ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ‘ก๊าซฟอสซิล’ ถูกตั้งชื่อในนามว่า “ก๊าซธรรมชาติ” เพื่อทำให้ชื่อของมันดูสะอาดและปลอดภัยแต่ความจริงแล้วเบื้องหลังภาพลักษณ์ของก๊าซชนิดนี้คือเชื้อเพลิงฟอสซิลชนิดหนึ่งถูกสร้างภาพลักษณ์ให้เป็น ‘พลังงานสะอาด’ ที่จะช่วยลดการพึ่งพาถ่านหินที่ปล่อยมลพิษสูงกว่า และถูกนำเสนอในฐานะ ‘พลังงานเปลี่ยนผ่าน’ ที่จะพาโลกเข้าสู่ยุคพลังงานหมุนเวียน เพื่อก้าวข้ามวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์นั้น คือระบบพลังงานฟอสซิลที่ยังคงขยายตัว และกลายเป็น ‘กับดักฟอสซิล’ ที่ทำให้การหลุดพ้นจากเชื้อเพลิงฟอสซิลยากยิ่งกว่าเดิม
เมื่อภายใต้แรงกดดันจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ทั่วโลกกำลังเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้ก๊าซฟอสซิลเหลว (Liquefied natural gas: LNG) หรือ ก๊าซธรรมชาติเหลว ที่ถูกทำให้เย็นจัดจนกลายเป็นของเหลว เพื่อให้ง่ายต่อการขนส่งข้ามประเทศ ก๊าซนี้มักถูกโฆษณาว่าปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) น้อยกว่าถ่านหินเมื่อนำมาเผาไหม้ผลิตไฟฟ้า จึงถูกมองว่า ‘พลังงานสะอาดกว่า’ แต่สิ่งที่ถูกมองข้ามคือ มลพิษที่เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ขั้นตอนการขุดเจาะ การสกัดก๊าซ การทำให้เย็น การขนส่งทางเรือ ตลอดจนการเผาไหม้ในโรงไฟฟ้า ทุกขั้นตอนต่างมี ‘ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและชีวิตมนุษย์’ แฝงอยู่
งานวิจัยจากวารสาร Energies ปี 2564 ได้ประเมินการปล่อยมลพิษทางอากาศจากกระบวนการผลิตและขนส่งตลอดห่วงโซ่อุปทานของ LNG พบว่า กระบวนการผลิต LNG ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าถ่านหินถึงร้อยละ 33 โดยเฉพาะจากการรั่วไหลของก๊าซมีเทน (CH4) ซึ่งมีศักยภาพก่อภาวะโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ถึง 84 เท่าในช่วงเวลา 20 ปี นอกจากนี้ กระบวนการกำจัดกำมะถัน ยังเป็นแหล่งปล่อยมลพิษทางอากาศสูงสุด เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) และไนโตรเจนออกไซด์ (NOx)
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจ โดยผลการศึกษาคำนวณได้ว่า การผลิต LNG ปริมาณเพียง 1 ล้านตันต่อปี ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ คิดเป็นการสูญเสียปีชีวิตจากการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรรวมกว่า 7,400 ปี (DALY- Disability-Adjusted Life Year)

LNG กับภาวะ ‘ติดกับดักระบบพลังงานฟอสซิล’
แนวคิดการใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิงช่วงการเปลี่ยนผ่าน (Transition Fuel) ที่อาจเป็นทางออกที่ยืดหยุ่น ลดการใช้ถ่านหินในวันนี้ เพื่อเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดในอนาคต แต่ในความเป็นจริง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของ LNG กลับสร้าง ‘ภาระระยะยาว’ ที่ทำให้ประเทศต้องติดกับพลังงานฟอสซิลไปอีกหลายทศวรรษ
งานวิจัยในวารสาร Cell Reports Sustainability เรื่อง ‘ติดกับดักระบบพลังงานฟอสซิล: การขยายตัวของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านทางสังคม–นิเวศวิทยาไปสู่อนาคตพลังงานหมุนเวียนที่เป็นธรรม’ ชี้ให้เห็นว่า การขยายโครงสร้างพื้นฐาน LNG ทั้งท่าเทียบเรือและท่อส่งก๊าซในยุโรปไม่ได้ช่วยเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานอย่างที่อ้าง แต่กลับทำให้เกิดภาวะ ‘การติดกับดักของระบบพลังงานฟอสซิล’ (Fossil Lock-in) ซึ่งหมายถึงระบบพลังงานที่ถูกผูกกับเชื้อเพลิงฟอสซิลในระยะยาว ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนทางเศรษฐกิจ และนโนบายพลังงาน
ภาวะ ‘Fossil Lock-in’ หมายถึงการที่ประเทศหรือภูมิภาคยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในเชิงโครงสร้าง แม้จะประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือการเปลี่ยนผ่านพลังงานแล้วก็ตาม การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของ LNG เช่น ท่าเทียบเรือ โรงแยกก๊าซ และท่อส่งก๊าซใหม่ ล้วนเป็นการสร้างภาระระยะยาวให้ต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไปอีกหลายทศวรรษ เพื่อให้คุ้มค่ากับต้นทุนการก่อสร้าง ผลที่ตามมาคือ การขยายโครงสร้างพื้นฐานฟอสซิลในปัจจุบัน จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนในอนาคต เพราะงบประมาณของรัฐและเอกชนจำนวนมากถูกผูกไว้กับโครงการ LNG ขณะเดียวกัน นโยบายพลังงานก็จะถูกออกแบบเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมฟอสซิลมากกว่าการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนที่เป็นธรรม (Just Energy Transition)
เทคโนโยลี CCS คือมายาคติของการแก้ปัญหาโลกร้อน
ท่ามกลางแรงกดดันให้ลดการปล่อยคาร์บอน อุตสาหกรรมฟอสซิลได้ผลักดันเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage – CCS) โดยอ้างว่าเป็นทางแก้ปัญหาสำหรับ ‘การปล่อยคาร์บอนหลีกเลี่ยงไม่ได้’ แต่ในความเป็นจริง CCS ไม่ได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากต้นเหตุ เพราะยังคงมีการสกัดและเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณเดิม เพียงแค่เพิ่มกระบวนการกักเก็บคาร์บอนหลังการปล่อยเท่านั้น
นอกจากนี้ ร้อยละ 80 ของโครงการ CCS/CCUS ทั่วโลก ถูกใช้ในกระบวนการ Enhanced Oil Recovery (EOR) เพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมัน คือการฉีด CO₂ ลงในหลุมผลิตน้ำมันเก่าเพื่อเพิ่มแรงดันและผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์คือการปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้นอีกเพราะน้ำมันที่ผลิตได้จาก EOR จะถูกเผาไหม้ในท้ายที่สุด ดังนั้น CCS จึงไม่ใช่เทคโนโลยีลดคาร์บอนอย่างที่อ้าง แต่เป็นเพียงเครื่องมือทางการตลาดของอุตสาหกรรมฟอสซิล เพื่อยืดอายุระบบพลังงานเดิมให้ดู ‘เขียว’ มากขึ้น
การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืนและเป็นธรรม คือทางออกจากกับดักของระบบพลังงานฟอสซิล
การใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นเชื้อเพลิงในช่วงเปลี่ยนผ่านอาจดูเหมือนทางออกเฉพาะหน้า แต่แท้จริงแล้วเป็นการตอกย้ำการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และทำให้เราห่างไกลจากเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรม การเปลี่ยนผ่านที่แท้จริงต้องไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงของพลังงาน แต่ต้องเป็นการ ‘เปลี่ยนทั้งระบบ’ จากระบบพลังงานแบบรวมศูนย์ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล ไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดแบบกระจายศูนย์และเป็นธรรมกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม
การลงทุนในฟอสซิลต่อไปไม่ได้เพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน แต่กลับเพิ่มความเปราะบาง เพราะยิ่งลงทุนมากเท่าไร ก็ยิ่งหลุดพ้นจากระบบฟอสซิลได้ยากเท่านั้น การสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืนจึงต้องยืนอยู่บนหลักการที่คนรุ่นปัจจุบันต้องไม่สร้างภาระใหม่ให้คนรุ่นต่อไป ผ่านการใช้พลังงานที่ปลอดภัย เป็นธรรม พลังงานที่
“สะอาดจริง” จึงไม่ใช่พลังงานที่เพียงปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าเดิม แต่คือพลังงานที่ไม่สร้างหนี้ทางสิ่งแวดล้อมและสังคมให้อนาคตและเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตพลังงานของตนเอง


