นตอนในวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิล ตั้งแต่การสำรวจ ขุดเจาะ การขนส่ง การแปรรูป ไปจนถึงการกำจัดของเสีย ล้วนมีศักยภาพในการสร้างอันตรายอย่างแพร่หลายและรุนแรงต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในชีวิต สุขภาพ มาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสม สิทธิในวัฒนธรรม และสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ โดยความเสียหายนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ สะสมข้ามรุ่น และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนเพียงอย่างเดียว

การดำเนินงานของอุตสาหกรรมฟอสซิลก่อให้เกิดมลพิษหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางเสียง แสง สารพิษ สารกัมมันตรังสี รวมถึงการสูญเสียน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่สำคัญคือ กิจกรรมเหล่านี้มักเกิดขึ้นใน “เขตเสียสละ” (Sacrifice zones) เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของส่วนรวมหรือของกลุ่มทุนรายใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชุมชนมีความเปราะบางอยู่แล้วจากความยากจน การเหยียดเชื้อชาติ หรือการถูกกีดกันทางสังคม ชาวบ้านในพื้นที่เหล่านี้มักต้องเผชิญกับโรคเรื้อรัง เช่น โรคในระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และมะเร็ง โดยที่แทบไม่มีโอกาสปกป้องสิทธิของตนเอง ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กดทับอัตลักษ์ทับซ้อน (Intersectionality) อย่างเช่น ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ คนเชื้อสายแอฟริกัน เกษตรกรรายย่อย และผู้พึ่งพาภูมิปัญญาท้องถิ่นต้องสูญเสียที่ดิน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมจากการรุกรานของโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยที่มักไม่ได้รับการชดเชยอย่างเป็นธรรม ทั้งยังต้องเผชิญกับการข่มขู่ทางกฎหมายและการใช้ความรุนแรง

French President Emmanuel Macron, UK Prime Minister Boris Johnsons and UN Secretary-General Antonio Guterres at COP26 opening in Glasgow

แม้หลังการยุติการใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านฟอสซิล ความเสียหายยังคงอยู่ในรูปของสารพิษตกค้างในดินและน้ำ เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูระบบนิเวศ การเกษตร และแหล่งน้ำเพื่อการบริโภคของชุมชนไปอีกหลายชั่วอายุคน

ความเสี่ยงยังเพิ่มขึ้นจาก:

  • การดำเนินงานนอกชายฝั่ง ที่ส่งผลต่อการประมงของชุมชนชายฝั่ง ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล และสิทธิในการเข้าถึงอาหารของชุมชนชายฝั่ง
  • การพัฒนาแบบไม่ปกติ เช่น การสกัดทรายน้ำมัน หรือการทำแฟรคกิง (fracking) ที่เกี่ยวข้องกับโรคในระบบหายใจ หัวใจ ระบบสืบพันธุ์ รวมถึงการเพิ่มความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว และปัญหาความมั่นคงด้านน้ำ
  • การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน ที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน มีผลต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยเฉพาะผู้หญิง เด็ก และประชากรในประเทศรายได้ต่ำ โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึงกว่า 8 ล้านคนต่อปี
  • อุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับฟอสซิล เช่น การรั่วไหลของน้ำมันหรือเหตุระเบิด ซึ่งทิ้งสารพิษไว้ในระบบนิเวศทางทะเลยาวนานหลายปี
  • การเผาก๊าซ (flaring) ที่ก่อให้เกิดความเสียหายด้านสุขภาพคิดเป็นมูลค่ากว่า 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
  • การปล่อยสารปรอทและธาตุอาหารลงสู่ทะเล ที่กระทบห่วงโซ่อาหารทางทะเล และสุขภาพของผู้บริโภคอาหารทะเล โดยเฉพาะสตรีมีครรภ์และทารก

นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานของฟอสซิลเองยังเสี่ยงต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วมและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการรั่วไหลของสารเคมี การระเบิด และความเสียหายต่อทรัพย์สิน ทั้งหมดนี้เพิ่มภาระทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และภาษีของประชาชนโดยตรง ท้ายที่สุดแล้ว ระบบเศรษฐกิจที่อิงเชื้อเพลิงฟอสซิลยังเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางอาวุธ โดยภาคการทหารมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 5.5% ของโลก และเป็นตัวการสำคัญของมลพิษ การทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และภาวะขาดแคลนอาหารในระดับชุมชน

การแก้ไขวิกฤตภูมิอากาศจึงไม่อาจหยุดอยู่เพียง “การลดคาร์บอน” แต่จำเป็นต้อง มองทั้งระบบของการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลตลอดวงจรชีวิตของมัน และจัดการกับต้นเหตุของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกมิติอย่างครอบคลุมและรอบด้าน

ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจตกอยู่กับใคร?

A bold “Make Polluters Pay” projection lit up Houston during CERAWeek—the fossil fuel industry’s so-called “Super Bowl”—calling out Big Oil for its central role in driving the climate crisis. The campaign demands that the industry not only be held accountable for past damage, but also be forced to fund the costs of preparing our communities for the escalating impacts of climate change.

แม้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจะเป็นภารกิจของทั้งโลก แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากระบบเชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงตกอยู่ในมือของบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ราย โดยมากกว่า 70% ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในประวัติศาสตร์เกิดจากบริษัทและรัฐเพียง 78 แห่ง ขณะที่ในปี 2573 เพียงปีเดียว รายได้รวมของอุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซฟอสซิล และถ่านหินทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐราว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งกลับกลายเป็นภาระภาษีของประชาชน โดยเฉพาะในประเทศรายได้ต่ำ การหลีกเลี่ยงภาษี ความลับทางการเงิน และการได้รับสิทธิพิเศษผ่านข้อตกลงการลงทุนระหว่างประเทศ ทำให้บรรษัทเหล่านี้สามารถฟ้องร้องรัฐเรียกค่าชดเชยจากมาตรการด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างไม่เป็นธรรม ส่งผลให้รัฐต้องลังเลในการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และทำให้เงินสาธารณะจำนวนมากถูกเบี่ยงเบนจากการลงทุนในพลังงานสะอาดและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

กลยุทธ์ถ่วงเวลา: ตำราลับที่ต้องไม่ถูกยอมรับของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล

Activists throw money at a Make Polluters Pay action. The 29th UN Climate Conference, COP29, takes place in Baku, Azerbaijan, from 11 to 22 November 2024. Greenpeace is at the COP to hold governments to account to make fossil fuel polluters pay for the climate crisis they have created, and put fossil fuel phase out plans at the heart of national climate action.

ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลได้วางรากฐานของ “แผนสกัดกั้น” หรือ playbook of climate obstruction ซึ่งประกอบด้วยยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนและต่อเนื่องในการบิดเบือนข้อมูล ปกปิดความจริง และขัดขวางการดำเนินนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 บริษัทน้ำมันและก๊าซฟอสซิลมีข้อมูลภายในชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบร้ายแรงของก๊าซเรือนกระจกต่อภูมิอากาศโลก แต่กลับเลือกที่จะเพิกเฉยและเดินหน้าหาผลกำไรอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนงานวิจัยที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของอุตสาหกรรม ดิสเครดิตงานนักวิทยาศาสตร์อิสระ ข่มขู่นักวิทยาศาสตร์ และสร้างความสับสนในที่สาธารณะอันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์

ความพยายามนี้ยังขยายเข้าสู่เวทีนโยบาย โดยผู้แทนผลประโยชน์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลเข้าไปมีบทบาทในที่ประชุมระดับนานาชาติ เช่น การประชุม COP ภายใต้ UNFCCC และมีอิทธิพลต่อกฎหมายและนโยบายภายในประเทศ โดยเฉพาะผ่านการล็อบบี้เพื่อจำกัดการออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม การผลักดัน “ทางออกผิด ๆ ที่เป็นกลลวง (False Solution)”  เช่น กลไกคาร์บอนเครดิต หรือเทคโนโลยีดักจับกักเก็บคาร์บอน ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการถูกผูกมัดไว้กับระบบพลังงานฟอสซิลต่อไป

หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของแผนสกัดนี้คือ การบิดเบือนข้อมูลหรือการฟอกเขียวในการโฆษณา บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ใช้สื่อและแพลตฟอร์มดิจิทัลในการเผยแพร่โฆษณาที่บิดเบือนข้อมูลและเพิ่มความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม และยกย่องบทบาทของฟอสซิลใน “ความเจริญ” ของมนุษย์ โดยร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเพื่อแบ่งปันรายได้จากโฆษณา รวมถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence  (AI) สร้างเนื้อหาหลอกลวง นี่ไม่ใช่เพียงการโฆษณาเท่านั้น แต่เป็นการออกแบบการรับรู้ของสังคมให้เห็นว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นความมั่นคงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

Ahead of the start of the United Nation Climate Summit COP28, activists from Greenpeace France and CARE France organise a lunch, with the message “Climate chaos: polluters must pay the bill”. The aim is to demand that fossil fuel companies are taxed in line with their responsibility for the climate crisis. Ce lundi 27 novembre, Greenpeace France et CARE France organisent un déjeuner pas comme les autres, avec pour message « Chaos climatique : les pollueurs doivent payer l’addition ». Objectif : exiger que les entreprises des énergies fossiles soient taxées à la hauteur de leur responsabilité dans la crise climatique.

ในขณะเดียวกัน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรมกลับถูกโจมตีด้วยคดี SLAPP หรือคดีเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ การฟ้องคดีปิดปากนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อม นักข่าว นักวิชาการ และประชาชนทั่วไปที่ออกมาพูดเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ ถือเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานและทำลายการมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย

“กลยุทธ์ถ่วงเวลา” เหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุน แต่เป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างต่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ ทั้งสิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร สิทธิในการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย หรือกำหนดเจตจำนงของตน และสิทธิของคนรุ่นใหม่ในการอยู่อาศัยในโลกที่น่าอยู่ในอนาคต

ความรับผิดชอบของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลและบทบาทของภาคส่วนอื่นในการปฏิรูปเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

Greenpeace France, 350 France and Care France are planning a message calling on political decision-makers to take action in favour of taxing super polluters and fossil fuel companies on the eve of the summit for a new global financial pact organised on the initiative of Emmanuel Macron. On the first day of the summit, Greenpeace France activist disrupted the summit by unfurling a “Make Polluters Pay” banner inside the building in front of French Economy Minister Bruno Le Maire. Civil society organizations committed to fighting for climate justice call on political leaders to tax the big polluters: oil, gas and coal companies that are destroying the planet while getting richer and richer.

เพื่อให้การลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลดำเนินไปอย่างยุติธรรม มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบชัดเจนและดำเนินมาตรการสำคัญ ดังนี้ บริษัทเหล่านี้ควรเร่งจัดทำแผนปิดกิจการฟอสซิลที่มีอยู่ให้เสร็จสิ้นภายในปี 2573 โดยต้องเปิดโอกาสให้แรงงานและประชาชนที่ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างมีส่วนร่วมตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Supply Value) ทั้งนี้เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นธรรมและรับฟังเสียงของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ บริษัทต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ช่วยสนับสนุนการปรึกษาหารือและประเมินผลร่วมกับแรงงานและสาธารณชน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ให้แก่แรงงานผ่านโปรแกรมที่ออกแบบโดยแรงงานเอง เพื่อช่วยให้แรงงานสามารถปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างมั่นคง

ในกระบวนการปิดกิจการ บริษัทต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการทำความสะอาดและฟื้นฟูพื้นที่อุตสาหกรรม เพื่อป้องกันการทิ้งมรดกสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางบก และทางน้ำ ตลอดจนความหลากหลายทางชีวภาพ น้ำจืด และทะเล นอกจากนี้ ต้องจัดให้มีการชดเชยทางการเงินแก่ผู้ได้รับผลกระทบตามความรุนแรงของการละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมเปิดโอกาสให้เหยื่อมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในการกำหนดแนวทางเยียวยา ตลอดจนติดตามผลและดำเนินมาตรการเยียวยาอย่างจริงจัง บริษัทไม่ควรผลักภาระความรับผิดชอบนี้ไปยังผู้อื่นผ่านการขายทรัพย์สินหรือถอนการลงทุน (divestment) เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าว

ในด้านความโปร่งใส บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องเปิดเผยผลกำไรและภาษีที่จ่ายอย่างครบถ้วนในทุกเขตอำนาจศาล รวมถึงข้อมูลของบริษัทลูกในห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ บริษัทต้องหลีกเลี่ยงการแทรกแซงกระบวนการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างเป็นอิสระและสอดคล้องกับเป้าหมายสาธารณะ

สำหรับรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐในการขับเคลื่อนนโยบาย พึงเป็นแบบอย่างโดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ดำเนินการเยียวยาอย่างเร่งด่วนต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นและยังคงเกิดขึ้น และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับกลไกกระบวนการยุติธรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความรับผิดชอบในระบบ

ภาคธุรกิจอื่น ๆ อย่างบริษัทโฆษณา สื่อ และเทคโนโลยีขนาดใหญ่ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการสื่อสารและภาพลักษณ์ของเชื้อเพลิงฟอสซิล พวกเขาควรปฏิเสธการส่งเสริมการขายและการเป็นสปอนเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิล พร้อมสนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้สาธารณะในเรื่องประโยชน์ของวิถีชีวิตที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ควรเปิดเผยต่อสาธารณะเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนที่ได้รับจากอุตสาหกรรมฟอสซิล รวมถึงวัตถุประสงค์และระยะเวลาของความสัมพันธ์นั้น และร่วมมือกับสื่ออิสระที่นำเสนอข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศอย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ

ในส่วนของนักลงทุน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเงินทุนเข้าสู่ภาคธุรกิจต่าง ๆ ต้องดำเนินการตรวจสอบความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยเศรษฐกิจจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเข้มงวด และกำหนดให้องค์กรที่ได้รับการลงทุนดำเนินการตรวจสอบในลักษณะเดียวกัน พร้อมรายงานผลต่อผู้ลงทุนเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ นักลงทุนต้องรับประกันว่าเจ้าของสิทธิหรือผู้ได้รับผลกระทบจะสามารถเข้าถึงกลไกเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ สำหรับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจลงทุนที่ส่งผลให้การปลดปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลล่าช้าหรือถูกขัดขวาง

ด้วยบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนของทุกภาคส่วน ทั้งบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล รัฐวิสาหกิจ บริษัทโฆษณา เทคโนโลยี และนักลงทุน จึงเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน ยุติธรรม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในทุกระดับอย่างแท้จริง

ข้อเสนอแนะสำคัญสู่การเร่งเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม: ก้าวให้ทันวิกฤต เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

Fossil Free Revolution Campaigner Lisa Göldner, Greenpeace, Ugandan climate justice activist Vanessa Nakate and Pacific Climate activist Joseph Sikulu (ltr) among other panellists at a press conference at COP 28. Greenpeace is launching a new report ‘Today’s emissions, tomorrow’s deaths’ which finds that an estimated 360,000 people could die prematurely before the end of the century because of global heating caused by the 2022 greenhouse gas emissions of nine major European oil and gas companies.

การดำเนินการอย่างเร่งด่วน ครอบคลุม และสอดคล้องกันในการยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลภายในทศวรรษนี้ไม่ใช่เพียงความจำเป็นด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเงื่อนไขเร่งด่วนเพื่อรับประกัน “อนาคตที่อยู่อาศัยได้” สำหรับมนุษยชาติทุกคน เป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ของการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิผลภายใต้วิกฤตโลกที่ซับซ้อนในปัจจุบัน แม้ว่าการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) จะยังคงมีความจำเป็นสูง รวมถึงการกำจัดมลพิษที่อาจเกิดจากเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เพียงพอหากไม่ดำเนินควบคู่ไปกับการ “การปฏิรูปเศรษฐกิจ” ออกจากระบบเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด  ไม่ใช่แค่ในภาคพลังงาน แต่รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน

Greenpeace projection Photo Booth in the Civil Society Hub at COP29 with portraits of staff (here Ylenia Bursich and Laura Lock) and images of climate impacts to send a message to country delegates that the time for action is now. The 29th UN Climate Conference, COP29, takes place in Baku, Azerbaijan, from 11 to 22 November 2024. Greenpeace is at the COP to hold governments to account to make fossil fuel polluters pay for the climate crisis they have created, and put fossil fuel phase out plans at the heart of national climate action.
  • ยุติการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล: การเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซฟอสซิลอันเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการใช้พลังงานเหล่านี้ต้องเป็นหัวใจของนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ
  • หลุดพ้นจาก “แนวคิดอุโมงค์คาร์บอน” (Carbon Tunnel Vision) การโฟกัสแค่เรื่องคาร์บอนแบบแคบจนละเลยสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรม: การเน้นเฉพาะการลดคาร์บอนโดยไม่สนใจผลกระทบด้านอื่น ๆ เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการก่อมลพิษจากสารพิษ อาจนำไปสู่ทางออกที่ไม่ยั่งยืน และส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางอย่างรุนแรง
  • หลีกเลี่ยงการผูกมัดในระบบพลังงานฟอสซิล: การลงทุนเพิ่มในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติกคือการยืดอายุเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างแอบแฝง ซึ่งจะทำให้โอกาสในการเปลี่ยนผ่านลดลงอย่างมาก
  • รับมือกับผลของ “ตำราถ่วงเวลา” (Playbook): ตลอดกว่า 60 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมฟอสซิลได้ใช้กลยุทธ์ในการปฏิเสธวิทยาศาสตร์ การฟอกเขียวในธุรกิจ ปล่อยข้อมูลที่บิดเบือน และบ่อนทำลายความพยายามด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้การดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมล่าช้าและไม่เพียงพอ
  • พลิกโฉมระบบเศรษฐกิจเพื่อสุขภาพของมนุษย์และโลก: ระบบเศรษฐกิจต้องยึดถือสุขภาวะของมนุษย์และระบบนิเวศเป็นหัวใจหลัก โดยเน้นผลประโยชน์ร่วมในระดับโครงสร้าง และจัดการกับการผลิตเกินพอดีที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • แก้ไขภาระที่ไม่เป็นธรรม: ประเทศ ชุมชน และบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด กลับมีส่วนรับผิดชอบน้อยที่สุดต่อปัญหา จำเป็นอย่างยิ่งที่การเปลี่ยนผ่านจะต้องรวมถึงมาตรการชดเชยและสนับสนุนกลุ่มเหล่านี้อย่างเป็นธรรมผ่านกลไกตามหลักผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย Polluter Pays Principle (PPP)

อ้างอิง

[1] รายงานสหประชาชาติ A/HRC/59/42: ความจำเป็นเร่งด่วนในการยุติการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม : https://docs.un.org/en/A/HRC/59/42