กรุงเทพฯ, 27 มิถุนายน 2562 — กรีนพีซชี้รัฐบาลไทยต้องยกระดับมาตรการป้องกันอุตสาหกรรมหมูจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูที่กำลังคุกคามอุตสาหกรรมหมูของเอเชีย เพื่อไม่ให้ไทยกลายเป็นประเทศต่อไปที่เผชิญกับหมูติดเชื้อจากภัยระบาด

โรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วทั่วเอเชีย กระทรวงเกษตรของเวียดนามระบุในรายงานว่า เวียดนามกำจัดหมูไปแล้วกว่า 2.8 ล้านตัว คิดเป็นเกือบร้อยละ 10 ของหมูในประเทศทั้งหมดจำนวน 30 ล้านตัว [1] โรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู เป็นโรคที่อันตรายต่อชีวิตหมู แต่ไม่ส่งผลอย่างไรต่อมนุษย์ ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่มีการตรวจพบการแพร่ระบาดของโรคนี้ในเอเชีย เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้จีนจำเป็นต้องกำจัดหมูจำนวนราว 200 ล้านตัว [2]

สำหรับประเทศไทย กรมปศุสัตว์ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกประกาศสั่งชะลอการนำเข้าหมูจากลาวเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน [3] เพื่อป้องกันการระบาดในไทย อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยจำเป็นจะต้องมีวิสัยทัศน์มองไกลไปกว่าการชะลอการนำเข้าหมูจากลาวหรือประเทศอื่น และเร่งดำเนินการเชิงนโยบายและสร้างนโยบายที่ปกป้องเกษตรกรจากการคุกคามของโรคระบาด รวมถึงออกกฎหมายการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

“รัฐบาลไทยต้องสนับสนุนนโยบายเกษตรกรรมเชิงนิเวศอย่างจริงจัง รวมถึงนำมาพัฒนาปฏิบัติใช้จริงเพื่อแก้ปัญหาระบบอาหารในปัจจุบัน เนื่องจากระบบอาหารเชิงอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตเชิงปริมาณเพื่อต้นทุนอาหารที่ถูกที่สุดนั้นต้องแลกมาด้วยผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม” รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านอาหารและเกษตรกรรมเชิงนิเวศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว “เกษตรกรไทยและผู้บริโภคไม่ควรจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในวิกฤตจากระบบอาหารเชิงอุตหกรรม สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือ ประเทศไทยจะต้องมีนโยบายการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะตลอดช่วงห่วงโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ เพื่อปกป้องผู้บริโภคและวิถึชึวิตของเกษตรกรรายย่อยในประเทศ”

วิกฤตโรคอหิวาต์แอฟริกาในขณะนี้คือสัญญาณชี้ชัดว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะลดการสนับสนุนอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ และส่งเสริมเกษตรกรรมเชิงนิเวศ โดยเริ่มต้นจากการพัฒนานโยบายการระบุข้อมูลอย่างโปร่งใสบนฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เชิงอุตสาหกรรม ที่ระบุถึงกระบวนการผลิตต่าง ๆ  [4] เพื่อคืนสิทธิในการรับรู้ข้อมูลและการเลือกบริโภคของประชาชน

“การออกกฎหมายฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เชิงอุตสาหกรรมทุกประเภท คือการแจ้งผู้บริโภคให้รับทราบถึงข้อมูลของเนื้อสัตว์ที่เลือกซื้อ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมสิทธิพื้นฐานในการรับรู้ข้อมูลของประชาชน เช่น ข้อมูลของที่มาอาหารสัตว์ว่าเชื่อมโยงกับการทำลายป่าและการก่อหมอกควันพิษหรือไม่ รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะ และการตกค้างในเนื้อสัตว์ อันเกิดมาจากการเลี้ยงสัตว์ในปริมาณมหาศาลของระบบอุตสาหกรรม ข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์คือสิ่งที่ช่วยให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและตัดสินใจเลือกซื้ออาหารที่ทั้งดีต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และส่งเสริมเกษตรกรที่ผลิตอาหารอย่างใส่ใจและปลอดภัย [5]” รัตนศิริ กล่าว

หมายเหตุ

[1] https://mgronline.com/indochina/detail/9620000060451

[2] https://www.reuters.com/article/us-vietnam-swinefever/african-swine-fever-hits-industrial-farms-in-vietnam-28-million-pigs-culled-idUSKCN1TQ0WG 

[3] https://news.thaipbs.or.th/content/281098?fbclid=IwAR3sbgkTALaziIBs9_mGm9U65g_zHwkHrZ-OcjeEyeAFthDZn4_nQaAyjKQ 

[4] กรีนพีซกำลังรณรงค์เรียกร้องให้ภาครัฐออกกฎหมายติดฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทุกประเภทโดยเปิดเผยถึงข้อมูลการเลี้ยงสัตว์ ที่มาอาหารสัตว์ว่าเชื่อมโยงกับการทำลายป่าและก่อหมอกควันพิษหรือไม่ รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะ และการตกค้างในเนื้อสัตว์ สามารถร่วมลงชื่อได้ที่ https://act.gp/2ZX1oXL

[5] ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ https://www.greenpeace.org/thailand/publication/2989/less-is-more/