SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) หรือที่รู้จักในทั่วไปว่า ‘การฟ้องคดีปิดปาก’ เพื่อระงับหรือขัดขวางการตรวจสอบ เป็นเรื่องที่ได้ยินขึ้นบ่อยครั้งในสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปี 2557-2567 องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนได้รวบรวมข้อมูลไว้ว่า มีคดี SLAPP เกิดขึ้นมากกว่า 500 คดี ทั้งคดีที่ฟ้องโดยรัฐและฟ้องโดยเอกชน ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการฟ้องคดีปิดปากมากที่สุด 3 อันดับ คือกลุ่มเหมืองแร่ กลุ่มอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และกลุ่มพลังงาน ตามลำดับ

ปัจจุบัน แม้ประเทศไทยจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่คดี SLAPP ก็ยังคงเกิดขึ้นเนือง ๆ กับกลุ่มนักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม ไม่เว้นแม้แต่นักการเมืองที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นการดำเนินคดีที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพของพลเมืองที่ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ และสร้างผลกระทบต่อนักปกป้องสิทธิฯ ภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่ออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกหรือวิพากษ์วิจารณ์เพื่อรักษาประโยชน์สาธารณะ ทั้งเวลาและต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไประหว่างต่อสู้คดี การถูกคุกคาม รวมไปถึงทำให้เกิดภาวะชะงักงัน หรือ Chilling effect ที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวที่จะออกมาใช้สิทธิเสรีภาพการแสดงออก การตั้งคำถาม และบั่นทอนแรงจูงใจในการรักษาสิทธิเพื่อรักษาประโยชน์สาธารณะ ซึ่งจะสร้างผลกระทบใหญ่หลวงในระยะยาว หากการฟ้องคดีปิดปากยังคงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161/1 ซึ่งให้อำนาจศาลสามารถยกฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องโดยมีเจตนาไม่สุจริตหรือเป็นการกลั่นแกล้งจำเลย ว่า “ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ หากความปรากฏต่อศาลเองหรือมีพยานหลักฐานที่ศาลเรียกมาว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริต หรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลย หรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ ให้ศาลยกฟ้องและห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้องในเรื่องเดียวกันนั้นอีก” แต่ในทางปฏิบัติ กลไกนี้แทบไม่เคยนำมาปรับใช้โดยศาลเลย ซึ่งจากข้อมูลงานวิจัยหนึ่งที่ศึกษาการแก้ไขปัญหาการฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) ในประเทศไทยพบว่า มาตรา 161/1 ถูกนำมาอ้างในร้อยละ 32 ของคดีที่เข้าข่ายเป็นคดี SLAPP แต่ยังไม่ปรากฏว่ามีคดีใดที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้องตามบทบัญญัตินี้เลยแม้แต่คดีเดียว หนึ่งในสาเหตุหลักคือมาตราดังกล่าวยังขาดแนวปฏิบัติที่ชัดเจน และไม่มีขั้นตอนหรือหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการพิจารณาว่าคดีใดเข้าข่ายที่ควรยกฟ้องตั้งแต่ต้น ส่งผลให้ศาลมักเลือกให้คดีเข้าสู่กระบวนการไต่สวนมูลฟ้อง แทนที่จะยุติเรื่องในขั้นตอนเบื้องต้น
เพื่อสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของการใช้กระบวนการทางกฎหมายในรูปแบบ SLAPP ในการปิดกั้นเสียงของนักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนประชาชนที่ลุกขึ้นมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และการชุมนุมประท้วงเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ กรีนพีซ ประเทศไทย จึงร่วมกับมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน และ Decode.Plus จัดกิจกรรมเปิดตัวสารคดี ‘SLAPP: เมื่อสิทธิในการปกป้องสิ่งแวดล้อมตกเป็นเป้าหมาย’ กำกับสารคดีชิ้นนี้โดยคุณภาณุทัศน์ เกตุเจริญ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ที่โรงภาพยนตร์ LIDO CONNECT ที่นอกจากจะเป็นการจัดฉายครั้งแรก ยังเป็นการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักกิจกรรม นักกฎหมาย ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน เพื่อร่วมกันหาทางออกจากปัญหา SLAPP และสร้างสังคมที่เคารพสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
เสียงที่เล่าผ่านหนังสารคดี

‘SLAPP: เมื่อสิทธิในการปกป้องสิ่งแวดล้อมตกเป็นเป้าหมาย’ เล่าถึงเรื่องราวการต่อสู้ของนักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกสลายการชุมนุม จับกุม และฟ้องคดีโดยรัฐ ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ พ.ร.บ.จราจรฯ และข้อหาพกพาอาวุธและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา จากคดีการชุมนุม “เทใจให้เทพา ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน” ที่สงขลา ในปี 2560 สิ่งที่พวกเขาต้องแลกหลังจากนั้นคือ ต้นทุนที่เป็นค่าใช้จ่ายและเวลาในการหาเลี้ยงชีพ ที่ถูกใช้ไปกับการต่อสู้คดี และเผชิญกับการถูกคุกคาม แต่ก็ยังคงยืนหยัดที่จะต่อสู้เพื่อรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของถิ่นเกิด
ไครียะห์ ระหมันยะ เยาวชนนักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม เครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น และนักข่าวพลเมืองที่รักหวงแหนบ้านเกิด ผู้บันทึกเหตุการณ์การชุมนุมและถูกสลายการชุมนุม ผ่านการใช้สื่อออนไลน์ของตนเป็นช่องทางเผยแพร่เรื่องราวที่เกิดขึ้นขณะนั้น คือหนึ่งในผู้ร่วมเล่าเรื่องหลักในภาพยนตร์สารคดี กล่าวว่า “การได้ลุกขึ้นปกป้องสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่เราต้องทำ แม้ในความเป็นจริง การยืนหยัดในสิทธิของตัวเองแล้วออกมาพูดความจริงกลับทำให้เราถูกคุกคามและถูกฟ้องร้องดำเนินคดี เพียงเพราะเราอยากปกป้องอนาคตของเรา แต่เราไม่ควรต้องกลัว ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศนี้หรือในโลกนี้เกิดจากการที่เราไม่ได้คุยกันอย่างตรงไปตรงมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายควรได้มาพูดคุยกันถึงสิ่งที่กำลังทำอย่างตรงไปตรงมา และเคารพซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องมีกฎหมายมาห้ามไม่ให้เราพูด”

อย่างไรก็ตาม การยืนหยัดของไครียะห์ ได้ทำให้ผู้คนรอบข้างได้ตระหนัก และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนในพื้นที่กล้าหาญต่อการแสดงความคิดเห็น หนึ่งในนั้นคือการลุกขึ้นมาปกป้องบ้านเกิดจากแผนการพัฒนาของรัฐที่มุ่งทำโครงการใหญ่ ๆ ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานคิดของความหลากหลายทางชีวภาพและสิทธิชุมชนอย่างระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ หรือ SEC ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณากฎหมายในตอนนี้
ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความ และผู้ประสานงานบริหารมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ผู้เป็นที่ปรึกษาและให้ข้อมูลในสารคดีชิ้นนี้ กล่าวว่า “SLAPP คือเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อปิดกั้นการส่งเสียง และทำให้ผู้ใช้สิทธิเสรีภาพหวาดกลัว ไม่กล้าลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม สิ่งแวดล้อม และประโยชน์สาธารณะ เราจำเป็นต้องมีระบบกฎหมายที่เข้มแข็งและชัดเจน ไม่ให้กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็นอาวุธเพื่อปิดปาก เพื่อปกป้องนักปกป้องสิทธิและประโยชน์สาธารณะ
“นอกจากระบบกฎหมายแล้ว การป้องกันการฟ้องปิดปาก หรือ SLAPP อีกอย่างหนึ่ง คือต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิดและความเข้าใจของนักกฎหมาย โดยเฉพาะผู้ที่ไปสนับสนุนหรือดำเนินการในการฟ้องคดีปิดปาก ต้องกล้าปฏิเสธไม่ทำคดีฟ้อง SLAPP ต้องไม่คิดว่าผู้ใช้ SLAPP มีสิทธิฟ้องคดี และผู้บังคับใช้กฎหมายในส่วนต่างๆ ต้องไม่รับเรื่องเหล่านี้ไว้ดำเนินการต่อไม่ว่าในชั้นใดๆ” และเธอเองในฐานะทนายความ ก็พร้อมที่จะร่วมปกป้องนักปกป้องสิทธิฯ จากการถูก SLAPP และจะเดินหน้าสนับสนุนการสร้างกฎหมายและมาตรการที่จะปกป้องนักปกป้องสิทธิและชุมชนอย่างเต็มที่
ตลอดเกือบ 1 ชั่วโมงของหนังสารคดี ไม่เพียงตีแผ่ความอยุติธรรมที่นักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมต้องเผชิญ แต่ยังสื่อถึงพลัง ความกล้าหาญ และความหวังของผู้คนทั่วประเทศที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม และเรียกร้องให้มีการจัดทำกลไกทางกฎหมายที่เป็นธรรมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ภาณุทัศน์ เกตุเจริญ ผู้กำกับสารคดีเรื่องนี้ กล่าวว่า “การร่วมผลิตสารคดีเรื่องนี้เป็นความตั้งใจในฐานะสื่อที่มีบทบาทในการนำเสนอข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ เราเห็นความจำเป็นในการสะท้อนเสียงและเรื่องราวของนักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมที่มักถูกมองข้าม การเล่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการรายงานข่าว แต่คือการใช้พลังของสื่อเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง เราต้องการส่งต่อสารที่สำคัญนี้ให้สังคมได้รับรู้ เพื่อจุดประกายความตระหนักรู้ และสนับสนุนการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างแท้จริง”
เมื่อการพูดเพื่อประโยชน์สาธารณะถูกปิดปาก
ขณะที่ต้นเรื่องของหนังสารคดีที่ฉายจบไป การถูกฟ้องคดี SLAPP โดยรัฐและภาคธุรกิจ ในวงเสวนา ‘เมื่อนักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมถูกโจมตี’ มีเรื่องราวของนักปกป้องสิทธิฯ ที่ถูกฟ้องปิดปากโดยภาคธุรกิจ เริ่มจากเบญจา แสงจันทร์ จากคณะก้าวหน้า ที่ถูกฟ้องหมิ่นประมาทโดยบริษัทพลังงานฟอสซิลรายใหญ่ ขณะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล ปี 2564 จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจอดีตนายกรัฐมนตรี ถึงนโยบายพลังงานที่มีโอกาสเอื้อให้เกิดประโยชน์กับทุนพลังงาน ซึ่งจะทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าไฟที่สูงเกินไป
“การฟ้อง SLAPP จากภาคเอกชนเขาไม่ได้อยากชนะ แต่เขาต้องการให้เราเงียบ ต้องการให้สังคมหยุดพูดถึง และวิธีนี้เป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุด ซึ่งสุดท้ายปลายทางผู้ถูกฟ้องร้องก็อาจชนะได้ แต่การฟ้องร้องแบบนี้ก็ส่งผลกระทบในสามประเด็น หนึ่งคือส่งผลกระทบต่อตัวองค์กร ในฐานะผู้แทนราษฎรที่พูดถึงเรื่องนี้ เราใช้อำนาจและกลไกตามรัฐธรรมนูญในการตรวจสอบถ่วงดุล หากกลไกนี้ถูกปิดปากและทำให้หายไป ประชาชนแทบไม่มีที่พึ่งอื่นเลยในการจะพูดถึงประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณะ และเหตุการณ์แบบนี้อาจทำให้นักการเมืองส่วนหนึ่งเลือกที่จะเซ็นเซอร์ตัวเอง ซึ่งโชคดีที่ตัวแทนพรรคประชาชนยังหลังตรงกับการตรวจสอบและทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชนอย่างไม่หวั่นเกรง

“ผลกระทบที่สอง คือทำให้สังคมรู้สึกว่าเรื่องนี้น่ากลัวและน่ากังวล เพราะเมื่อกลไกการตรวจสอบใช้ไม่ได้ นักปกป้องสิทธิหรือแม้แต่สื่อมวลชนก็เลือกที่จะปิดปากตัวเอง แล้วเราจะใช้กลไกอะไรในการตรวจสอบเรื่องนี้ ส่วนผลกระทบที่สาม คือทำให้ระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นกลไกที่ต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลเกิดภาวะล้มเหลว เพราะฝ่ายนิติบัญญัติที่ต้องตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงได้ และส่งผลรุนแรงต่อนักปกป้องสิทธิฯ ที่ไม่มีอาวุธอะไรป้องกันตัวเองเลย”
กระทั่งการปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กรสากลอย่าง กรีนพีซ สากล และกรีนพีซ สหรัฐอเมริกา ก็ถูกใช้กลยุทธ์กดดัน ฟ้องคดี SLAPP โดยบริษัทเอนเนอร์จี ทรานสเฟอร์ ธุรกิจพลังงานฟอสซิล ซึ่งศาลพิพากษาให้ชดใช้เป็นเงิน 22,000 ล้านบาท และกำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้ในคดีแพ่ง มนูญ วงษ์มะเซาะห์ จากกรีนพีซ ประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่านั่นเป็นตัวอย่างหนึ่งของต้นทุนที่นักปกป้องสิทธิต้องจ่าย เช่นเดียวกับนักปกป้องสิทธิทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ออกมาชุมนุมคัดค้าโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ที่มีต้นทุนในการจ่ายไปอย่างน้อย 7 หลัก แกนนำ 17 คน ถูกฟ้อง ต้องหยุดงานจากอาชีพประมงพื้นบ้านเพื่อไปสู้คดี หนึ่งในนั้นเสียชีวิตก่อนได้รับคำตัดสินและไม่ได้รับการชดเชยใด ๆ
“การฟ้อง SLAPP จึงเป็นปัญหา ไม่ว่าจะโดยรัฐหรือเอกชน ยิ่งปัจจุบันการเคลื่อนไหวด้านความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศต้องเข้มข้นขึ้นจากวิกฤติด้านนโยบายของรัฐ เพราะในการทำโครงการใด ๆ รัฐไม่เคยวางนโยบายอยู่บนฐานของการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพหรือสิทธิมนุษยชนเลย แต่วางฐานการออกนโยบายจากสิ่งที่กลุ่มทุนต้องการ ไม่ว่าเรื่องระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้หรือแผนการทำโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล ที่นอกจากทำให้ไฟฟ้าล้นเกินและผลักภาระค่าไฟให้ประชาชนแล้วสิ่งนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ยังมีเรื่องสุขภาพของคนไทยที่ต้องสูญเสียไปจากการลงทุนและพัฒนาของรัฐที่ไม่เห็นสิทธิชุมชน วิกฤติด้านนโยบายเหล่านี้ทำให้นักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมต้องลุกขึ้นมาสู้ ในขณะที่ยังต้องตกอยู่ในความเสี่ยงกับการถูกฟ้องร้องหากเราไม่มีกลไกป้องกัน”
เสาวณีย์ แก้วจุลกาญจน์ นักวิชาการอิสระ ที่ทำงานเคียงข้างนักปกป้องสิทธิฯ ให้ความเห็นว่าการถูกฟ้องโดยรัฐนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกฟ้องโดยเอกชน เพราะรัฐใช้เงินภาษีของประชาชนมาฟ้องประชาชน และยืนยันว่า “การออกมาแสดงความคิดเห็นไม่ควรถูกดำเนินคดี กฎหมาย SLAPP ในต่างประเทศมีพัฒนาการ เขามีเสรีภาพในการพูด หรืออย่างอเมริกาแม้จะมีการฟ้อง SLAPP แต่ก็เป็นคดีแพ่ง เมื่อย้อนกลับมาที่ไทย สิ่งแรกที่เราอยากให้มีคือ คนที่ออกมาพูดไม่ควรเป็นอาชญากร เราไม่ได้ทำผิด”
จับตาร่างกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP Law)
ท่ามกลางคดีฟ้องปิดปากที่กลายเป็นเครื่องมือสั่นคลอนสิทธิเสรีภาพในการปกป้องสิ่งแวดล้อม นรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เผยถึงทางออกที่กำลังดำเนินอยู่ ในฐานะเจ้าภาพในการร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน พ.ศ… ซึ่งรับฟังความคิดเห็นเสร็จแล้วเมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา เธอกล่าวว่า “กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเรามีหน้าที่สำคัญในการสร้างกรอบทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสังคมในกระบวนการยุติธรรม การป้องกัน SLAPP ถือเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่จะช่วยให้การใช้กฎหมายไม่ถูกบิดเบือนมาเป็นเครื่องมือปิดกั้นเสียงประชาชน เรากำลังเดินหน้าร่างกฎหมายและกำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิส่วนบุคคลและประโยชน์สาธารณะ รวมถึงส่งเสริมความยุติธรรมและความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรม”

โดยร่างกฎหมายที่ผลักดันสำเร็จแล้วนั้น จะครอบคลุมภาครัฐและเอกชนที่ทำสัญญาร่วมกับภาครัฐก่อนเป็นมาตรการแรก ตามภารกิจของปปช.ซึ่งเป็นผู้เสนอกฎหมาย และกำลังเดินหน้าร่าง พ.ร.บ.การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือพ.ร.บ.ป้องกันการฟ้องปิดปาก เพื่อให้เกิดความคุ้มครองทั้งกรณีของรัฐและเอกชนในอนาคต ทำให้การแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เป็นประโยชน์ของสาธารณะเป็นข้อยกเว้นที่จะไม่ถูกฟ้องหมิ่นประมาท
“กฎหมายนี้มีการกำหนดด้วยว่า อัยการหรือศาลสามารถเรียกพยานหลักฐานได้ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นการฟ้องกลั่นแกล้ง ไม่ได้เป็นไปเพื่อความยุติธรรมอย่างแท้จริง ศาลสามารถขอให้ฝั่งที่ฟ้องชดใช้ค่าเสียหายได้ด้วย เราหวังว่ากฎหมายนี้จะผ่านไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ทั้งนี้เสียงของประชาชนและพรรคการเมืองจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การผลักดันมาถึงอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ได้ หากเราช่วยกันส่งเสียงออกไป”
จะพูดความจริงได้อย่างไร ในวันที่ Anti-SLAPP Law ยังไม่ถึงฝั่ง
เสาวนีย์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ระหว่างที่รอกระบวนการของร่างกฎหมายที่ต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือ การสร้างความตระหนักรู้ให้กับภาคธุรกิจไปจนถึงเจ้าหน้าที่รัฐอย่างตำรวจ อัยการ ศาล โดยพูดกันด้วยความจริงอย่างเปิดเผยและจริงใจ
ในขณะที่มนูญกล่าวชื่นชมกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ที่รับเอาหลักการ United Nations Guiding Principles on. Business and Human Rights (UNGPs) หรือหลักปฏิบัติของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน มาเป็นบรรทัดฐาน และมีภาคธุรกิจเริ่มนำมาปรับใช้ แต่ปัจจุบันยังมีรูปแบบเป็นระบบสมัครใจ จึงเห็นว่าควรผลักดันให้เป็นมาตรการบังคับใช้ “เราควรมองแบบวิน-วิน ทั้งสองฝ่าย หลักการหนึ่งที่ภาคธุรกิจต้องทำคือเรื่องการเคารพสิทธิและเยียวยา เมื่อชาวบ้านออกมาพูดปัญหา มันคือการบอกว่าคุณต้องแก้ไข ไม่ใช่เอากฎหมายไปฟ้องปิดปาก ถ้าธุรกิจฟังเสียงชาวบ้านมากขึ้น แล้วพัฒนาเศรษฐกิจในชุมชนนั้นไปด้วยกัน จะทำให้ทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น

“และสิ่งที่ควรได้รับการแก้ไขคือรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นกฎหมายใหญ่ที่คุ้มครอบสิทธิของประชาชนได้อย่างดี และสามารถทำให้เกิดการแก้ไขกฎหมายลูกได้ง่ายมากขึ้น ปัญหาในตอนนี้คือในรัฐธรรมนูญมีการตัดเรื่องสิทธิในการเข้าถึงสิ่งแวดล้อมที่ดีออกไป แล้วเอายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เข้ามาแทน ซึ่งเป็นโครงการที่ทำลายธรรมชาติและเป็นอาชญากรด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ส่วนกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก ก็ควรครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งสื่อมวลชน ภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านนี้ หากแก้ไขที่ต้นตอได้ การออกมาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกจะปลอดภัยมากขึ้น”
ภัทราภรณ์ ศรีทองแท้ บรรณาธิการ Decode.Plus กล่าวในฐานะสื่อมวลชนว่า “ความกลัวคือความรุนแรงอย่างหนึ่งของ SLAPP ที่ครอบงำสังคมไทยและส่งต่อวัฒนธรรมของการกดทับในรูปแบบของกฎหมาย เมื่อการฟ้องร้องในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ถูกใช้เพื่อแสวงหาความยุติธรรม แต่เพื่อหวังผลให้เสียงของการเรียกร้องสิทธิและให้ข้อมูลที่เป็นจริงต่อสาธารณะนั้นอ่อนแรงและเงียบหายไป ทำให้เกิดภาวะชะงักงันในการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ท้ายที่สุด SLAPP จะกลายเป็นความเสื่อมทรุดและกัดกินรากฐานของระบอบประชาธิปไตยไทย
“แม้สื่อมวลชนจะเป็นกลุ่มเป้าหมายลำดับที่ 5 ของการฟ้องปิดปากในประเทศไทย ก็ไม่ได้ช่วยให้เราคลายความกังวล เพราะทุกวันนี้ใคร ๆ ก็เป็นสื่อได้ และในวันที่เรามีสื่อพลเมืองและสื่ออิสระซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการทำหน้าที่ ‘Watch Dog’ หรือตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐอย่างเข้มข้น รวมถึงให้ข้อมูลตลอดจนแสดงความคิดเห็นต่อโครงการพัฒนาของรัฐและเอกชน ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย เรื่องที่น่ากังวลคือ ยังไม่มีกลไกคุ้มครองคนทำสื่อพลเมืองและสื่ออิสระเหล่านี้ ท่ามกลางการช่วงชิงนิยามและความหมายของ ‘สื่อ’ ในบริบทที่ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนไป”
ส่วนการขับเคลื่อนในฝ่ายนิติบัญญัติ เบญจามองว่า ในการพูดผ่านสภา แม้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง แต่เอกสิทธิ์นี้ถูกงดเว้นในการอภิปรายในสภาซึ่งมีการถ่ายทอดสด จึงควรแก้ไขมาตรานี้ให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน และอีกหนึ่งปัญหาคือ พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ไม่มีอำนาจบังคับเอกชนให้เข้ามาชี้แจงต่อกรรมาธิการ
“การเข้ามาชี้แจงจะทำให้เขามีโอกาสบอกข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ เพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดจากปัญหาข้อนี้ คือกรณีปลาหมอคางดำ กับสถานการณ์เครือข่ายมือถือล่ม ที่เราไม่มีอำนาจอะไรไปบังคับให้เขามารับผิดชอบชดเชยเยียวยาอย่างเป็นธรรม เราเคยเสนอร่างมาตรานี้ไปแต่เสียงส่วนมากในสภาไม่เห็นด้วย ในขณะที่สภาครองเกรสสามารถเรียกให้แพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Facebook หรือ TikTok ที่สร้างผลกระทบต่อประชาชนในประเทศเขามาชี้แจงได้ จึงน่าเสียดายที่รัฐไทยละเลยและมองข้ามประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
“หรือในการถูกพาดพิงจากการอภิปรายในสภา ข้อบังคับได้ระบุไว้ว่าเอกชนสามารถทำหนังสือเพื่อชี้แจงต่อสภาได้ แต่ไม่เคยมีเอกชนหรือภาคธุรกิจรายใดทำหนังสือเข้ามาชี้แจง แต่เลือกที่จะปกปิดข้อเท็จจริงเหล่านั้น จึงต้องมีการแก้ไขในระดับรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ และข้อบังคับ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ประการสุดท้าย รัฐควรมีกระบวนการชดเชยเยียวยาให้คนที่ถูกฟ้องคดี SLAPP อย่างเป็นธรรม เพื่อให้การใช้เสียงที่เป็นสิทธิพื้นฐานโดยไม่ต้องมีต้นทุนที่ต้องจ่ายแพงมากเกินไป”