Protest at the Fossil Gas Platform in the Gulf of Thailand. © Greenpeace
© Greenpeace

ตั้งแต่เริ่มกระบวนการผลิตจนถึงการบริโภคก๊าซฟอสซิลที่ถูกตั้งชื่อให้ดูเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมว่า “ก๊าซธรรมชาติ” กลับส่งผลกระทบที่ไม่เป็นธรรมต่อชุมชนผู้มีรายได้น้อย กลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการสร้างปัญหาความอยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมให้ยังดำเนินต่อไป

ทั่วโลกได้หันมาใช้ ก๊าซฟอสซิล มากขึ้น เนื่องจากถูกมองว่าเป็นพลังงานที่สะอาดกว่าถ่านหิน และน้ำมัน ในขณะที่หลายประเทศเร่งมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ  ก๊าซฟอสซิลจึงถูกนำมาเป็นทางเลือกพลังงานเพื่อช่วยลดมลพิษทางอากาศและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เมื่อความต้องการใช้ก๊าซฟอสซิลเพิ่มมากขึ้นผลกระทบกับชุมชนก็มากขึ้นเช่นกัน

แผนภาพแสดงกระบวนการขุดเจาะก๊าซฟอสซิลด้วยเทคนิคไฮดรอลิก (ที่มา : https://letstalkscience.ca/educational-resources/stem-explained/what-fracking)

ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นของก๊าซฟอสซิล  การขุดเจาะด้วยเทคนิคไฮดรอลิก (Fracking) จึงกลายเป็นอีกวิธีการที่ได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ได้มีการปล่อยมลพิษทางอากาศในพื้นที่ใกล้กับแหล่งขุดเจาะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมลพิษเหล่านี้เป็นที่ทราบกันดีว่าสามารถก่อให้เกิดมะเร็งและส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ และระบบภูมิคุ้มกัน นักวิจัยที่ศึกษาระดับมลพิษทางอากาศใกล้กับแหล่งที่มีการทำ Fracking ในรัฐโคโลราโด พบว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของผลกระทบเรื้อรังและผลกระทบที่อาจจะตาม ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากสารมลพิษที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซฟอสซิลที่สามารถทำลายระบบทางเดินหายใจและระบบประสาทและนำไปสู่อาการหายใจลำบาก เลือดออกทางจมูก ปวดศีรษะวิงเวียนศีรษะ และอาการแน่นหน้าอก 

แม้ว่าการวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากมลพิษทางอากาศจากพื้นที่ขุดเจาะแหล่งน้ำมันและก๊าซฟอสซิลจะไม่ได้ถูกพูดถึงอย่างเป็นทางการมากนัก แต่หลักฐานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทั้งคนงานและชุมชนที่อาศัยโดยรอบ ตัวอย่าง ในรัฐโคโลราโด มีการประเมินความผิดปกติที่เกิดในทารกในพื้นที่ที่มีการขุดเจาะก๊าซฟอสซิลที่หนาแน่น พบว่าแม่ที่ตั้งครรภ์ที่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งผลิตก๊าซฟอสซิลจำนวนมาก มีความเสี่ยงสูงขึ้นถึงร้อยละ 30 ที่ลูกจะเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติของระบบหัวใจ นอกจากนี้ผลจากการศึกษาเบื้องต้นจากรัฐเพนซิลเวเนียแสดงให้เห็นถึงผลกระทบต่อเด็กแรกเกิดที่มาจากมลพิษทางอากาศ เช่น น้ำหนักแรกเกิดที่ต่ำกว่าเกณฑ์ และโรคระบบทางเดินหายใจหรือเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจ 

นอกจากนี้การขยายตัวของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซฟอสซิลทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อ แหล่งน้ำ และคุณภาพอากาศเพิ่มขึ้น หนึ่งในงานวิจัยพบว่าการพัฒนาแหล่งน้ำมันและก๊าซอย่างหนาแน่นส่งผลให้ระดับสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น เนื่องจากการปล่อยในระหว่างการขุดเจาะ และแสดงให้เห็นถึงการผลิตโอโซนในช่วงฤดูหนาวที่เกิดจากปฏิกิริยาโฟโตเคมีอย่างรวดเร็ว ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความหนาแน่นของการปล่อยสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) จากน้ำมันและก๊าซ การสะสมสารพิษทางอากาศ และการผลิตโอโซนในชั้นบรรยากาศที่ผิวดิน

ผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากการขุดเจาะด้วยเทคนิคไฮดรอลิก (Fracking)

งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้พิสูจน์ว่า การสัมผัสกับมลพิษและสารเคมีอันตรายที่ปล่อยจากกระบวนการการผลิตก๊าซฟอสซิลและการขุดเจาะก๊าซแบบ fracking สามารถก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ อาการหอบหืด มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก โรคหัวใจ และความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดของเด็กแรกเกิด รายงาน “ฝุ่นควันจากการแตกหักของหิน”  ของ Natural Resources Defense Council (NRDC) ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำงานเกี่ยวกับนโยบายและกฎหมายเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพของประชาชน และแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ชี้ให้เห็นถึงมลพิษทางอากาศจากการแตกหักของหินแบบไฮดรอลิกที่ส่งผลคุกคามสุขภาพของประชาชนและชุมชน ในพื้นที่อเมริกาเหนือในสถานที่ผลิตก๊าซฟอสซิล จำนวนมากที่ตั้งอยู่ใกล้กับชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ ทำให้ชุมชนต้องทนสูดดมมลพิษที่เป็นพิษต่อสุขภาพอย่างต่อเนื่องและยาวนานมาหลายชั่วอายุคนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวจำนวนมาก

นอกจากนี้ การผลิตน้ำมันและก๊าซฟอสซิลแบบเทคนิคไฮดรอลิก (Fracking) ยังสร้างมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะกับผู้ที่อาศัยอยู่ในระยะ 3-5 ไมล์ จากแหล่งผลิตก๊าซและน้ำมัน ตัวอย่างการปลดปล่อยมลพิษทางอากาศจาก Fracking เช่น การปล่อยมลพิษจากเครื่องจักรและรถบรรทุกที่เกิดจากการขนส่ง การเตรียมพื้นที่ และกระบวนการขุดเจาะผ่านเครื่องจักรที่ใช้เชื้อเพลิงดีเซลจำนวนมาก จะเพิ่มอัตราการปล่อยสารพิษและฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM2.5 และ PM10 โดยฝุ่นละอองเหล่านี้สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ลึกและเพิ่มความเสี่ยงของโรคหอบหืดและโรคหัวใจ-ปอด  นอกจากนี้สารพิษที่ปล่อยออกมาระหว่างกระบวนการขุดเจาะแบบ Fracking เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S): ก๊าซพิษที่พบในแหล่งน้ำมันและก๊าซฟอสซิล สามารถทำลายระบบประสาทส่วนกลางได้ สารจำพวก BTEX (Benzene, Toluene, Ethylbenzene, Xylene) เบนซีนที่เป็นสารก่อมะเร็งที่เชื่อมโยงกับลูคีเมีย โทลูอีนและไซลีนซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อตับและระบบทางเดินหายใจ และสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย หรือ VOCs อื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองตา จมูก ลำคอ ปวดศีรษะ และอ่อนเพลีย

ความเสี่ยงต่อชุมชนจากการขุดเจาะด้วยเทคนิคไฮดรอลิก Fracking

ชาวบ้านในชุมชนรอบข้างไม่ได้รับมาตราการป้องกัน และต้องเผชิญกับอากาศที่เต็มไปด้วยสารพิษโดยตรง ซึ่งการขุดเจาะในรูปแบบ Fracking ไม่เพียงแต่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนโดยไม่มีการป้องกันที่เพียงพอ ในขณะเดียวกันพนักงานในอุตสาหกรรมขุดเจาะก๊าซฟอสซิลและน้ำมันมีชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล หรือ PPE  แต่ชุมชนรอบข้างไม่มี และต้องเผชิญกับอากาศที่เต็มไปด้วยสารพิษโดยตรง ในรายงานปี 2020 ที่เผยแพร่โดยอัยการสูงสุดของรัฐเพนซิลเวเนีย รายงานนี้มีการนำเสนอคำให้การจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการขุดเจาะก๊าซฟอสซิลและน้ำมันพร้อมผลการสืบสวนโดยคณะลูกขุนซึ่งรายงานนี้ชี้ให้เห็นถึง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ที่เกิดจากการขุดเจาะในรูปแบบ Fracking รวมถึง การละเมิดกฎหมายสิ่งแวดล้อม ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ดำเนินการผลิตก๊าซฟอสซิลผ่านการกระเทาะชั้นหิน (Shale gas) 

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่ชุมชนต้องทนสูดดมอากาศที่เป็นพิษ โดยผลการรายงานของผลกระทบด้านคุณภาพอากาศของน้ำมันและก๊าซฟอสซิล Unconventional Oil and Gas Development หรือ UOGD  ของการขุดเจาะในรูปแบบ Fracking ได้ชี้ให้เห็นปัญหาโอโซนในชั้นโทรโพสเฟียร์ O₃  การพัฒนาแหล่งน้ำมันและก๊าซที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศระดับภูมิภาค เช่น โอโซนระดับพื้นดิน หรือ หมอกควันโฟโตเคมี (Photochemical Smog)ที่เกิดปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างแสงแดดกับมลพิษ เช่น  ไนโตรเจนออกไซด์ (NOₓ) สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) และสารเคมีอื่น ๆ ที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการขุดเจาะในรูปแบบ Fracking สามารถทำปฏิกิริยากับแสงแดดและก่อให้เกิดโอโซนระดับพื้นดินที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้คนในชุมชนโดยรอบเช่น หายใจลำบาก ลดประสิทธิภาพการทำงานของปอด กระตุ้นอาการหอบหืด และเพิ่มความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง

ความเสี่ยงต่อการเร่งให้เกิดภาวะโลกเดือดที่เป็นผลกระทบระดับโลกของการขุดเจาะก๊าซฟอสซิล ในรูปแบบ Fracking 

ก๊าซมีเทนวายร้ายที่มีอนุภาพทำให้โลกร้อนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นอีกตัวการหนึ่งที่ต้องถูกพูดถึงในภาคการผลิตน้ำมันและก๊าซฟอสซิล มีข้อมูลจากวารสารวิชาการเรื่อง Environmental Science & Technology (ES&T) ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติที่เผยแพร่โดย American Chemical Society (ACS) โดยเน้นงานวิจัยที่เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องซึ่งได้ชี้ให้เห็นถึงความเข้มข้นของมีเทนและโอโซนที่แสดงถึงแนวโน้มการปล่อยมีเทนที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาของวัน เช่น การสะสมของมลพิษในช่วงเวลากลางคืนและการเพิ่มขึ้นของโอโซนในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางเคมีในชั้นบรรยากาศและการปล่อยมลพิษจากอุตสาหกรรมก๊าซฟอสซิลและน้ำมันในช่วงเวลาที่ต่างกัน 

การศึกษาในปี 2012 ระบุว่าสัดส่วนปริมาณสสารของทั้ง มีเทน (CH₄) และโอโซน (O₃) มีความแปรปรวนสูง โดยมีเทนแสดงค่าที่สูงที่สุดในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งมักจะสะสมตัวจนถึงระดับประมาณ 10 ppmv ในขณะที่ในช่วงเวลากลางวันลดลงเหลือ 1.9−2.0 ppmv  ข้อสังเกตที่สำคัญคือระดับมีเทนในช่วงเวลากลางคืนสูงเป็นพิเศษ ซึ่งสูงกว่าค่ามาตราฐานเดิมของมีเทนที่ ∼1.9 ppmv อย่างมาก รูปแบบการสะสมตัวของมีเทนในลักษณะนี้ เคยถูกบันทึกไว้ในพื้นที่ผลิตน้ำมันและก๊าซฟอสซิลอื่น ๆ มาก่อนหน้านี้ และสาเหตุที่เป็นไปได้อาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่นิ่งในช่วงเวลากลางคืนอาจทำให้มลพิษถูกกักเก็บอยู่ใกล้พื้นดินมากขึ้น โดยไม่มีการกระจายตัวเหมือนในช่วงเวลากลางวัน

ที่มา : https://pubs.acs.org/doi/epdf/10.1021/es405046r?ref=article_openPDF  
กราฟด้านบน: แสดงแนวโน้มของความเข้มข้นของมีเทนและโอโซนตลอดช่วงเวลาการศึกษาในปี 2012 ส่วนกราฟด้านล่าง: แสดงถึงวัฏจักรรายวันของค่าเฉลี่ยรายชั่วโมงของมีเทนและโอโซน โดยมีแถบแสดงข้อผิดพลาด (error bars) ซึ่งระบุช่วงเปอร์เซ็นไทล์ 25−75 ของข้อมูลในแต่ละชั่วโมง  

นอกเหนือจากผลกระทบในระดับท้องถิ่นของชุมชนโดยรอบแล้ว การขุดเจาะก๊าซฟอสซิลและน้ำมันในรูปแบบ Fracking ยังคงส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นผลกระทบขั้นวิกฤตต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดความสูญเสียและเสียหายในระดับโลกอีกด้วย เพราะในกระบวนการขุดเจาะรวมถึงการขนส่งก๊าซฟอสซิลและน้ำมันทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทน (CH₄) ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีอนุภาพความร้อนร้ายแรง เพราะมีเทนมีศักยภาพในการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ถึง 86 เท่า จากการรายงานของ FracTracker Alliance ชี้ให้เห็นว่าก๊าซมีเทนอาจรั่วไหลออกจากบ่อน้ำมันและก๊าซฟอสซิลจากการขุดเจาะในรูปแบบ Fracking ได้มากถึงร้อยละ 40 ถึง 60  ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณการปล่อยมีเทนที่สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งการส่งออกน้ำมันและก๊าซฟอสซิลเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้อุตสาหกรรมทำการขุดเจาะในรูปแบบ Fracking อย่างต่อเนื่อง และยังส่งเสริมให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานที่ปล่อยคาร์บอนเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อก๊าซฟอสซิลและน้ำมันถูกขุดเจาะขึ้นมาเเล้วจะต้องถูกทำให้เย็นจัดจนกลายเป็นของเหลวและถูกเก็บไว้ในถัง ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างอากาศข้างนอกและถังเก็บทำให้เกิดแรงดันที่ต้องถูกระบายออก หรือที่เราเรียกว่า “ก๊าซเดือด (boil-off gas)” ซึ่งมีอัตราการรั่วไหลที่สังเกตได้จากกระบวนการจัดเก็บและขนส่งของโรงงานก๊าซฟอสซิลที่อาจสูงถึงร้อยละ 10 ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากพอเมื่อเทียบกับการเผาไหม้ของถ่านหิน หากยุติการเพิ่มการขุดเจาะก๊าซฟอสซิลและน้ำมัน การลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกจะเทียบได้เท่ากับการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินราว 19-42 แห่ง

หยุดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อวิกฤตโลกเดือด

การพึ่งพาพลังงานฟอสซิลเช่น น้ำมันและก๊าซฟอสซิลที่ได้จากการขุดเจาะแบบ Fracking และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ ต่อไปจะเป็นสิ่งที่เร่งให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง จนส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน หากเรามองภาพตามที่วิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถลดลงได้อย่างมากหากมีการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่จะหยุดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและหันไปใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรมสำหรับการผลิตพลังงาน โดยให้หันมาส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานที่ช่วยสร้างความ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้กับโลกและมวลมนุษยชาติ  

รัฐบาลแต่ละประเทศควรพิจารณาไม่ส่งเสริมการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซฟอสซิลในทันที  พร้อมทั้งร่วมกันหยุดแผนการเพิ่มโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากก๊าซฟอสซิล และหยุดการส่งออกเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สกปรกไปสู่ตลาดต่างประเทศ เราอาจจะช่วยลดวิกฤตสภาพภูมิอากาศด้วยกันได้


อ้างอิง

What is Fracking?

Highly Elevated Atmospheric Levels of Volatile Organic Compounds in the Uintah Basin, Utah D. Helmig,C. R. Thompson, J. Evans, P. Boylan, J. Hueber, and J.-H. Par 

The Health & Environmental Effects of Fracking

Fracking, Power Plants and Exports: Three Steps for Meaningful Climate Action

Fracking Fumes: Air Pollution from Hydraulic Fracturing Threatens Public Health and Communities


ร่วมสนับสนุนการทำงานของกรีนพีซ

เราส่งต่อเรื่องราวดี ๆ ที่จะช่วยให้การปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชนเป็นเรื่องน่ารู้ เข้าถึงง่ายและสามารถนำไปปรับใช้ต่อไปได้