วิกฤตโลกเดือดสู่วิกฤตสิทธิมนุษยชน

โลกกำลังเดือดสั่นคลอนสิทธิในการมีชีวิตและการอยู่รอดของพวกเรา องค์การอนามัยโลกเตือนว่าในระหว่างปี 2030 ถึง 2050 วิกฤตสภาพภูมิอากาศอาจคร่าชีวิตผู้คนกว่า 250,000 รายต่อปี ผ่านโรคระบาด การขาดแคลนอาหาร และความร้อนที่รุนแรงเกินทน ขณะที่เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ตั้งแต่คลื่นความร้อน ภัยแล้ง ไปจนถึงโรคอุบัติใหม่ กำลังเร่งให้วิถีชีวิตนับล้านถูกทำลาย นอกจากนี้ ผลกระทบยังลุกลามไปถึงการพลัดถิ่น ความขัดแย้งจากการแย่งชิงทรัพยากร บ่อนทำลายความมั่นคงของชุมชน กรอบสิทธิมนุษยชนจึงต้องเป็นหัวใจของการแก้ปัญหา หากบรรดาผู้ก่อมลพิษยักษ์ใหญ่ของโลก (Carbon Majors) ไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง ภัยคุกคามต่อสิทธิมนุษยชนของเราก็จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศหมายถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนท่ามกลางวิกฤตที่กำลังปะทุ ผู้คนกำลังลุกขึ้นทวงคืนอำนาจของตนเองผ่านกรอบความยุติธรรมด้านสภาพอากาศ กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในมาตรการแก้ไขวิกฤต และกลุ่มเปราะบางควรเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากการดำเนินการทั้งหมด รวมถึงมีสิทธิที่จะเข้าถึงกลไกการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

สิทธิในการมีอาหาร: กำลังถูกท้าทายท่ามกลางวิกฤตโลกเดือด สิทธิในการมีอาหารอย่างเพียงพอ (Right to Adequate Food) ซึ่งได้รับการรับรองตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กำลังถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณฝนที่เปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตอาหารหลักอย่างข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพด ขณะเดียวกัน ความร้อนของมหาสมุทรบังคับให้ฝูงปลาจำนวนมากอพยพไปยังน่านน้ำที่เย็นและลึกกว่า ทำให้ผลผลิตประมงลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้ไม่เพียงกระทบต่อเกษตรกรหรือชุมชนท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่วิกฤตความมั่นคงทางอาหารในระดับโลก และทำให้สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชาติในการเข้าถึงอาหารอย่างเพียงพอถูกคุกคามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

สิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ในบริบทวิกฤตสภาพภูมิอากาศ องค์ความรู้และภูมิปัญญาของชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ คือพลังสำคัญของการปกป้องระบบนิเวศโลก เพราะวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติและความรู้ที่สั่งสมมานานทำให้พวกเขากลายเป็นผู้พิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ข้อตกลงอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพจึงเน้นย้ำว่าการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติต้องเคารพภูมิปัญญา นวัตกรรม ประเพณีปฏิบัติ และเทคโนโลยีของชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์และชุมชนท้องถิ่นอย่างเท่าเทียม แม้ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์จะเป็นเพียงร้อยละ 5 ของประชากรโลก แต่กลับปกป้องผืนป่าและต้นน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของโลก การสนับสนุนและยกย่องบทบาทนี้ไม่เพียงช่วยชะลอวิกฤตสภาพภูมิอากาศและสิทธิมนุษยชน แต่ยังช่วยขยายพื้นที่ป่า เสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลเพื่อปกป้องสัตว์และทรัพยากรในมหาสมุทร

Forest Expedition Trip in Lokalama, DRC. © Greenpeace / Junior D. Kannah
Greenpeace Africa joined local and Indigenous communities for a Forest Expedition Trip in Lokalama, DRC, to learn about their environmental protection efforts, share their cultures, and explore sustainable solutions for the future. Together, they marked Indigenous Peoples’ Day. Greenpeace Africa documented how the communities apply ancestral knowledge and traditional practices to protect the forest and peatlands they depend on. © Greenpeace / Junior D. Kannah

สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีและมีสุขภาวะ (The right to a clean and healthy environment) ได้รับการรับรองทั้งในรัฐธรรมนูญ กฎหมายของหลายประเทศ และในระดับโลก แต่กำลังถูกคุกคามโดยกิจกรรมที่ก่อให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เช่น การสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลและการขยายโครงสร้างพื้นฐานที่เร่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และไม่เปิดทางให้ชุมชนท้องถิ่นและชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ปกป้องผืนป่าและผืนดินซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ วิกฤตนี้จะยิ่งทวีความรุนแรง ครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น และกระทบต่อประชากรโลกจำนวนมหาศาลในอนาคตอันใกล้

ใครต้องรับผิดชอบ? การทวงถามความรับผิดชอบที่เป็นธรรม

วิกฤตนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการกระทำที่ต้องมีผู้รับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม

  • ความรับผิดชอบของภาคธุรกิจคือสิ่งสำคัญ: ถึงเวลาที่ภาคธุรกิจต้องออกมารับผิดชอบต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทขนาดใหญ่กว่า 100 แห่งที่เป็นต้นเหตุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 70% ของโลก ต้องถูกบังคับใช้กฏหมายให้รับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกิจกรรมของบริษัท
  • ความโปร่งใสและการเยียวยา: ต้องมีกระบวนการติดตาม ตรวจสอบ และเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างโปร่งใส พร้อมทั้งให้บริษัทวางแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกระบวนการอย่างจริงจังเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย 1.5 ํC ในความตกลงปารีส  
  • หลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย” (Polluter Pays Principle: PPP): คือหลักการสำคัญในการสร้างความเป็นธรรม ประเทศ ชุมชน และปัจเจกบุคคลที่มีส่วนก่อให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศน้อยที่สุด กลับเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้อย่างรุนแรงที่สุด ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านจะต้องมีมาตรการชดเชยและสนับสนุนกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรม ผ่านกลไกที่บังคับให้ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย
  • เปิดโปง “ตำราถ่วงเวลา”: รู้เท่าทันและรับมือกับกลยุทธ์ของกลุ่มอุตสาหกรรมฟอสซิลที่ใช้มาตลอด 60 ปี ทั้งการปฏิเสธข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ การฟอกเขียว (Greenwashing) การปล่อยข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อสร้างความสับสน การล็อบบี้เพื่อบ่อนทำลายความพยายามในการออกแบบนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการฟ้องปิดปากนักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม (SLAPPs) ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้การดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมล่าช้าและไม่เพียงพอ
Projection Photo Booth with Climate Impacts at COP29 in Baku. © Marie Jacquemin / Greenpeace
© Marie Jacquemin / Greenpeace

ทางออกที่ยั่งยืน ต้องมี “คน” เป็นศูนย์กลาง

ทางออกของวิกฤตสภาพภูมิอากาศจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อตั้งอยู่บนรากฐานความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน

  • รัฐบาลไทยต้องนำพันธกรณีและมาตรฐาน สิทธิมนุษยชนมาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายและกฏหมายด้านสภาพภูมิอากาศ และต้องรับประกันว่านโยบายเหล่านี้ต้องมีความครอบคลุม รับฟังเสียงที่หลากหลาย และคำนึงถึงผลกระทบในหลายมิติ พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าอย่างโปร่งใสภายใต้หลักการและกลไกระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม
  • รับรอง ‘การเข้าถึงสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ’ ไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อประกันสิทธิของประชาชนที่จะมีชีวิตอย่างปลอดภัยท่ามกลางวิกฤตสภาพภูิมอากาศ 
  • คุ้มครองผู้เปราะบาง รัฐต้องรับประกันความปลอดภัยโดยคำนึงถึงอัตลักษณ์ทับซ้อนของบุคคล เช่น ผู้ลี้ภัยทางสภาพภูมิอากาศ และนักปกป้องสิทธิ
  • รัฐต้องเปิดให้ชุมชนท้องถิ่นและชนเผ่าพื้นเมือง มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบาย และสนับสนุนพวกเขาตามแนวทาง Indigenous peoples and local communities –IPLCs  ในข้อตกลงอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity: CBD) ของคณะทำงานใน Article 8 (j)  
  • รัฐต้องประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และมิติเพศสภาพอย่างรอบด้าน โครงการและนโยบายทุกอย่างต้องผ่านการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนอย่างโปร่งใสและรอบด้าน ต้องคำนึงถึงความหลากหลายและความเปราะบางของประชากร โดยเฉพาะมิติเพศสภาพ เพื่อให้เกิดมาตรการที่ตอบโจทย์และไม่สร้างผลกระทบ
  • ประกันสิทธิของประชาชนต้องสามารถเข้าถึงความยุติธรรมและได้รับการเยียวยาผ่านการคุ้มครองทางกฏหมายสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ

ถึงเวลาเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานที่ไม่แค่สะอาด ( Clean) แต่ต้องเป็นธรรม (Just) ด้วย

ภาพกิจกรรม Workshop การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ของอาสาสมัคร Solar Generation ของกรีนพีซ

ถึงเวลาต้องหยุดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นธรรม (Just Energy Transition) : การเปลี่ยนผ่านที่คำนึงถึงมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อสร้างระบบพลังงานที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน

  • ปลดแอกจากเชื้อเพลิงฟอสซิล: หยุดการลงทุนและยุติการให้เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด และเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนที่กระจายศูนย์และเป็นของประชาชน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
  • พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดสำหรับทุกคน: รัฐต้องรับประกันว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดในราคาที่เข้าถึงได้และเป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและชุมชนในพื้นที่ห่างไกลเพื่อลดความเหลื่อมล่ำและยกระดับคุณภาพชีวิต
  • ประชาธิปไตยทางพลังงานต้องเกิดขึ้นจริง: ส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นและภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและเป็นเจ้าของพลังงานที่สะอาด โดยเคารพสิทธิในการกำหนดอนาคตด้านพลังงานของตนเอง และกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึง

การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงหนึ่งไปสู่อีกเชื้อเพลิงหนึ่ง แต่เป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทั้งหมด เพื่อสร้างอนาคตที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน