5 พฤศจิกายน สฟาลบาร์, นอร์เวย์ – กรีนพีซเผยชุดภาพธารน้ำแข็งละลายที่แสดงให้เห็นว่าในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาธารน้ำแข็งในอาร์กติกละลายลงไปจำนวนมาก ชุดภาพนี้เป็นภาพจากช่างภาพชื่อดังชาวสวีเดน Christian Åslund [1] ซึ่งมีภาพถ่ายโด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน โดยโปรเจคนี้เป็นการถ่ายภาพเปรียบเทียบกับภาพในอดีตจากคลังในสถาบันขั้วโลกของนอร์เวย์ (the Norwegian Polar Institutes) ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วทำให้เห็นถึงปริมาณที่น้ำแข็งละลายลงไปมาก จากเดิมที่เคยมีกำแพงธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ บัดนี้เหลือเพียงพื้นดินและน้ำที่ไร้น้ำแข็ง

ดูชุดภาพทั้งหมดได้ ที่นี่
© Christian Åslund /Norwegian Polar Institute / Greenpeace
ช่างภาพ Christian Åslund กล่าวว่า
“ผมมีโอกาสถ่ายภาพธารน้ำแข็งหลากหลายแห่ง ทำให้เราเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแบบเดียวกันนั่นคือกำแพงธารน้ำแข็งเหล่านี้หายไปทั้งหมดแล้ว และธารน้ำแข็งก็ละลายจนไม่เหลืออะไรเลย ภาพถ่ายเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสภาพภูมิอากาศโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรง อาร์กติกคือตัวชี้วัดด้านสภาพภูมิอากาศของเรา อีกทั้งยังเป็นจุดที่วิกฤตสภาพภูมิอากาศและวิกฤตในมหาสมุทรมาบรรจบกัน อีกทั้งยังเป็นที่ที่เราจะมองเห็นผลกระทบของวิกฤตต่าง ๆ เป็นที่แรกและชัดเจนที่สุด”
อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นอย่างฉับพลันในภูมิภาคอาร์กติกถือเป็นสถานการณ์ระดับโลก ธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งที่ละลายหายไปเป็นสาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันพื้นที่น้ำแข็งซึ่งแทนที่จะทำหน้าที่สะท้อนแสงอาทิตย์กลับละลายกลายเป็นน้ำทะเลซึ่งเผยให้เห็นก้นมหาสมุทรที่เป็นพื้นที่กักเก็บคาร์บอน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบสภาพภูมิอากาศโลก ดังนั้น วิกฤตสภาพภูมิอากาศและมหาสมุทรล้วนเชื่อมโยงกัน เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น ความสามารถในการปกป้องระบบนิเวศของมหาสมุทรก็ได้รับผลกระทบไปพร้อมกัน ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรชายฝั่งและความเป็น ‘บ้าน’ อันอุดมสมบูรณ์ให้กับสิ่งมีชีวิตในทะเลกำลังถูกคุกคามในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ดร.ลอว์รา เมลเลอร์ หัวหน้าโครงการของกรีนพีซ นอร์ดิก กล่าวว่า
“ธารน้ำแข็งสฟาลบาร์บัดนี้กลายเป็นเพียงตำนาน และแม้ว่าเหล่านักวิทยาศาสตร์จะทราบถึงความจริงอันน่ากังวลเกี่ยวกับผลกระทบภาวะโลกเดือดในอาร์กติก การได้เห็นรูปภาพชุดนี้ทำให้เรารู้สึกหดหู่และใจสลายทุกครั้ง อาร์กติกคือจุดสูงที่สุดของโลกและเราเห็นสัญญาณอันตรายนี้แล้ว และยังส่งสัญญาณให้เห็นถึงผลกระทบที่เชื่อมโยงกันทั้งในมหาสมุทรและสภาพภูมิอากาศโลกในระยะยาว” การหยุดหายนะทางวิกฤตสภาพภูมิอากาศจำเป็นจะต้องทำร่วมกับการปกป้องมหาสมุทรด้วยการกำหนดเขตคุ้มครองทางทะเลโลกเพื่อให้ระบบนิเวศได้ฟื้นฟูตัวเองและกลับมาอุดมสมบูรณ์พอที่จะช่วยให้โลกหลีกเลี่ยงผลกระทบที่แย่ที่สุดจากภาวะโลกเดือด
ภูมิภาคอาร์กติกกำลังร้อนเร็วขึ้นมากกว่าโลกถึง 2 เท่า[2] ซึ่งเป็นสัญญาณว่าภูมิภาคนี้กำลังล่มสลายลงจากหายนะของภาวะโลกเดือดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้วยสถิติที่ถูกบันทึกเป็นประวัติการณ์ [3]
นอกจากที่จะต้องปลดระวางเชื้อเพลิงฟอสซิลในทันทีแล้ว การปกป้องมหาสมุทรก็เป็นเรื่องเร่งด่วนไม่แพ้กัน ดังนั้น เราจะต้องเรียกร้องให้การทำลายล้างมหาสมุทรทุกรูปแบบต้องหยุดทันทีไม่ว่าจะเป็น โครงการเหมืองทะเลลึกและภัยคุกคามอื่น ๆ รวมทั้งยังต้องปกป้องพื้นที่มหาสมุทรโลกอีก 30% ภายในปี 2573 กรีนพีซเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกต้องให้สัตยาบันในสนธิสัญญาทะเลหลวงภายในเดือนมิถุนายน 2568 เพื่อให้โลกได้เดินหน้าแผนเขตคุ้มครองทะเลโลกให้เกิดขึ้นจริง รัฐบาลทั่วโลกยังจะต้องตกลงยอมรับที่จะระงับโครงการเหมืองทะเลลึกที่อันตรายอีกด้วย
ติดต่อ
Magali Rubino, Global Media Lead, Greenpeace Protect the Oceans campaign, Greenpeace France: [email protected] +33 7 78 41 78 78 (GMT+1)
Greenpeace International Press Desk: [email protected], +31 (0) 20 718 2470 (available 24 hours)
หมายเหตุ
Christian Åslund ทำงานร่วมกับกรีนพีซ โดยเริ่มร่วมงานกับเราตั้งแต่ปี 2541 ในภูมิภาคอาร์กติกและแอนตาร์กติก นอกจากนี้ยังได้ร่วมงานกันในภารกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมในอีกหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น ฟูกุชิมะ ญี่ปุ่น ยูเครน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน
[1] https://www.christianaslund.com/glacier-retreat#!
[2] https://wcd.copernicus.org/articles/5/985/2024/
[3]
- ข้อมูลจากศูนย์บริการ the Norwegian Centre for Data Service ระบุถึงการสังเกตการณ์ ในสถานีที่เกาะสฟาลบาร์ 4 แห่ง โดยบันทึกอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงฤดูร้อนที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยมีค่าสูงกว่าปกติถึง 3.0°C https://eo.belspo.be/en/news/record-breaking-temperatures-observed-svalbard
- ธารน้ำแข็งในหมู่เกาะสฟาลบาร์ ละลายหายไปเป็นจำนวนมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา พร้อม ๆ กับธารน้ำแข็งทั่วโลกที่ลดลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ https://www.ipcc.ch/srocc/chapter/chapter-3-2/
- ธารนำ้แข็งทั่วโลกส่วนใหญ่ของโลกเริ่มละลายตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1800 และมีอัตราเพิ่มขึ้นและลดลงสลับไปมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1970 ธารน้ำแข็งทั่วภูมิภาคอาร์กติกมีขนาดเล็กลงเมื่อเทียบกับสถิติเมื่อหลายพันปีก่อน https://www.ipcc.ch/report/ar6/wg1/chapter/chapter-2/#2.3.2.3
- ข้อมูลดาวเทียมจากศูนย์ข้อมูลธารน้ำแข็งและหิมะแห่งชาติ (the National Snow and Ice Data Center : NSIDC) บันทึกข้อมูลธารน้ำแข็งในอาร์กติกมากว่า 46 ปี ในช่วงเวลาดังกล่าว ปริมาณน้ำแข็งในอาร์กติกลดลงอย่างชัดเจน โดยมีการบันทึกปริมาณน้ำแข็งได้น้อยที่สุดถึง 18 ครั้ง ใน 18 ปี และในปี 2567 นี้ยังบันทึกได้ว่าธารน้ำแข็งในอาร์กติกลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ถึง 7 ครั้ง https://nsidc.org/news-analyses/news-stories/arctic-sea-ice-has-reached-minimum-extent-2024