หลังนิทรรศการโลกร้อนไม่เท่าเทียม กระทบคนไม่เท่ากัน : 1% ก่อ 99% เจ็บ ในช่วงงาน Bangkok Climate Action Week ที่ผ่านมา ประเด็นหนึ่งที่สะท้อนออกมาอย่างน่าสนใจคือ ในกลุ่มคน 99% ที่เป็นผู้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกเดือดซึ่งเกิดจากอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ (Carbon majors) ซึ่งเป็นผู้ก่อมลพิษเพียง 1% แต่ยังมีผู้ได้รับผลกระทบมากกว่าใคร พูดง่าย ๆ คือพวกเขาต้องเจ็บหนักกว่าคนทั่วไปเมื่อต้องเจอกับภัยพิบัติ เรามาเจาะลึกกันว่าเพราะอะไรที่ทำให้แต่ละคนได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน

ภายในงานเราชวนคนที่เป็นปราการด่านแรกในการรับมือกับภัยพิบัติ ไฟป่า น้ำท่วม มลพิษพลาสติกมาร่วมแชร์ประสบการณ์ผลกระทบที่พวกเขาพบเจอ ผ่านการถูกกดทับซับซ้อนในหลากหลายมิติ อาทิ เพศ เชื้อชาติ วัฒนธรรมและความจน
เรื่องจริงจาก คนจนเมือง รักษ์โลกยากเพราะต้นทุนสูงแต่เป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่โดนกระทบหนัก

หนูเกณ อินทจันทร์ เครือข่ายสลัม 4 ภาค ร่วมแชร์เรื่องราวของเธอเกี่ยวกับการเข้าถึงสินค้ารักษ์โลกได้ยากเพราะมีราคาแพง ทำให้ผู้มีรายได้น้อยถูกบังคับกลาย ๆ ให้เลือกสินค้าที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่ต้องเจอผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากภาวะโลกเดือด
“เครือข่ายของเราอยู่ในพื้นที่แออัด ที่ผ่านมาเราเจอกับความร้อนที่ร้อนขึ้น พวกเรารายได้น้อยไม่สามารถติดแอร์ได้แน่ ๆ พัดลมเอาไม่อยู่ เรามักจะใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็น ๆ เพื่อนอนพักผ่อนลดความร้อน
“คนในชุมชนหลายคนมีอาชีพค้าขายทำอาหารตามสั่งใส่กล่อง ซึ่งพวกเราไม่สามารถเข้าถึงกล่องชานอ้อยหรือบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้เลยเพราะต้นทุนสูง สิ่งที่เราเข้าถึงได้คือถุงพลาสติกกับกล่องโฟม ซึ่งสิ่งของต้นทุนต่ำเช่นนี้ก็วนกลับมาเป็นผลกระทบต่อคนในชุมชนแออัดอีก
“ยิ่งไปกว่านั้น คนจนในชุมชนแออัดมักถูกกล่าวหาว่าเป็นจำเลย ทุกครั้งที่น้ำท่วมแล้วขยะพลาสติกอุดตันก็มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มคนที่ทำให้ขยะเหล่านี้อุดตัน แต่ความจริงแล้วมันคือระบบการจัดการขยะของรัฐที่ยังไม่ได้ประสิทธิภาพ
“ภาครัฐต้องจริงจังกับการรณรงค์ลดใช้พลาสติกอย่างมีคุณภาพให้มากกว่านี้ แค่รณรงค์ให้คัดแยกขยะอย่างเดียวยังไม่พอ แต่ต้องออกแบบนโยบายให้ไปถึงต้นทางอย่างภาคเอกชนผู้ผลิต เป็นไปได้ไหมที่จะทำให้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้เหล่านี้มีต้นทุนที่ถูกลงเพื่อให้คนทุกระดับเข้าถึงได้ นอกจากนี้ยังต้องรณรงค์ระบบใช้ซ้ำแทนวัฒนธรรมใช้แล้วทิ้งเพื่อป้องกันมลพิษที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศและผลกระทบทางสุขภาพของประชาชน”
กลุ่ม LGBTIQ+ กับผลกระทบจากวิกฤตโลกเดือด
ศิริทาทา นิลพฤกษ์ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิอิสรชน ร่วมแชร์ประสบการณ์ในการทำงานของเธอซึ่งต้องพบเจอกับผู้คนที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางมากมาย เธอได้รับฟังเรื่องราวของพวกเขาที่ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายอาจไม่เคยได้ยิน

“เมื่อกลุ่มคนถูกไล่ที่จากพื้นที่ที่ทำกินไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ปัญหาปลายทางคือพวกเขาต้องมาอาศัยอยู่ในพื้นที่สาธารณะ และต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน และสถานการณ์แบบนี้นี้สามารถเกิดได้กับคนหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มคนจนเมือง กลุ่มเปราะบาง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้แน่นอนว่าหลายคนเป็น LGBTIQ+
พวกเขากลายเป็นกลุ่มที่ไม่มีใครรับฟังปัญหาของเขา ไม่ว่าจะได้รับผลกระทบจากโครงสร้างระบบ ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หรือการถูกแย่งยึดที่ดินทำกิน ถูกบังคับขับไล่ออกจากพื้นที่ ถูกซ้ำเติมจากภาวะโลกร้อน ฝนตกหนักตัวเปียกปอนไม่มีที่อยู่
ในเวลาที่เจ็บป่วยจากสภาพอากาศที่แปรปรวนสุดขั้ว ยังมีประเด็นสิทธิด้านสุขภาพที่พวกเขาก็เข้าถึงได้ยากกว่าคนทั่ว ๆ ไปอีกด้วย
ซ้ำร้ายคือไม่มีใครฟังเรื่องราวของพวกเขาซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาเชิงโครงสร้างและมักถูกกล่าวโทษว่าเป็นกลุ่มคนที่ก่อมลพิษในสิ่งแวดล้อมเสมอ แต่รู้ไหมว่า กลุ่มคนเหล่านี้เป็นต้นทางในการคัดแยกขยะ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันมลพิษจากขยะเหล่านี้ด้วยซ้ำ
ความจริงแล้ว วิกฤตโลกเดือดมีวิกฤตซ้ำซ้อนอยู่มาก บางทีอาจไม่ได้เกิดจากกลุ่มอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจรวมถึงผู้มีอำนาจบางกลุ่มที่ใช้กระบอกเสียงของตนบิดเบือนความจริงและเตะถ่วงเวลาต่อการรับผิดชอบเพื่อกอบโกยผลกำไร ว่าภาวะโลกร้อนมิได้เกิดจากแค่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงงานอุตสาหกรรม หากแต่เป็นผลจากการกระทำของปัจเจกบุคคล พร้อมสร้างวาทกรรมซ้ำเดิมว่า “โลกเดือดเกิดจากมนุษย์ทุกคน”

เรื่องราวของศิริทาทาที่นำมาเล่าสู่กันฟังนี้ ทำให้เราย้อนกลับมามองผ่านหลักการ “ความรับผิดชอบร่วม แต่แตกต่างกันตามความสามารถ” (Common but Differentiated Responsibilities and Respective Capabilities – CBDR-RC) ร่วมกับหลัก “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays) และหลัก “No-Harm” ที่มุ่งไม่ให้เหยื่อต้องเจ็บซ้ำจากวิกฤตเดิม ซึ่งคำถามสำคัญคือ ใครกันแน่ที่ควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อความสูญเสียและความเสียหายเหล่านี้ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ?
นอกจากประสบการณ์ที่ได้พบเจอในเมืองใหญ่ ศิริทาทายังมีโอกาสเดินทางไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ประสบการณ์ที่ทำให้เธอได้เห็นอีกมุมหนึ่งของผลกระทบจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างใกล้ชิด
“จากประสบการณ์ที่ไปช่วยน้ำท่วมที่เชียงราย เชียงใหม่ เมื่อปี 67 เราต้องไปล้างบ้านแล้วสังเกตว่าโคลนถล่มหนามาก อาจมีเสียงกล่าวโทษคนอื่นว่าเป็นคนตัดต้นไม้ทำลายป่า สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือสภาพอากาศของโลกนี้มันเปลี่ยนไป มันแปรปรวน ปัญหาเช่นนี้เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเราไม่สามารถแก้ไขที่ตัวเองได้แน่ ๆ”

“เราในฐานะอาสาสมัคร สิ่งที่เราพอทำได้เฉพาะหน้าตอนนั้นก็ต้องรับฟังและช่วยเหลือเยียวยาชุมชนกันไปเพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่รอดต่อไปได้ ซึ่งก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทาง แต่เราจะไปบอกเขาให้ไปช่วยกันปลูกต้นไม้เยอะ ๆ แก้ปัญหาที่ตัวเอง ไม่ได้ เพราะภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาในระดับโครงสร้างและวิกฤตจากนโยบายของภาครัฐที่ยังเอื้อให้กลุ่มทุนไม่หยุดสร้างผลกำไร และส่งต่อภัยพิบัติมาให้เรา”
ส่วนในกระบวนการเยียวยาจากผลกระทบไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือโรคระบาด ทุกคนได้รับเงินจากการเยียวยาก็จริง แต่ไม่ใช่กับกลุ่มคนเปราะบาง เช่น กลุ่มคนไร้บ้าน คนไร้รัฐไร้สัญชาติ คนจนเมือง คนที่ไม่มีบัตรประชาชนพวกเขาเหล่านี้ไม่เคยได้รับการเยียวยาฟื้นฟู ให้มีโอกาสเข้าถึงสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัยจากรัฐที่มีหน้าที่ในการปกป้องพวกเขา
จากเรื่องราวที่เธอร่วมแชร์เหล่านี้ก็พอสรุปได้ว่า นอกจากรัฐจะต้องมุ่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างแล้ว ยังจะต้องเปิดใจรับฟังทุกคนให้เท่ากันแล้วจะเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำมากมายที่ซ่อนอยู่
บ้านเราอยู่ติดกับผู้ก่อมลพิษ เรื่องจริงจากเยาวชนในพื้นที่ EEC
วงศธร แก้ววิลัย เยาวชนจาก จ.ระยอง เกิดและเติบโตใน จ.ระยอง เห็นการพัฒนาที่เกิดขึ้นในพื้นที่มาตลอด ต้องเกริ่นก่อนว่าพื้นที่บ้านของวงศธร (จ.ระยอง) บอบช้ำจากการพัฒนาในรูปแบบโครงการนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จากนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ หรือ Eastern Economic Corridor (EEC)

“เราอาศัยอยู่ใน อ.แกลง ซึ่งพอมีโรงงานตั้งอยู่บ้างแต่จะห่างไกลจากพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีโรงงานชุกชุมมากกว่า ผู้คนใน อ.แกลง ส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขาย เกษตรกร ชาวประมง ทำสวนทุเรียน สวนลองกองและสวนลำไย และมีสวนยางด้วย เป็นต้น อำเภอที่ผมอยู่นั้นได้รับผลกระทบจากมลพิษของโรงงานมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งในตอนนั้นเราเคยชินจนไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา”
“แต่เมื่อเราเติบโตขึ้นเราเริ่มสังเกตการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่บ้านเรา ยกตัวอย่างเช่น บ้านเราเคยถูกเวนคืนที่ดิน 2 ครั้งเพื่อขยายระบบคมนาคม คุณแม่ได้รับการชดเชยน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ภาครัฐเอาไปจากเรา ทำให้ครอบครัวเราต้องย้ายที่อยู่ออกไปไกลกว่าเดิม”
“หลังจากที่ครอบครัวเราย้ายออกไปไกลกว่าเดิม พื้นที่นั้นอยู่ติดกับอ่างเก็บน้ำซึ่งตอนนั้นเราได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างท่อส่งน้ำซึ่งพยายามดูดน้ำจากอ่างเก็บน้ำแห่งนั้นไปเป็นช่วง ๆ ครั้งนั้นเราได้เห็นคนในชุมชนรวมตัวกันประท้วง”
จุดที่ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดและตระหนักถึงผลกระทบจากนโยบายพัฒนาแบบบนลงล่าง (Top-Down policy) นั่นคืออุบัติการณ์น้ำมันรั่วครั้งใหญ่ปี 2564 วงศธรเสริมว่าความจริงแล้วที่ผ่านมาเกิดวิกฤตน้ำมันรั่วหลายครั้งมาก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่เขาได้ลงพื้นที่ไปพบกับผู้คนที่ได้รับผลกระทบจนเข้าใจและเชื่อมโยงปัญหาได้นั่นเอง

© Chanklang Kanthong / Greenpeace
ชาวบ้านคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอุบัติการณ์น้ำมันรั่วบอกกับเรา ซึ่งเป็นประโยคที่ติดอยู่ในใจเรามาตลอดว่า “เขายังไม่ทันหายจากแผลเดิมเลย เหตุการณ์นี้เหมือนมีคนเอาน้ำร้อนมาสาดแผลเขา”
“เขาบอกว่าเขาเพิ่งกลับมามีรายได้จากอาชีพประมงหลังเหตุการณ์น้ำมันรั่ว ทะเลเพิ่งกลับมาอุดมสมบูรณ์ เหมือนภาพฝันของเขากำลังกลับมา แต่ตอนนี้ภาพฝันนั้นแตกสลายไปแล้ว ประโยคนี้ทำให้เรากลับมาตั้งคำถามว่า การพัฒนาพื้นที่ในลักษณะนี้ทำให้คุณภาพชีวิตของชุมชนดีขึ้นจริงหรือ? การพัฒนาที่ไม่ได้มาสอบถามความเห็นของคนในชุมชน
“เราไม่รู้เลยว่านโยบาย EEC นี้เคยถูกนำไปถอดบทเรียนหรือเปล่า เพราะปัจจุบัน EEC กำลังจะถูกขยายเข้าไปในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งคนที่ปราจีนบุรีเขาก็คงไม่เห็นด้วยกับการพัฒนานี้เหมือนกัน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในระยองมันมากมายเหลือเกิน มลพิษที่เราต้องเจอ สิทธิขั้นพื้นฐานของเรามันถูกลดทอนลงไปมากเหลือเกินจากการพัฒนาพื้นที่ที่ไม่เห็นหัวคนในพื้นที่”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องโรงงาน มลพิษที่เกิดขึ้น แต่มันคือคำถามที่ว่าเราอยากสร้างสังคมแบบไหนกันแน่ สังคมที่เห็นแก่เม็ดเงิน การสร้างระบบเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นไปที่เม็ดเงินเป็นหลัก หรือสังคมที่เห็นคุณค่าของชุมชน ระบบนิเวศเป็นหลัก เราอยากเสนอรัฐให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดของตัวเองอย่างแท้จริงมากกว่านี้ มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน“
ข้อเสนอของวงศธรสรุปได้ว่า รัฐควรคืนสิทธิในการกำหนดเจตจำนงการพัฒนาบนพื้นที่ดินทำกินและพื้นที่ทะเลให้กับชุมชนที่ต้องพึ่งพาอาศัยทรัพยากรนี้ในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
“ถ้าถามว่าความฝันต่อบ้านเกิดของเราคืออะไร ก็คือเราอยากคืนสิทธิบนที่ดินและสิทธิบนผืนทะเลที่ชุมชนอาศัยอยู่”
ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ ผู้พิทักษ์ระบบนิเวศกลับเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากการถูกไล่รื้อจากที่ทำกินโดยแผนนโยบายของรัฐ

ก้อย ทะเลลึก ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์มอแกน เกาะพยาม จ.ระนอง และเป็นตัวแทนเสียงของพี่น้องมอแกนต่อความกังวลของร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ ภาคใต้ หรือ พ.ร.บ.SEC และ โครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ ชุมพร – ระนอง
“พี่น้องกังวลเรื่องร่าง พ.ร.บ.SEC และ โครงการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ ระนอง – ชุมพร เกาะพยามจะได้รับผลกระทบจากโครงการนี้โดยตรง พวกเราหากินที่ดอนตาแพ๊ว ซึ่งเป็นพื้นที่ทะเลที่ชาวเกาะพยาม ทั้งพี่น้องชาติพันธุ์มอแกน พี่น้องไทยมุสลิมและพี่น้องไทยพลัดถิ่น อาศัยอยู่และทำมาหากินที่นี่”
ชาวมอแกนกำลังถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ที่อาศัยอยู่ หลายคนไม่มีบัตรประชาชนที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาอยู่แล้ว “การจะสร้างโครงการใหญ่ใด ๆ ก็ตามโดยภาครัฐ สิ่งที่รัฐควรทำคือเข้ามาพูดคุยสอบถามความเห็นจากพี่น้องที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ก่อน ไม่ใช่คิดจะสร้างแล้วมาบอกคนในพื้นที่ทีหลัง”

พี่น้องมอแกนขอเรียกร้องต่อรัฐให้หยุดโครงการนี้ เพราะทะเลคือเงินทอง คือความอุดมสมบูรณ์ของเรา การถมทะเลสร้างโครงการขนาดใหญ่จะทำให้ระบบนิเวศเสื่อมสลาย ปะการังตาย สัตว์ทะเลหน้าดินสูญหาย ทำให้คนตัวเล็กตัวน้อยอย่างพวกเราคงไม่สามารถหาอาหาร ทำมาหากินทำอาชีพประมงและส่งลูกหลานเราเข้าเรียนได้อีกต่อไป นอกจากนี้ที่นี่ยังเหมาะกับการท่องเที่ยวเพราะอุดมสมบูรณ์ สวยงาม
“ถ้านักท่องเที่ยวมาแล้วต้องมานอนดูท่าเรือก็คงไม่คุ้ม เรามองว่าทรัพยากรอันมีค่าเหล่านี้เราควรเก็บรักษาให้ลูกหลานในอนาคต”
กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง เด็ก ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ ผู้ลี้ภัย ผู้มีรายได้น้อยหรือคนจนเมือง และ LGBTIQ+ ต้องเผชิญผลกระทบหนักที่สุด เพราะพวกเขามักถูกละเลยจากการเข้าถึงทรัพยากรและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แม้จะเป็นผู้ที่อยู่แนวหน้าต่อภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแต่พวกเขากับต้องเผชิญวิกฤตนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศมากที่สุด

ร่วมสนับสนุนการทำงานของกรีนพีซ
เราส่งต่อเรื่องราวดี ๆ ที่จะช่วยให้การปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชนเป็นเรื่องน่ารู้ เข้าถึงง่ายและสามารถนำไปปรับใช้ต่อไปได้