การประกาศของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะตัดสินใจเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินและท่าเทียบเรือถ่านหินกระบี่ในวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 ที่จะถึงนี้ นอกจากสวนทางกับคำมั่นสัญญาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการกู้วิกฤตโลกร้อนโดยเฉพาะการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มมากไปกว่า 1.5 องศาแล้ว  ยังแสดงให้ประชาชนได้เห็นความไม่เป็นธรรมในการจัดการพลังงานของประเทศสู่ช่องว่างทางอำนาจที่ห่างมากขึ้นของประชาชนและกลุ่มทุนพลังงานถ่านหิน การไฟเขียวของนายกฯถือเป็นการยอมรับให้การผูกขาดด้านพลังงานยังอยู่และผลักภาระให้ประชาชนเป็นผู้แบกรับภาระต้นทุนความล้มเหลวของการจัดการพลังงานของประเทศ

การสั่งเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่สะท้อนให้เห็นระบบผูกขาดพลังงานของประเทศอย่างเหนียวแน่นและยังอยู่ในภาวะยุคมืดอีกหลายปีนับจากนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยังคงเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการจัดหาพลังงานป้อนเข้าสู่ระบบสายส่งตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2535 ที่กำหนดให้กฟผ.เป็นผู้ผลิต จัดหา ส่งและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

หากพิจารณาอำนาจของกฟผ.จะเห็นชัดเจนว่า กฟผ.มีบทบาททั้งในการวางแผนและการจัดหาพลังงาน อำนาจในการวางแผนพลังงานที่กฟผ.เป็นนายหน้าผูกขาดตั้งแต่การพยากรณ์การใช้ไฟฟ้าของประเทศตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า(พีดีพี)ซึ่งที่ผ่านมาส่งผลให้ในช่วง10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการคาดการณ์การใช้พลังงานล่วงหน้าสูงเกินความเป็นจริงมาตลอดเฉลี่ยปีละราว 1,000 เมกะวัตต์และการผูกขาดในการวางแผนพลังงานยังคงต่ออายุ“พีดีพีแบ่งเค้ก”ที่ทำให้การจัดสรรโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนผลประโยชน์มิใช่ความต้องการที่แท้จริง เนื่องจากหากยิ่งสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มยิ่งได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่ม

ถึงแม้ว่าไฟฟ้าดังกล่าวจะเกินความต้องการและเกินค่าสำรองมาตรฐานสากลที่ระดับร้อยละ 15 แต่ภาระต้นทุนดังกล่าวไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของกฟผ.เนื่องจากมันถูกผลักมายังบิลค่าไฟฟ้าของประชาชนที่ได้จ่ายในบิลค่าไฟฟ้าทุกเดือน ซึ่ง ณ ปี 2559 ประชาชนได้จ่ายเงินกว่าแสนล้านบาทล่วงหน้าแล้ว อันมาจากกำลังสำรองไฟฟ้าของประเทศเกินค่ามาตรฐานสากลมาราว 3,300 เมกะวัตต์ (1)

การผูกขาดพลังงานของกฟผ.ได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ถึงระบบสายจำหน่ายของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยทั้งกฟน.และกฟภ.ถูกบังคับตามกฎหมายให้ซื้อไฟฟ้าจากกฟผ.เป็นหลัก ดังนั้นสายส่งไฟฟ้าของประเทศไทยเป็นสายส่งไฟฟ้าที่ขาดความเป็นกลาง เนื่องจากเป็นสายส่งที่กีดกันการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนแต่มีไว้รองรับพลังงานเชื้อเพลิงถ่านหิน

ทำไมถึงไม่ปลดล๊อคสายส่งเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานอื่น?

คำถามสำคัญของประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าคือทำไมกฟน.และกฟภ.จึงไม่ปลดล๊อคระบบสายส่งให้สามารถรับซื้อไฟฟ้าได้จากผู้ผลิตพลังงานที่หลากหลายเพื่อให้เกิดการแข่งขันและทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการใช้พลังงานอื่นนอกจากถ่านหิน

ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนในระดับบ้านเรือน อาคารสำนักงาน โรงเรียนหรือแม้กระทั่งห้างสรรพสินค้าที่ผลิตไฟฟ้าได้ในพื้นที่จะไม่สามารถเข้าสู่ระบบสายส่งไฟฟ้าของกฟน.และกฟภ.ได้เนื่องจากทั้งสองหน่วยงานต้องจัดสรรการจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่เหล่านั้นโดยให้ความสำคัญกับไฟฟ้าที่ได้มาจากการจัดหาของกฟผ.เป็นหลัก

ดังนั้นประชาชนในพื้นที่จึงไม่มีสิทธิเข้าถึงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนถึงแม้ว่าพื้นที่ของจังหวัดเหล่านั้นจะมีศักยภาพในการผลิตพลังงานหมุนเวียนก็ตาม ในต่างประเทศประชาชนมีสิทธิเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนจากระบบ Net Metering ที่ทำให้มิเตอร์ไฟฟ้าของประชาชนที่ผลิตไฟฟ้าสามารถหักลบค่าใช้จ่ายไฟฟ้าที่ใช้จากสายส่งส่วนกลางได้ ระบบดังกล่าวจะผลักดันให้เกิดการเติบโตของการแข่งขันลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและมีการเปรียบเทียบต้นทุนพลังงานที่เป็นธรรมซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐมักอ้างว่าต้นทุนโรงไฟฟ้าใหม่ถูกกว่าเพราะไม่เคยมีการเปรียบเทียบกันในด้านค่าขนส่งพลังงาน

ความจำเป็นในการประกาศเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่จึงมีค่าเป็นศูนย์เมื่อเทียบกับความจำเป็นอันยิ่งยวดของนายกรัฐมนตรีในการเร่งเดินหน้าจัดการการผูกขาดพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย อันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถข้ามพ้นกลุ่มทุนอุตสาหกรรมถ่านหิน ถึงเวลาที่ประเทศจะต้องเปลี่ยนอำนาจการจัดหาพลังงานไฟฟ้ามาอยู่กฟน.และกฟภ.แทนที่กฟผ. โดยจะต้องแยกการจัดหากับอำนาจการผลิตพลังงานออกจากกัน ทั้งนี้กฟผ.ยังคงสร้างโรงไฟฟ้าและดูแลระบบสายส่งกลาง แต่กฟผ.ต้องเข้ามาแข่งขันกับผู้ผลิตพลังงานรายอื่นหรือบริษัทลูกของกฟผ. กฟผ.ไม่จำเป็นต้องแปรรูปเพียงแค่แยกอำนาจการจัดหาพลังงานไฟฟ้ามาอยู่ที่กฟน.และกฟภ.

ดังนั้นการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศจะตั้งอยู่บนความต้องการที่แท้จริงและการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ไม่สามารถทำได้บน การแบ่งปันผลประโยชน์เนื่องจากทางกฟน.และกฟภ.ไม่จำเป็นและไม่อยากทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าเพิ่ม จึงทำให้ประเทศมีการผลิตและรับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสม

ความกล้าหาญของนายกฯในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจึงไม่ใช่การประกาศเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ แต่คือการยกเลิกการผูกขาดการจัดการพลังงานของประเทศอันเป็นวาระแห่งชาติ เพราะจะเป็นการสร้างความเป็นธรรมและลดภาระค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องแบกรับอย่างน้อย 450,000ล้านบาท หากรัฐบาลยุติเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินตามแผนพีดีพี 2015 จำนวนกว่า 7,300 เมกะวัตต์และโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่รวมทั้งสิ้น13 โรงทั่วประเทศ (1) อีกทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่มีอายุการใช้งาน 40 – 60 ปี คาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจะสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศนับร้อยปี(2)และก่อให้เกิดหายนะจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งประเทศไทยเองเป็น1ใน10 ของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจากผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน(3)

ข้อมูลอ้างอิง
(1)เอกสารการนำเสนอ “ประเทศไทยในสัญญาปารีส”ราว, 21 มกราคม 2560, ศุภกิจ นันทะวรการ มูลนิธินโยบายสุขภาวะ
(2) www.ipcc.ch/pdf/assessment-report/ar5/wg3/ipcc_wg3_ar5_full.pdf
( 3) www.germanwatch.org/fr/download/13503.pdf

จริยา เสนพงศ์

About the author

จริยา เสนพงศ์
หัวหน้างานรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน กรีนพีซ ประเทศไทย

Comments

Leave your reply