เวทีเจรจาของคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Negotiating Committee: INC) เพื่อจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกโลก (Global Plastics Treaty) กำลังจะดำเนินมาถึงการประชุมรอบที่ 5.2 หรือ INC-5.2 ในเดือนสิงหาคม 2568 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากการประชุม INC-5 ที่ปูซาน เกาหลีใต้ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2567 ปิดฉากลงอย่างไร้ข้อบรรลุผล และต้องขยายเวลาการเจรจาออกไป แม้จะมีกว่า 100 ประเทศมุ่งมั่นในการตั้งเป้าลดการผลิตพลาสติก ร่วมลงชื่อสนับสนุนสนธิสัญญาพลาสติกโลก แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่ปฏิเสธการตั้งเป้าหมายดังกล่าว ด้วยข้อถกเถียงที่ยืนอยู่ระหว่างความสูญเสียด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ที่อุตสาหกรรมพลาสติกมีบทบาทในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP)
นับเป็นการเจรจาที่กินเวลามากกว่า 2 ปีแล้ว จากจุดเริ่มต้นเวทีเจรจาครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 เพื่อหาทางออกร่วมกันในการยุติมลพิษพลาสติกที่กำลังส่งผลกระทบในระดับวิกฤต และหากข้อตกลงของการเจรจายังเป็นไปอย่างล่าช้า ก็จะยิ่งทวีความสูญเสียมากขึ้น เพราะวิกฤตนั้นไม่อาจหยุดเวลารอได้เหมือนเวทีเจรจา
ในงาน “END THE AGE OF PLASTIC: ยุติมลพิษพลาสติก” ที่กรีนพีซ ประเทศไทย จัดขึ้นในวันสิ่งแวดล้อมโลก เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร มีการนำเสนอข้อเท็จจริงจากการรวบรวมผลการศึกษาจากหลายแหล่งข้อมูล [1] ที่สะท้อนถึงผลกระทบที่แท้จริงของมลพิษพลาสติก ซึ่งกำลังคุกคามระบบนิเวศ สุขภาพของประชาชน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต หากประเทศไทยยังคงเพิกเฉยต่อการควบคุมการผลิตพลาสติกใหม่
รวมถึงการเปิดวงเสวนา ‘ต้นทุนแห่งความเพิกเฉย หากประเทศไทยไม่ลดการผลิตพลาสติก เราจะสูญเสียอะไรบ้าง?’ ร่วมพูดคุยโดย สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) ชณัฐ วุฒิวิกัยการ ผู้ก่อตั้ง KongGreenGreen ผศ.เพ็ญจันทร์ ละอองมณี รองคณบดีคณะเทคโนโลยีทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี และ พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย โดยได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของประเทศไทย ในการเจรจาจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกโลก ที่ประเทศไทยจะได้แสดงจุดยืนที่กล้าหาญในระดับโลก ต่อการผลักดันให้เกิดการจำกัดการผลิตพลาสติกครั้งใหม่ตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งเป็นกุญแจดอกสำคัญในการไขทางออกไปสู่การแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติกอย่างยั่งยืน

เพราะเพิกเฉย จึงสูญเสีย
ในขณะที่ตัวเลข GDP แสดงถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ แต่ผลกระทบของมลพิษพลาสติกที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมกลับไม่เคยมีการประเมินมูลค่าทางตัวเลขอย่างชัดเจน ทั้งที่ต้นทุนความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมนั้นไม่ควรถูกมองข้าม พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทยชี้ให้เห็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากความเพิกเฉยนี้ว่า การมุ่งเน้นแต่เพียงตัวเลข GDP โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพของประชาชน กำลังกลายเป็นกับดักที่ย้อนกลับมาสู่ประเทศไทยในระยะยาว
“การเพิ่มการผลิตพลาสติกอาจสร้างรายได้ระยะสั้นให้กับบางภาคส่วน แต่ในทางกลับกันกลับสร้างต้นทุนด้านสุขภาพ ภัยพิบัติ และความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติที่ภาครัฐและประชาชนต้องแบกรับ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจในโลกยุคใหม่จึงไม่อาจแยกขาดจากการคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้านได้อีกต่อไป”
เช่นเดียวกับรายงานของวารสาร Cambridge Prisms: Plastics [2] ที่ระบุว่า แม้การลดการผลิตพลาสติกและลงทุนในทางเลือกที่ยั่งยืนจะมีต้นทุน แต่ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาวนั้นคุ้มค่าและชัดเจนกว่าการเพิกเฉย มีการคาดการณ์ถึงความเสียหายจากมลพิษพลาสติกที่อาจสูงถึง 14,000–282,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากไม่มีการจัดการที่เป็นรูปธรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย จะต้องกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกภายใต้กรอบเวลาที่ชัดเจน เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วม สร้างความโปร่งใส และเสริมความเชื่อมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และหัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) องค์กรภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนการธนาคารที่ยั่งยืน สฤณี อาชวานันทกุล ให้ความเห็นว่า “การเพิกเฉยต่อการลดการผลิตพลาสติก มีผลเสียต่อเศรษฐกิจในทางอ้อม โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อม และในทางเศรษฐศาสตร์เอง มีการพูดถึงความเสี่ยงช่วงการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) ที่ภาวะโลกรวนทำให้โลกมีกฎกติกาใหม่ ประเทศต่างๆ ต้องปรับตัวและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง หากไม่ปรับตัวก็จะกลายเป็นข้อจำกัดทางการค้า

“ความเปลี่ยนผ่านนี้อาจทำให้เราสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องพลาสติกเพราะพลาสติกผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นวัตถุดิบหลักถึง 98-99 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นนอกจากเรียกร้องภาคพลังงานให้ลงทุนในพลังงานหมุนเวียน ก็ต้องเรียกร้องไปยังอุตสาหกรรมพลาสติกด้วยเพราะเป็นผู้บริโภคเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยตรง และก่อปัญหาที่ปลายน้ำในรูปขยะพลาสติก ที่หากเราไม่จัดการลดการผลิตที่ต้นน้ำ ก็อาจทำให้เราเผชิญกับความเสี่ยงช่วงเปลี่ยนผ่านจากกติกาของภาวะโลกรวน
“การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการผลักภาระต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การผลิตพลาสติกที่ไม่จำเป็นและไม่มีการควบคุมจะทำให้สังคมและสิ่งแวดล้อมเสียหายไร้ที่สิ้นสุด เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ เศรษฐกิจที่ดีต้องคำนึงถึงอนาคต และระบบการเงินที่เป็นธรรมต้องไม่สนับสนุนธุรกิจที่ทำร้ายอนาคตคนรุ่นหลัง”
“พลาสติกที่เราเห็นว่าลอยอยู่ในทะเลมันแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่จมอยู่ที่พื้นทะเลมีถึง 70 เปอร์เซ็นต์” ผศ.เพ็ญจันทร์ละอองมณี สะท้อนผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม จากประสบการณ์ที่เคยทำงานเป็นนักวิชาการสำรวจทรัพยากรประมงและพบขยะมหาศาลกลางมหาสมุทร และการได้ทำงานวิจัยเพื่อสร้างความตระหนักต่อมลพิษขยะพลาสติกที่นับวันยิ่งหนักหน่วงขึ้น

“ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตมีทั้งการถูกรัด พัน รวมถึงการกินของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เช่นเต่าหรือวาฬ ที่หลายครั้งเมื่อผ่าท้องดูพบว่ามีขยะพลาสติกอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอย่างแพลงตอนก็ได้รับผลกระทบจากขยะพลาสติกที่แตกตัวเป็นไมโครพลาสติก ส่งผลต่อการกินอาหาร การเคลื่อนที่ การสืบพันธุ์ ทำให้ประชากรลดลง อาหารของผู้ล่าในห่วงโซ่ระดับถัดไปก็น้อยลง สัตว์ทะเลที่เป็นอาหารของคนจึงน้อยลงด้วย และที่มีชีวิตอยู่ก็พบการสะสมของสารเคมีจากไมโครพลาสติกเหล่านี้
“อีกแง่หนึ่งพลาสติก็ส่งผลต่อแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ เพราะพลาสติกที่ทับอยู่หน้าดิน ทำให้มีการลดการแลกเปลี่ยนก๊าซกับพื้นดิน สิ่งมีชีวิตอยู่ยากขึ้น ไม่ว่าอย่างไร เมื่อพลาสติกหลุดเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อม ย่อมส่งผลกระทบกับห่วงโซ่อาหารของมนุษย์และสุขภาพ นโยบายลดการผลิตพลาสติกจึงไม่ใช่แค่เพียงการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่คือการปกป้องสุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร และความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเลที่เราต้องพึ่งพา”
ในขณะที่ความเพิกเฉยของคนทั่วไปในฐานะผู้บริโภค ก็มีส่วนในการสร้างวิกฤตนี้เช่นกัน ชณัฐ วุฒิวิกัยการ ผู้ก่อตั้ง KongGreenGreen เพื่อสื่อสารเนื้อหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ย่อยง่าย กล่าวว่า “พลาสติกชิ้นเดียวที่เราใช้แล้วทิ้ง อาจดูเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อสะสมจากคนทั้งประเทศก็สามารถกลายเป็นวิกฤตระดับชาติได้ การเปลี่ยนแปลงสามารถเริ่มได้จากการลงมือทำด้วยตัวเราเอง แม้จะเป็นเพียงการปฏิเสธถุงพลาสติก พกแก้วหรือภาชนะส่วนตัว เมื่อมีคนจำนวนมากร่วมมือกัน ก็ช่วยเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีขึ้นได้”
เป้าหมายของการลดขยะพลาสติก และหนทางที่จะไปถึง
ในการประชุมเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก INC-5.2 ที่กำลังจะมาถึง กรีนพีซ ประเทศไทย เรียกร้องให้ประเทศไทยกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกใหม่อย่างชัดเจนในระดับนโยบาย และใช้โอกาสนี้ในการแสดงบทบาทผู้นำของภูมิภาคอาเซียน และยืนหยัดเพื่อระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยมีประชาชนและธรรมชาติเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
พิชามญชุ์ เผยว่า สนธิสัญญาฉบับนี้จะต้องกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกใหม่ลงอย่างน้อยร้อยละ 75 ภายในปี 2583 (ค.ศ. 2040) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และช่วยจำกัดอุณหภูมิพื้นผิวโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม เป็นเกณฑ์สำคัญตามเป้าหมายของความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามในความตกลงดังกล่าวไปเมื่อปี 2559

แม้ว่าประชาคมโลกไม่อาจรั้งอุณหภูมิพื้นผิวโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสไว้ได้อีกต่อไป ด้วยมีรายงานระบุว่า อุณหภูมิของโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้วเมื่อปี 2567 แต่ สฤณี มีความเห็นว่า “เรายังต้องตั้งเป้าที่เคร่งครัดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แม้จะเป็นเรื่องยากมากด้วยเหตุผลที่ว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าหากไม่ใช้พลาสติกแล้วจะใช้อะไรทดแทน การจัดการปัญหาที่ปลายน้ำที่การ Recycle, Reduce, Reuse ก็มีข้อจำกัด ดังนั้นการจะมุ่งเป้าไปที่การลดการผลิตพลาสติกร้อยละ 75 ต้องอาศัยระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่าน ภาครัฐจึงควรมีกลไกสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวอย่างจริงจัง
“ในการนำกลไกทางการเงินเข้ามาเป็นเครื่องมือเพื่อการเปลี่ยนผ่านนั้นมี 2 มิติ มิติแรกคือ การลดผลกระทบเชิงลบ ด้วยการจูงใจให้ธนาคารเลิกสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตพลาสติก ซึ่งภาคธนาคารก็มีความตื่นตัวในเรื่องนี้ มิติที่สอง คือการให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ ๆ หรืออุตสาหกรรมทางเลือกที่สามารถทดแทนพลาสติกได้ รวมถึงอุตสาหกรรมรีไซเคิล ซึ่งธนาคารไทยหลายแห่งมี Green Loan (สินเชื่อสีเขียว) อยู่ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้อาจเน้นไปในเรื่องพลังงานเป็นหลัก”
ผศ.เพ็ญจันทร์ เสริมว่า รัฐควรมีกลไกสนับสนุนผู้ประกอบการที่จริงจังกับการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (single-use plastic) และให้รางวัลเพื่อสนับสนุนการลดใช้ รวมถึงเข้ามาเป็นกลไกหนึ่งในการคัดแยกขยะเพื่อนำขยะพลาสติกกลับไปใช้ใหม่หรือแปรรูป ขณะเดียวกันในฐานะของการเป็นนักวิจัย เธอมองว่า “หน่วยงานที่ให้ทุนของรัฐควรมองถึงมูลค่าของงานวิจัยที่สร้างความตระหนักด้วย มากกว่าจะมองถึงมูลค่าของงานวิจัยที่ให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เพราะการสร้างความตระหนักในระดับจิตใต้สำนึก จะทำให้เกิดมูลค่าที่ไม่อาจวัดเป็นตัวเลขได้”
ส่วน ชณัฐ ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับผู้บริโภค มองว่า “อยากให้ทำความเข้าใจใหม่ว่า การไม่ได้ถุงพลาสติกหรือหลอดพลาสติกจากร้านค้า ไม่ใช่เรื่องเสียเปรียบหรือไม่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป สังคมควรรู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบอะไรบางอย่างกับการใช้และแจกพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งแบบนี้ ในต่างประเทศมีกฎหมายที่เข้มงวดเรื่องพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง และเป็นกฎพื้นฐานในหลายสังคมที่หากอยากได้ช้อนพลาสติกหรือถุงพลาสติกก็ต้องจ่าย พลังของผู้บริโภคมีผลอย่างมากที่จะทำให้ธุรกิจปรับเปลี่ยน เพราะกฎหมายบ้านเราเกิดได้ช้า ต้องใช้กลไกของผู้บริโภคช่วยกดดัน

“การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้บริโภคเป็นสิ่งดี แต่หลายแคมเปญรณรงค์มีอายุสั้น อาจจะด้วยความจริงจังของผู้ประกอบการที่ไม่มากพอ หรือทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จเลยหยุดไป ถ้าผู้บริโภคออกมาช่วยสนับสนุนกรีนแคมเปญเหล่านี้ ให้เขาได้เห็นว่ามีเสียงสนับสนุน ก็จะเป็นกำลังใจให้ผู้ผลิตทำต่อ สุดท้ายคือกฎหมายควบคุมการใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ควรต้องออกมาโดยเร็ว กติกาบ้านเราเป็นเรื่องความสมัครใจ ผู้ประกอบการที่รับผิดชอบสังคมจะมีต้นทุนในการลงทุนสูงกว่าเสมอ และสุดท้ายก็ต้องแพ้กลไกทางธุรกิจเพราะทำอยู่คนเดียว” ความเห็นของ ชณัฐ สะท้อนให้เห็นถึงกติกาเชิงสมัครใจ ที่อย่างไรก็ไม่ได้ผลเท่าการออกกฎระเบียบที่บังคับใช้ทั้งหมด
ในฐานะหัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย พิชามญชุ์ ทิ้งท้ายถึงตัวแทนภาครัฐที่จะเข้าร่วมประชุม INC-5.2 ในการเจรจาจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกโลกว่า
“ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เสียงของประเทศไทยสามารถเป็นพลังบวกที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโลกได้ หากเราเริ่มลงมือปฏิบัติด้วยความกล้า ไม่ย่อท้อและโอนอ่อนต่อแรงกดดัน เราจะไม่เพียงรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ได้ แต่ยังสามารถสร้างต้นแบบแห่งความยั่งยืนให้ภูมิภาคและโลกได้เห็นว่า ไทยพร้อมเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง”
หมายเหตุ
[1] เอกสารการรวบรวมผลการศึกษา “ต้นทุนของความเพิกเฉย: ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศไทย หากไม่ลดการผลิตพลาสติก”[2] Cordier, M., Uehara, T., Jorgensen, B., & Baztan, J. (2024). Reducing plastic production: Economic loss or environmental gain? Cambridge Prisms: Plastics, 2. https://doi.org/10.1017/plc.2024.3