กรุงโซล–กลุ่มสหพันธ์สิ่งแวดล้อมคยองกีเกาหลี (GyeongGi Korea Federation for Environmental Movements) กรีนพีซเอเชียตะวันออก และประชาชนผู้ฟ้องร้องจำนวน 450 คน ได้ยื่นฟ้องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงาน (MOTIE) เพื่อขอให้รัฐบาลเพิกถอนการอนุมัติโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล LNG เมื่อเดือนเมษายน จำนวน 6 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมแห่งชาติยงอิน เซมิคอนดักเตอร์ (Yongin Semiconductor National Industrial Complex) [1]
กลุ่มนักกิจกรรมได้แสดงออกเชิงสัญลักษณ์นอกอาคารศาล จำลองสถานการณ์โรงไฟฟ้าก๊าซ LNG โดยมีนักกิจกรรมคนหนึ่งสวมชุดคลีนรูม สื่อถึงเครื่องแบบของพนักงานในโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ขณะที่นักกิจกรรมคนอื่นชูป้ายที่มีข้อความว่า “No more fossil gas, Go renewables.” หรือ “หยุดใช้ก๊าซฟอสซิล เดินหน้าสู่พลังงานหมุนเวียน”
โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลเหลว LNG ทั้งหกได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างโดยไม่มีการจัดทำการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment Act) และกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศ โดยคาดว่าบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ (Samsung Electronics) จะเป็นผู้เช่าหลักของนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 360 ล้านล้านวอนเกาหลี (260 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง

ยาง ยอนโฮ นักรณรงค์ด้านพลังงานและสภาพภูมิอากาศอาวุโส กรีนพีซเอเชียตะวันออก กล่าวว่า
“การฟ้องคดีนี้ไม่ใช่แค่โครงการโรงไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่เป็นการคัดค้านต่อการกระทำของรัฐบาลที่เพิกเฉยต่อพันธกรณีด้านสภาพภูมิอากาศ ละเลยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน และไฟเขียวให้มีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ท่ามกลางวิกฤติระดับโลกที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันโดยอ้างว่าเป็นการกระทำที่ถูกกฎหมาย การอนุมัติโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลเหลว LNG ทั้งหกแห่งเป็นการละเมิดกฎหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของเกาหลี และขัดแย้งกับหนึ่งในคำมั่นสำคัญหลักในช่วงการหาเสียงของประธานาธิบดีอี ซึ่งก็คือ เขตอุตสาหกรรม RE100 (Renewable Energy100 industrial zone) เราขอเรียกร้องการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่เป็นธรรม บนพื้นฐานสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอันตรายและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงอย่างก๊าซฟอสซิล”
โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลเหลว LNG แห่งใหม่ทั้ง 6 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ยงอิน คาดว่าปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบ 10 ล้านตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยมลพิษจากรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันเบนซินประมาณ 2.3 ล้านคันในหนึ่งปี [2][3] แม้ว่าพื้นที่รอบนิคมอุตสาหกรรมยงอินจะมีศักยภาพสูงในการผลิตพลังงานหมุนเวียน แต่ทางเลือกด้านพลังงานหมุนเวียนกลับไม่ได้ถูกนำมาประเมินร่วมอย่างเป็นทางการในกระบวนการอนุญาต [4]
คดีนี้เป็นการท้าทายระบบโครงสร้างการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของเกาหลีใต้ พ.ร.บ. การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA มีหลักการสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าความเสี่ยงและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะได้รับการประเมินอย่างรอบด้านก่อนที่โครงการใด ๆ จะได้รับการอนุมัติ อย่างไรก็ตาม วิธีการ ขอบเขตการบังคับใช้ และช่วงเวลาของการประเมินเหล่านี้ถูกกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาที่ออกภายใต้กฎหมายฉบับนี้อีกที ซึ่งเป็นความโชคร้ายที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอนุญาตให้โครงการได้รับการอนุมัติก่อน แล้วจึงค่อยทำการประเมินสิ่งแวดล้อมในภายหลัง ณ ขั้นตอนการอนุมัติแผนการก่อสร้าง และส่งผลให้มาตราการของ EIA ไร้ประสิทธิภาพ
ซอกยอน คิม ทนายความผู้แทนโจทก์ กล่าวว่า
“โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลเหลว LNG ทั้ง 6 แห่งนี้จะเกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูงไปอีกหลายทศวรรษ ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของเกาหลีใต้ (Carbon Neutrality Act) ที่กำหนดให้รัฐต้องมีความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นศาลจึงต้องพิจารณาไม่เพียงแค่การละเมิดทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหน้าที่ของรัฐบาลในการป้องกันผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่อาจเกิดขึ้น การฟ้องร้องนี้จึงเป็นการกอบกู้ความเชื่อมั่นของสาธารณะชนและความรับผิดรับชอบต่อวิกฤตโลกเดือดของผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย”
การฟ้องคดีครั้งนี้ไม่เพียงตั้งคำถามต่อความถูกต้องตามกฎหมายของกระบวนการอนุมัติโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลเหลว LNG เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของโลกที่ใช้อำนาจศาลให้พิจารณาความรับผิดรับชอบของรัฐบาลที่ล่าช้าต่อการแก้วิกฤตโลกเดือดโดยในเดือนพฤษภาคม 2568 ศาลสมาคมการค้าเสรียุโรป (European Free Trade Association-EFTA) ได้ยืนยันว่าผลกระทบทางสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 3 (จากกิจกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิต) ต้องได้รับการประเมินก่อนการอนุญาตให้ดำเนินโครงการพัฒนาใด ๆ
ด้วยความเร่งด่วนในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มาตรฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศถูกนำมาใช้มากขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่ามีการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมตามความเร่งด่วนของวิกฤตโลกเดือดที่กำลังเกิดขึ้น ดังนั้นมาตราการทางกฎหมายภายในประเทศจึงจำเป็นต้องก้าวให้ทัน และสอดคล้องกับหลักการด้านความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล และหลักธรรมาภิบาลทางสิ่งแวดล้อมในการพิจารณาคดีความทางกฎหมาย
เฮจิน แช ผู้ประสานงานด้านกฎหมายอาวุโส กรีนพีซเอเชียตะวันออก กล่าวว่า
“เราหวังว่าคดีนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับโลก ที่รัฐบาลต้องมีเจตจำนงในการรับผิดรับชอบต่อการส่งเสริมโครงการพลังงานฟอสซิลที่สร้างความเสียหาย การฟ้องคดีของเราเปิดเผยช่องว่างระหว่างมาตรฐานระดับโลก และแนวปฏิบัติแบบ ‘อนุญาตไปก่อน’ ของรัฐบาลเกาหลี พร้อมทั้งแสดงให้เห็นว่าการขับเคลื่อนในระดับท้องถิ่นนั้นสามารถทำให้นโยบายของชาติสอดคล้องกับความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศระดับโลกได้”
หมายเหตุ
สามารถดาวน์โหลดภาพถ่ายด้านนอกศาล ได้ที่นี่
[1] คดีความดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกรุงโซล
[2] ที่มา: การประเมินผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับสมบูรณ์ ของนิคมอุตสาหกรรมแห่งชาติยงอิน เซมิคอนดักเตอร์ (Yongin Semiconductor National Industrial Complex) ปริมาณ 9,774,893 ตัน
[3] ที่มา: เครื่องมือคำนวณความเทียบเท่าก๊าซเรือนกระจก ของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (EPA)
[4] ที่มา: รายงาน No More Fossil Fuels: Pathway for Samsung and Korea to Build a Green Yongin Semiconductor Cluster, Greenpeace East Asia & Solutions For Our Climate, 2025
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ:
Euihyun Choi ผู้ประสานงานสื่อมวลชน กรีนพีซโซล โทร +82 10-5950-0369, [email protected]
Erin Newport ผู้ประสานงานสื่อมวลชนสากล (สำนักงานไทเป) โทร +886 958 026 791, [email protected]


