ภารกิจการสำรวจผลแพลงก์ตอนและสัตว์หน้าดินใต้ทะเลตัวจิ๋วที่กรีนพีซ ร่วมกับนักวิจัยจากหลายมหาวิทยาลัยและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ยังไม่จบ หลังจากตัวอย่างต่าง ๆ ถูกส่งออกจากเรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์ พวกเราส่งตัวอย่างดินไปยังศูนย์วิจัยและมหาวิทยาลัย เพื่อสำรวจหาแพลงก์ตอนและสัตว์ทะเลตัวจิ๋ว พร้อมรวบรวมข้อมูลความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเล ผ่านการสำรวจสัตว์ทะเลหน้าดิน

แพลงก์ตอนและสัตว์น้ำวัยอ่อนซึ่งเป็นหนึ่งในข้อบ่งชี้สภาพท้องทะเล และเป็นตัวกลางในการเชื่อมร้อยความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับภูมิปัญญาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในทะเลและสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ในการทำงานอนุรักษ์ร่วมกับชุมชน
วันนี้เรามาดู สัตว์ทะเลหน้าดินขนาดเล็ก หรือไมโอฟาวนา (Meiofauna) ที่เก็บตัวอย่างมาจาก อ.ปะทิว จ.ชุมพร และ อ.จะนะ จ.สงขลา กับทีมภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เฟิร์ส พัทธ์ธีรา การประกอบ และ อาจารย์พร อ.ดร.สิทธิพร เพ็งสกุล เป็นสองคนที่จะพาเรามารู้จักกับน้อง ๆ ในกลุ่ม ไมโอฟาวนา (Meiofauna) กัน
ระหว่างที่พวกเรากำลังส่องกล้องเพื่อดูสัตว์จิ๋วหน้าตาแปลกภายใต้กล้องจุลทรรศน์ นักวิจัยทั้งสองก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานของพวกมันว่า สัตว์ตัวเล็กในกลุ่มนี้ บางชนิดเป็นตัวอ่อนของสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ หรืออาจเป็นตัวเต็มวัยของสัตว์ขนาดเล็ก อย่างเช่น ไส้เดือนทะเล (Polychaet) ที่เราเจอ อาจมีทั้งตัวอ่อน และตัวเต็มวัย โดยอาจมีทั้งขนาดตัวที่ใหญ่และขนาดเล็ก ซึ่งการพบสัตว์เหล่านี้บ่งบอกได้ว่าบริเวณที่เราไปสำรวจอาจเป็นแหล่งอาศัยหรือแหล่งสืบพันธุ์ของสัตว์ทะเลหลายชนิด และสัตว์ตัวเล็ก ๆ เหล่านี้ยังเป็นอาหารของสัตว์น้ำวัยอ่อน เช่น ตัวอ่อนกุ้งหรือตัวอ่อนปลาบางชนิดอีกด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศและแหล่งสัตว์เศรษฐกิจ

ทะเลและจุดเริ่มต้นการเป็นนักวิจัย
สำหรับอาจารย์พร ก็มีความชอบทะเลที่เป็นทุนเดิม บวกกับการศึกษาเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพของทะเลและมหาสมุทร กลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้อาจารย์พรเลือกเส้นทางการเป็นนักวิจัยทางทะเล
“ประเทศไทยเราอยู่ในเขตร้อนชื้น ยิ่งทำให้บ้านเราอุดมสมบูรณ์ตั้งแต่ยอดเขามาจนถึงใต้ท้องทะเล เราคิดว่าเราโชคดีที่ได้อยู่ในประเทศที่มีความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์สูง อย่างอาหารทะเลบ้านเราที่รสชาติดีเพราะทะเลอุดมสมบูรณ์นี่แหละ”

ส่วนเส้นทางการเป็นนักวิจัยของเฟิร์สเริ่มต้นจากวิชาชีววิทยา เฟิร์สเล่าว่าเธอชอบการเรียนเรื่องจำแนกสิ่งมีชีวิต แต่เพราะสิ่งมีชีวิตในโลกนี้มันมีหลากหลายมากทั้งพืชทั้งสัตว์ อาศัยอยู่บนบกและในน้ำ บวกกับเราเป็นคนภาคใต้เรามีบ้านติดทะเลก็เกิดความสงสัยว่าในน้ำทะเลมีสัตว์อะไรอาศัยอยู่บ้าง

“สัตวฺในทะเลมีความสำคัญยังไง มันมีหน้าตาเป็นยังไง มีคาแรกเตอร์แบบไหน เราอยากรู้คำตอบจากคำถามพวกนี้นะก็เลยเริ่มเรียนและมาทำงานวิจัยทางทะเล สำหรับงานที่เราทำที่นี่ก็คือแยกกลุ่มสัตว์ทะเลหน้าดินขนาดเล็ก โดยแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ซึ่งในสัตว์ทะเลหน้าดินขนาดเล็ก ก็จะแยกกลุ่มลึกลงไปอีกพวกเราแต่ละคนก็จะมีความถนัดในการแยกสัตว์ในกลุ่มนี้ไม่เหมือนกัน เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านหนอนตัวกลม (Nematode) ด้านโคพีพอด (Copepods) เป็นต้น”
ประสบการณ์การทำงานวิจัยบนเรือเรนโบว์ วอร์ริเออร์ร่วมกับชุมชน
เฟิร์สเล่าว่า การทำงานบนเรือร่วมกับชุมชนนั้นสนุกมาก ๆ มีตัวอย่างบางส่วนที่สามารถใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูได้เลย แต่ในส่วนของตัวอย่างกลุ่มสัตว์ทะเลหน้าดินขนาดเล็ก นั้นมีขนาดเล็กและจำเป็นจะต้องย้อมสีก่อนอีกทั้งยังใช้เวลาระดับหนึ่งเลยในการหา จึงไม่ได้ดูเจ้าตัวนี้บนเรือ ส่วนใหญ่ที่ได้ดูกันวันนั้นจะเป็นพวกแพลงก์ตอน ไข่ปลา ลูกปลา และสัตว์หน้าดินขนาดใหญ่
“หลังจากเก็บตัวอย่างดินมาจากพื้นที่ เราก็นำตัวอย่างมาเข้าสู่กระบวนการในแล็บ จะมีทั้งหมด 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ล้างตัวอย่างด้วยถุงกรองที่มีขนาดตา 63 ไมครอน ขั้นตอนนี้เรากรองเพื่อเอาตะกอนดินขนาดเล็กมากออกไปเพราะจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเรา นอกจากนี้ยังกรองเพื่อล้างสารที่ใช้รักษาสภาพดินตะออกออก ขั้นตอนนี้สำคัญเพราะหากล้างสารไม่หมดเราจะต้องแยกตัวอย่างไปด้วยและต้องดมสารเหล่านี้ไปด้วยก็จะเป็นอันตราย
“ขั้นตอนที่ 2 คือการแยกตัวอย่างสัตว์ทะเลหน้าดินขนาดเล็กออกมาจากดินตะกอน ด้วยกล้องจุลทรรศน์ (แบบ stereo microscope) ซึ่งจะจำแนกสัตว์ออกเป็นแต่ละไฟลัม รวมทั้งนับจำนวน และขั้นตอนที่ 3 คือการจำแนกชนิด ขั้นตอนนี้เราจะใช้กล้องจุลทรรศน์ (compound microscope) ช่วยเพื่อให้เห็นคาแรคเตอร์ของสัตว์ตัวนั้น ๆ เพื่อใช้ในการจำแนกให้ลึกลงไปถึงวงศ์ของพวกมัน”

ระบบนิเวศของพื้นที่ทั้ง 2 จังหวัดเรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์
จากการเก็บข้อมูลจากตัวอย่างที่เราได้รับมาแสดงให้เห็นว่าทั้งสองพื้นที่นี้มีความอุดมสมบูรณ์มากทีเดียว

“เราเจอ โคพีพอด (Copepods) ซึ่งจากเอกสารงานวิจัยจำนวนมากระบุว่า โคพีพอด เป็นสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างมีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเป็น ตัวชี้วัด (Indicator) โดยมักพบในบริเวณที่มีน้ำคุณภาพดี หากพื้นที่ที่เราไปเก็บตัวอย่างมาแล้วไม่พบสิ่งมีชีวิตใดเลย อาจแสดงว่าระบบนิเวศในบริเวณนั้นอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ และโคพีพอดยังมีคุณค่าทางอาหารอย่างมากเมื่อถูกกินเป็นอาหารของสัตว์ชนิดอื่น นอกจากนี้แล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่ใช้เป็นตัวชี้วัด (Indicator) ซึ่งบ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศได้นั่นก็คือ หนอนตัวกลมหรือนีมาโทด (Nematode) โดยทั่วไปแล้วสามารถพบได้ในทุกสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะแย่หรือดีเพียงใด แต่ถ้าหากไม่พบแม้กระทั่งหนอนตัวกลม แสดงว่าสภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจย่ำแย่มาก ส่วนพื้นที่ปะทิวและจะนะเราเจอหนอนตัวกลมในปริมาณปกติ”
สำหรับเฟิร์ส เธอบอกว่าเธอชอบสัตว์กลุ่มไคโนรินซ์ (Kinorhyncha) เป็นพิเศษ เพราะน้อง ๆ กลุ่มนี้ยังไม่มีการตีพิมพ์งานวิจัยในไทย ถ้าเราเจอตัวไหนมาเราก็สามารถตีพิมพ์เป็น New Record ได้ ส่วนน้องตัวที่ชอบเพราะหน้าตาน่ารัก มีชื่อทั่วไปเรียกว่า Mud Dragon ไคโนรินซ์ชนิดนี้อาศัยอยู่ในโคลนและมีรูปร่างคล้ายกับมังกร จึงได้ชื่อว่าเป็นมังกรโคลน (Mud Dragon)
ส่วนอาจารย์พรแนะนำ โคพีพอด (Copepods) เพราะเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อาหาร ถ้ามีมากก็แสดงว่าบริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์มีสัตว์น้ำเยอะ และบริเวณนั้นก็จะเป็นแหล่งหากินของชุมชนชาวบ้าน หรือที่ชาวประมงพื้นบ้านเขาเรียกว่า หลุมหมึก เป็นต้น

“เวลาที่ลูกสัตว์น้ำออกมาจากพ่อแม่ สิ่งที่พวกเขากินได้จะต้องเป็นสัตว์ตัวที่เล็กกว่าปาก ดังนั้นกลุ่มไมโอฟาวนา (Meiofauna) จึงเป็นอาหารในช่วงแรกของการเติบโตของลูกสัตว์น้ำ ดังนั้นจะพบไมโอฟาวนาได้เยอะเพราะเป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำ อีกทั้งยังเป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ว่าพื้นที่นั้นอุดมสมบูรณ์มากแค่ไหนอีกด้วย ซึ่งลูกสัตว์น้ำที่กินเขาเป็นอาหารก็มีหลากหลาย ทั้งปู ปลา กุ้ง ก็กินเขาเป็นอาหารได้”

“เราเจอกลุ่มไมโอฟาวนาทั้งในอ.ปะทิว จ.ชุมพรและ อ.จะนะ จ.สงขลา แตกต่างกันที่ความหนาแน่น แต่ถ้าอยากรู้ละเอียดมากกว่านี้เราจะต้องศึกษาว่าแต่ละที่เราเจอไมโอฟาวนาชนิดไหนบ้าง มีความจำเพาะกับพื้นที่มากน้อยแค่ไหน”
วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ภัยคุกคามชุมชนชายฝั่ง
อาจารย์พรเล่าว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ วิกฤตสภาพภูมิอากาศ เริ่มส่งผลกระทบชัดขึ้นที่ทะเลบ้านเรา
“สมัยก่อนเวลาเราลงไปพูดคุยกับชาวบ้าน พวกเขาไม่รู้จัก Climate Change นะ แต่ปัจจุบันนี้ชาวบ้านรู้จักปรากฎการณ์นี้เพราะว่ามันเกิดผลกระทบที่ใกล้ตัวเขามากขึ้น เช่น การเกิดมรสุมบ่อยครั้ง ปะการังฟอกขาว หรือสัตว์น้ำที่หายไป ความอุดมสมบูรณ์ของทะเลลดลง มันกระทบโดยตรงกับชุมชนชายฝั่งเลย ตอนนี้เวลาเราพูดคุยกันชาวบ้านเข้าใจมากขึ้นว่าต้องปรับตัวและรับมือยังไง ซึ่งเพราะเรื่องนี้เองก็ทำให้ชุมชนใส่ใจกับประเด็นสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย”
อาจารย์เสริมว่า ยกตัวอย่างในเดือนเมษายน ปี 2567 ในอ่าวไทยมีอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้ปะการังฟอกขาวเยอะมาก สัตว์น้ำบางกลุ่มที่เป็นสัตว์น้ำเป้าหมายของประมงพื้นบ้านเองก็จับได้น้อยลงหรือแทบจับไม่ได้เลยอย่างในชุมพร จะเห็นได้ชัดเลยว่าจับกลุ่มปลาหมึกได้ลดลงมาก มีสัตว์น้ำที่หายไปแล้วชุมชนจับไม่ได้เลยก็มี นอกจากนี้ยังมีเรื่องความถี่ของมรสุม ฤดูกาลที่เปลี่ยนไป จากที่เคยไปทะเลในช่วงหนึ่งซึ่งเป็นฤดูที่ไม่มีฝนแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามีพายุเข้า ยิ่งทำให้ชุมชนเห็นภาพว่ามันคือผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

“อย่างหมึกที่ชุมชนจับไม่ได้ ก็ต้องไปดูว่ามีปัจจัยอะไร เช่น ปัจจัยเรื่องอุณหภูมิน้ำที่มีผลต่อการวางไข่ของหมึกบ้าง หรือมีผลต่อการสืบพันธุ์ของหมึกหรือไม่ เราต้องสืบย้อนกลับไปที่ต้นเหตุ อย่างไรก็ตามก็ต้องแยกสมมติฐานออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปกระทบกับหมึก อีกส่วนคือเราต้องไปดูว่ามีการจับหมึกเกินขนาดหรือไม่จนทำให้หมึกหายไปได้เช่นกัน หรือมีจำนวนเรือจับหมึกมากขึ้นหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เราต้องสืบย้อนกลับไปหาสาเหตุ”
ท้ายที่สุดแล้วการทำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์ก็จะช่วยตอบคำถามชุมชนได้อย่างแท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับปรากฎการณ์ที่พวกเขากำลังเจอ ชาวประมงก็จะสามารถเอาข้อมูลเหล่านี้มาเป็นฐานพิจารณาและตัดสินใจได้ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสาเหตุของผลกระทบ
“อย่างการลงไปเก็บข้อมูลสัตว์หน้าดินที่กรีนพีซทำ แล้วนำข้อมูลมาสื่อสารกับชุมชนก็เป็นแนวทางที่ควรทำ เพราะเราจะพูดคุยกันบนพื้นฐานของข้อมูลให้เห็นภาพกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร จนชุมชนเชื่อมั่นในมาตรการการแก้ไขที่จะตามมา”

หลังจาก One Day Trip กับเฟิร์ส และอาจารย์พรแล้ว สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้ได้นั่นคือ มหาสมุทรไม่ได้มีแค่ปลา กุ้ง ปู แต่ยังมีสัตว์อีกมากมายหลายล้านชนิดที่เป็นห่วงโซ่ร้อยเรียงให้ระบบนิเวศยังคงอุดมสมบูรณ์ ให้มนุษย์เราได้พึ่งพิงเป็นแหล่งอาหาร
“ทะเลเป็นสถานที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดแล้ว ทุกอย่างถูกร้อยเรียงเชื่อมโยงกัน”
ข้อมูลที่เราค้นพบวันนี้ มีส่วนช่วยชุมชน
อาจารย์พรให้ความเห็นว่า ผลการสำรวจที่เราพบในวันนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าทะเลหน้าบ้านของชุมชนนั้นอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นการปกป้องและอนุรักษ์พื้นที่ย่อมทำให้ความหลากหลายของระบบนิเวศแบบนี้ยังคงอยู่ และยังทำให้ชุมชนได้มีอาชีพประมง ได้จับสัตว์น้ำเพื่อทำกินดำรงชีวิตต่อไป แต่หากสิ่งแวดล้อมในบริเวณนั้นถูกทำลายไปและทำให้สิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วเหล่านี้หายไป ซึ่งเปรียบเหมือนโซ่ข้อแรกในห่วงโซ่อาหาร ก็จะทำให้ห่วงโซ่ข้อถัด ๆ ไปสูญหายไปด้วย ทะเลก็จะไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม และจะกระทบต่อชุมชนที่พึ่งพิงทะเลเป็นแหล่งอาหารและวิถีชีวิตแน่นอน
“สำหรับพื้นที่ชุมพร เราทำงานร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิดมาก่อน เช่น ทำงานวิจัยในประเด็นการท่องเที่ยว ทรัพยากรและการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรทางทะเล จึงมีความคุ้นเคยกับชุมชน”

อาจารย์อธิบายว่า แม้ว่าเราจะเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่เราไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเท่านี้ เพราะเรามีหน่วยวิจัยที่ลงไปทำงานในพื้นที่ มีการทำงานร่วมกันอย่างการนำงานวิจัยไปเชื่อมโยงกับชุมชนเพื่อปกป้องอนุรักษ์ทะเลหน้าบ้าน
“เราเรียนด้านสิ่งแวดล้อมและเป็นนักวิจัยมาก่อน ก็ชอบศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่แล้วพอเห็นว่ามหาวิทยาลัยรามคำแหงมีการเรียนการสอน มีงานวิจัยด้านนี้เราก็เลยเข้ามาทำงาน”
อาจารย์พรทิ้งท้ายว่า การนำข้อมูลมาพูดคุยกับชุมชนเพื่อให้ชุมชนชายฝั่งเข้าใจทะเลหน้าบ้านของตัวเอง จะทำให้พวกเขาได้ร่วมกันปกป้องทรัพยากรของตัวเอง ซึ่งจะนำความอุดมสมบูรณ์กลับมาให้ทะเลได้ เมื่อทะเลสมบูรณ์ ชุมชนก็อุดสมบูรณ์ไปด้วยไม่ว่าจะเป็นแหล่งอาหารหรือการสร้างรายได้ให้กับครอบครัวและชุมชนของตัวเองได้
“นอกจากนี้ข้อมูลเหล่านี้ก็จะเป็นฐานในการจัดทำพื้นที่คุ้มครองทางทะเล (Marine Protected Areas) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในอนาคตที่เราจะใช้ปกป้องทะเลและทำให้คนที่ใช้ประโยชน์หรือคนที่อยู่ในพื้นที่เห็นความสำคัญของการปกป้องพื้นที่แห่งนั้นไว้ เรายังใช้ประโยชน์ได้แต่การใช้ประโยชน์นั้นต้องมีความยั่งยืน ต้องดูแลทรัพยากรด้วย”

ร่วมลงชื่อเพื่อสนับสนุนการสร้าง “ทะเลชุมชน”
พื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่ชุมชนเป็นผู้นำ (Community-led marine protected areas) และปกป้องสิทธิของชุมชนชายฝั่งที่กำลังได้รับผลกระทบจากทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากอุตสาหกรรม และประมงทำลายล้าง